วิสุทธิมรรคแปล
ภาค ๑ ตอน ๒
---------------
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองค์นั้น
กัมมฐานคหณนิเทส
- เพราะเหตุที่สมาธิ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ด้วยหัวข้อคือ
จิต ตามพระบาลี ( นิกเขปบท ) ว่า
- สีเล ปติฏฺเฐย นโร สปญฺโญ จิตฺตํ
ปญฺญญฺจ ภาวยํ นั้น อันพระโยคาวจรผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลนี้ ที่ผ่องแผ้ว
ด้วยคุณทั้งหลาย มีความมักน้อยเป็นต้น อันตนทำให้ถึงพร้อมด้วยการรักษาธุดงค์อย่างนี้แล้วควรบำเพ็ญต่อไป
ก็แต่ว่าสมาธินั้น ไม่ง่ายแม้เพียงจะเข้าใจ จะกล่าวไยถึงจะบำเพ็ญเล่า เพราะทรงแสดงไว้
( ในพระคาถานั้น )
ย่อนัก เพราะเหตุนั้น เพื่อแสดงความพิสดาร และนัยแห่งการบำเพ็ญสมาธินี้ จึง (
ขอ ) ตั้งปัญหาขึ้นดังนี้ คือ
- ๑. อะไร เป็นสมาธิ
- ๒. ที่ชื่อว่าสมาธิ เพราะอรรถว่ากระไร
- ๓. อะไร เป็นลักษณะ เป็นรส เป็นปัจจุปัฏฐาน
และปทัฏฐานแห่งสมาธินั้น
- ๔. สมาธิ มีกี่อย่าง
- ๕. อะไรเป็นความเศร้าหมอง และอะไรเป็นความผ่องแผ้วแห่งสมาธินั้น
- ๖. สมาธิ จะพึงบำเพ็ญขึ้นอย่างไร
- ๗. อะไรเป็นอานิสงส์แห่งการบำเพ็ญ
( สมาธิ )
- ต่อไปนี้เป็นคำเฉลย ในปัญหาเหล่านั้น
สมาธิโดยสรูป
- ข้อว่า อะไรเป็นสมาธิ แก้ว่า สมาธิมีหลายอย่างต่างประการ
การจะเฉลยมุ่งให้สมาธินั้นแจ่มแจ้งไปทุกอย่าง
จะไม่พึงเป็นประโยชน์ที่ประสงค์ให้สำเร็จได้ มิหนำซ้ำจะพึงเป็นไปเพื่อความฟั่นเฝือยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้น
เรามาพูดกันหมายเอาความที่ประสงค์ในที่นี้ทีเดียวเถิดว่า " ความมีอารมณ์อันเดียวแห่งจิตที่เป็นกุศล
เป็นสมาธิ "
อรรถแห่งสมาธิศัพท์
- ข้อว่า ชื่อว่าสมาธิเพราะอรรถว่ากระไร
แก้ว่า ชื่อว่าสมาธิ เพราะอรรถว่าตั้งมั่น ถามว่า ชื่อว่าตั้งมั่นนี้
เป็นอย่างไร ตอบว่า ชื่อว่าตั้งมั่นนี้ คือการดำรงอยู่ อธิบายว่าตั้งอยู่สม่ำเสมอด้วย
ถูกทางด้วย แห่งจิต
และเจตสิกทั้งหลาย ในอารมณ์อันเดียว เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่าจิตและเจตสิกเป็นธรรมชาติไม่ซัดส่าย
และไม่ซ่านไป ตั้งอยู่สม่ำเสมอและถูกทาง ด้วยอานุภาพแห่งธรรมใด การตั้งอยู่แห่งจิตเจตสิก
สม่ำเสมอ
และถูกทาง ด้วยอานุภาพแห่งธรรมนั้น นี้ชื่อว่า ความตั้งมั่น
ลักษณะ รส ปัจจุปัฏฐาน ปทัฏฐานแห่งสมาธิ
- ส่วนในข้อว่า อะไรเป็นลักษณะ เป็นรส
