โรค
เอส แอล อี ที่แท้จริง คืออะไร ? |
เอส แอล อี
(SLE) ย่อมาจากคำว่า Systemic lupus
erythematosus บางคนอาจรู้จักในคำว่า
โรคลูปัส เป็นโรคในกลุ่ม
ออโตอิมมูน (autoimmune disease) โรคหนึ่ง
โรคออโตอิมมูน
คือโรคที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
ที่โดยปกติทำหน้าที่ต่อต้านและทำลายสิ่งแปลกปลอม
ที่เข้ามาในร่างกาย
ผ่านกลไกของเม็ดเลือดขาว,
แอนติบอดี, การอักเสบ เป็นต้น
แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ
ร่างกายกลับให้ระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านเนื้อเยื่อและเซลล์ต่าง
ๆ
ของร่างกายตนเองในระบบอวัยวะต่าง
ๆ ซึ่งต่างจากคำว่า
"โรคภูมิแพ้" (Allergy, atopy)
ซึ่งหมายถึง
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
มีการตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม
ไวเกินกว่าปกติ
เป็นผลให้เกิดการอักเสบขึ้น
เช่น แพ้อากาศ, หอบหืด เป็นต้น
แต่ไม่มีการต่อต้านเนื้อเยื่อหรือเซลล์ของตนเอง
อาการหรืออาการแสดงอะไร
ชวนสงสัยโรค เอส แอล อี |
โรค เอส แอล อี
มีอาการและอาการแสดงได้หลายระบบ
เช่น มีผื่น, ผมร่วง, ปวดข้อ,
แผลในปาก, ซีด, บวม เป็นต้น
สำหรับการวินิจฉัยโรคนี้
อาศัยเกณฑ์ของสมาคมโรคข้อแห่งสหรัฐอเมริกา
(American Rheumatic Association) ผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น เอส แอล อี
เมื่อมีอาการหรืออาการแสดง
อย่างน้อย 4 ข้อ จาก 11 ข้อต่อไปนี้
- ผื่นแดงที่ใบหน้า
บริเวณโหนกแก้ม และสันจมูก
ลักษณะคล้ายผีเสื้อ (Malar rash)
- ผื่น Discoid
- ข้ออักเสบชนิดหลายข้อ
และมักเป็นทั้ง 2 ข้างเหมือน ๆ กัน
(symmetrical polyarthritis)
- แผลในปาก
- อาการแพ้แสง
- การอักเสบของเยื่อบุชนิด
serous เช่น เยื่อหุ้มปอดอักเสบ,
เยื้อหุ้มหัวใจอักเสบ
- อาการแสดงในระบบเลือด
(เช่น ซึดจากเม็ดเลือดแดงแตก,
เม็ดเลือดขาวต่ำ, เกล็ดเลือดต่ำ)
- อาการแสดงในระบบประสาท
(เช่น ชัก, ซึม
ซึ่งอธิบายจากสาเหตุอื่นมิได้)
- อาการแสดงในระบบไต
(เช่น มีความผิดปกติของปัสสาวะ,
มีโปรตีนในปัสสาวะ)
- การตรวจเลือดหา
Antinuclear antibody ให้ผลบวก
- การตรวจเลือดหา Anti-DNA,
LE cell, Anti-Sm
ได้ผลบวกหรือได้ผลบวกลวงของ VDRL
อย่างใดอย่างหนึ่ง
เห็นได้ว่า
การวินิจฉัยโรค เอส แอล อี
นั้นไม่ง่าย
แต่ก็ไม่ยากจนเกินไปนัก
และเป็นข้อตระหนักให้ได้ทราบว่า
โรคนี้มีการแสดงออกได้ในหลายระบบ
แต่ละระบบ
อาจมีความรุนแรงน้อยมาก
ไม่มีอาการ
จนถึงความรุนแรงมากถึงชีวิตได้
ทำอย่างไร ถ้าเราเป็น เอส
แอล อี |
แม้ว่าในปัจจุบัน
จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
ของโรค เอส แอล อี
แต่ความก้าวหน้าทางการแพทย์
ทำให้ผู้ป่วย เอส แอล อี
สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ
เช่นเดียวกับคนทั่วไป
โดยมีสุขภาพร่างกาย
แข็งแรงเหมือนปกติ
ยาที่นำมาใช้ในการรักษา เอส แอล
อี ที่สำคัญมี 2 ชนิดได้แก่
ยาสเตอรอยด์
เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
มิให้ทำการต่อต้านเนื้อเยื่อต่าง
ๆ
และลดการอักเสบอันเป็นผลจากระบบภูมิคุ้มกันได้
ยานี้สามารถทำให้โรค เอส แอล อี
สงบได้อย่างรวดเร็ว และได้ผลดี
แต่ข้อเสียคือ
ผลข้างเคียงมหาศาล ได้แก่
อ้วนขึ้น, หน้ากลม,
ผิวหนังบางและแตกง่าย, กระดูกผุ,
กระเพาะอาหารอักเสบและแผลในกระเพาะอาหาร,
เบาหวาน,
เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ
ได้ง่าย ยานี้จึงใช้ในระยะสั้น ๆ
เพื่อควบคุมโรคให้เข้าสู่ภาวะสงบและลดขนาดยาให้เหลือน้อยที่สุด
เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
ยาอีกประเภทหนึ่ง
ได้แก่ ยาที่ออกฤทธิ์ช้า แต่มีฤทธิ์ควบคุมและเปลี่ยนแปลงการดำเนินโรคได้ (Disease Modifying Antirheumatic Drugs - DMARD)
มีคุณสมบัติทำให้โรคเข้าสู่ภาวะสงบได้
ยาออกฤทธิ์ช้า
แต่ออกฤทธิ์ได้นาน
ยามีผลข้างเคียงน้อยกว่า
และไม่รุนแรงเท่า
สามารถใช้ยาได้เป็นเวลานาน
โดยเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่น้อยกว่ามาก
เมื่อเทียบกับ สเตอรอยด์
ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่
คลอโรควิน, ฮัยดรอกซี่คลอโรควิน,
อนุพันธ์ของทอง, ยา methotrexate เป็นต้น
ส่วนสำคัญอีกอย่างที่ไม่แพ้การใช้ยา
ได้แก่ การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย
ซึ่งมีความจำเป็น
เพราะโรคนี้เป็นเรื้อรัง
และยังไม่มียาที่ใช้รักษาได้หายขาดจริง
ๆ การรักษาต่อเนื่อง
และติดตามการรักษาสม่ำเสมอ
จึงมีความสำคัญยิ่งยวด
ต่อผลการรักษาและการดำเนินโรค
คำแนะนำการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย
เอส แอล อี |
เอส แอล อี
เป็นโรคที่จำเป็นต้องรักษาต่อเนื่อง
และต้องการการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง
ดังนี้
- รับประทานยาสม่ำเสมอ
ตามแพทย์สั่ง
เนื่องจากสาเหตุสำคัญของภาวะกำเริบของโรคอย่างหนึ่ง
ได้แก่ การขาดยา
- ระวังอาการไม่สบาย
หรือการติดเชื้อในร่างกาย
ทั้งนี้เพราะการติดเชื้อในร่างกาย
ไม่ว่าระบบใด
ทำให้โรคกำเริบขึ้นได้
นอกจากนี้
ยาสเตอรอยด์ยังมีผลทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
ถ้าไม่รีบรักษา
จะทำให้ความรุนแรงของการติดเชื้อมากกว่าคนธรรมดามาก
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นอื่น
ที่อาจทำให้โรคกำเริบ เช่น
ยาบางชนิด, ความเครียด, การถูกแดด
จึงไม่ควรตากแดดนาน,
ไม่ซื้อยากินเอง,
ทำจิตใจให้แจ่มใส
- ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของระบบร่างกายต่าง
ๆ
จำเป็นต้องได้รับการรักษาโรคในระบบนั้น
ๆ อย่างดี เช่น ไตอักเสบ,
เม็ดเลือดแดงแตก, เกล็ดเลือดต่ำ
เป็นต้น
- ผู้ป่วย SLE
พบในผู้หญิงมากกว่าชาย
ซึ่งจะมีปัญหาได้เมื่อตั้งครรภ์
จึงควรปรึกษาแพทย์
และอยู่ภายใต้การดูแลของสูติแพทย์
ทันทีที่ทราบว่าตั้งครรภ์
หวังว่าคงได้รับความกระจ่าง
เกี่ยวกับโรค เอส แอล อี โรคฮิต
อีกโรคหนึ่ง ในขณะนี้ |
|