เป็นปัจจุปัฏฐาน เป็นปทัฏฐานแห่งสมาธินั้น มีคำแก้ว่า สมาธิมีความ
ไม่ซัดส่ายเป็นลักษณะ มีการกำจัดความซัดส่ายเป็นรส มีความไม่หวั่นไหวเป็นปัจจุปัฏฐาน
ส่วนปทัฏฐาน
แห่งสมาธินั้น คือความสุข ตามพระบาลีว่า จิตของผู้มีความสุขย่อมตั้งมั่น (
ที.ปาฏิ๑๑/๒๕๔ ) ดังนี้
ประเภทแห่งสมาธิ
- ข้อว่า สมาธิมีกี่อย่างนั้น มีเฉลยว่า
โดยลักษณะคือความไม่ซัดส่าย สมาธิก็มีเพียงอย่างเดียว ( แต่ ) เป็น ๒
โดยบังคับแห่งอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ เช่นเดียวกัน โดยบังคับแห่งโลกิยสมาธิและโลกุตตรสมาธิ
- โดยบังคับแห่งสัมปีติกสมาธิ (
สมาธิสัมปยุตด้วยปีติ ) และนิปปีติกสมาธิ ( สมาธิไม่สัมปยุตด้วยปีติ ) และโดย
บังคับแห่งสมาธิที่เป็นสุขสหคตะ ( สหรคตด้วยสุข ) และ เป็นอุเบกขาสหคตะ ( สหรคตด้วยอุเบกขา
) เป็น ๓
โดยจัดเป็นอย่างทราม อย่างกลาง อย่างประณีต เช่นเดียวกัน โดยจัดตามองค์คือวิตกวิจาร
มีสวิตักกสวิจารสมาธิ
( สมาธิยังมีวิตกวิจาร ) เป็นต้น โดยจัดตามธรรมที่สรหคตมีปีติสหรคตสมาธิ ( สมาธิสหรคตด้วยปีติ
) เป็นต้น
และโดยจัด ( ตามคุณานุภาพ ) เป็นปริตตะ มหัคคตะ และอัปปมาณะ เป็น ๔ โดยจำแนกตามความปฏิบัติและ
ความรู้ มีทุกขปฏิปทาทันธาภิญญสมาธิเป็นต้น เช่นเดียวกัน โดยจำแนกตามอานุภาพและอารมณ์ มีปริตตปริตตารมณ
สมาธิเป็นต้น โดยเป็นองค์แห่งจตุกฌานโดยจำแนกตามฝ่ายมีหานภาคิยสมาธิเป็นต้น โดยจำแนกตามภูมิมีกามาวจร
สมาธิเป็นต้น และโดยจำแนกตามอิทธิบาทที่เป็นอธิบดีเป็น ๕ โดยเป็นองค์แห่งปัญจกฌานในปัญจกนัย
- ในสมาธิเหล่านั้น สมาธิส่วนที่เป็นอย่างเดียว
มีความตื้นอยู่แล้ว
ทุกะ ( สมาธิหมวด ๒ ) ที่ ๑
- อรรถาธิบายในสมาธิส่วนที่เป็น
๒ พึงทราบดังต่อไปนี้ เอกัคคตาแห่งจิต ที่พระโยคาวจรได้ด้วยอำนาจธรรม
เหล่านี้ คือ อนุสสติฐาน ๖ มรณสติ อุปสมานุสสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุววัฏฐาน
ก็ดี เอกัคคตาในส่วน
เบื้องต้นแห่งอัปปนาสมาธิทั้งหลายก็ดี อันใดเอกัคคตาอันนี้เป็นอุปจารสมาธิ
- ส่วนเอกัคคตาในลำดับแห่งบริกรรมตามบาลีว่า
บริกรรมแห่งปฐมฌาน เป็นปัจจัยโดยเป็นอนันตรปัจจัยแห่ง
ปฐมฌาน ดังนี้เป็นอาทิอันใด เอกัคคตาอันนี้เป็นอัปปนาสมาธิ อย่างนี้แล สมาธิเป็น
๒ โดยบังคับแห่งอุปจารและ
อัปปนา
ทุกะที่ ๒
- เอกัคคตาแห่งจิตที่เป็นกุศลใน
๓ ภูมิ เป็นโลกิยสมาธิ เอกัคคตาที่สัมปยุตด้วยอริยมรรค เป็นโลกุตตรสมาธิ
อย่างนี้แล สมาธิเป็น ๒ โดยบังคับแห่งโลกิยะและโลกุตตระ
ทุกะที่ ๓
- เอกัคคตาใน ๒ ฌานในจตุกนัย
ใน ๓ ฌานในปัญจกนัย เป็นสัมปีติกสมาธิ
เอกัคคตาในฌาน ๒ ที่เหลือ
เป็นนีปปีติกสมาธิ แต่อุปจารสมาธิ ลางที่เป็นสัปปีติกะ ลางทีเป็นนีปปีติกะ อย่างนี้แล
สมาธิเป็น ๒ โดยบังคับ
แห่งสัปปีติกะและนีปปีติกะ
ทุกะที่ ๔
- เอกัคคตาใน ๓ ฌานในจตุกนัย ใน
๔ ฌานในปัญจกนัย เป็นสุขสหคตสมาธิ เอกัคคตาในฌานที่เหลือเป็น
อุเปกขาสหคตสมาธิ แต่อุปจารสมาธิ ลางทีก็เป็นสุขสหคตะ ลางทีก็เป็นอุเปกขาสหคตะ
อย่างนี้แล สมาธิเป็น
๒ โดยบังคับแห่งสุขสหคตะและอุเปกขาสหคตะ
ติกะ ( สมาธิหมวด ๓ ) ที่ ๑
- สมาธิที่สักว่าได้ จัดเป็นสมาธิอย่างทราม
สมาธิที่อบรมแล้วยังไม่ดีนัก จัดเป็นสมาธิอย่างกลาง สมาธิที่อบรม
ดีแล้วถึงความป็นวสี จัดเป็นสมาธิอย่างประณีต อย่างนี้แล สมาธิเป็น ๓ โดยจัดเป็นอย่างทราม
อย่างกลาง
อย่างประณีต
ติกะที่ ๒
- สมาธิในปฐมฌานกับอุปจารสมาธิ จัดเป็นสวิตกกสวิจารสมาธิ
( สมาธิมีทั้งวิตกทั้งวิจาร ) สมาธิในทุติยฌาน
ในปัญจกนัย จัดเป็นอวิตักกวิจารมัตตสมาธิ ( สมาธิไม่มีวิตกมีแต่วิจาร ) ก็บุคคลใดเห็นโทษแต่ในวิตกเท่านั้น
ไม่เห็นโทษในวิจาร มุ่งอยู่แต่จะละวิตกอย่างเดียวล่วงปฐมฌานไป บุคคลนั้นย่อมได้สมาธิที่ไม่มีวิตกมีแต่วิจาร
คำว่าสมาธิในทุติยฌานในปัญจกนัย จัดเป็นอวิตักกวิจารมัตตสมาธิ นั้น ข้าพเจ้ากล่าวหมายเอาสมาธิของ
บุคคลนี้ ส่วนเอกัคคตาใน ๓ ฌานในจตุกนัย มีทุติยฌานเป็นต้น และในปัญจกนัยมีตติยฌานเป็นต้น
จัดเป็น
อวิตักกอวิจารสมาธิ ( สมาธิไม่มีทั้งวิตกทั้งวิจาร ) อย่างนี้แล สมาธิเป็น ๓
โดยจัดตามองค์คือวิตกวิจาร
มีสวิตักกสวิจารสมาธิเป็นต้น
ติกะที่ ๓
- เอกัคคตาในฌาน ๒ ข้างต้นในจตุกนัย
และในฌาน ๓ ข้างต้น ในปัญจกนัย จัดเป็นปีติสหคตสมาธิ ( สมาธิ
ประกอบพร้อมกับปีติ )
- เอกัคคตาในตติยฌาน และจตุตถฌานในจตุกนัยและปัญจกนัยนั้นแลจัดเป็นสุขสหคตสมาธิ
( สมาธิประกอบ
พร้อมกับสุข ) เอกัคคตาในฌานสุดท้าย ( ทั้ง ๒ นัย ) จัดเป็นอุเปกขาสหคตสมาธิ
( สมาธิประกอบพร้อมกับ
อุเบกขา ) แต่อุปจารสมาธิ ย่อมสหรคตด้วยปีติสุขบ้าง สหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง อย่างนี้แล
สมาธิเป็น ๓
โดยจัดตามธรรมที่สหรคตมีปีติสหคตสมาธิเป็นต้น
ติกะที่ ๔
- เอกัคคตาในภูมิอุปจาร จัดเป็นปริตตสมาธิ
( สมาธิมีคุณานุภาพน้อย ) เอกัคคตาใน ( ภูมิ ) รูปาวจรและ
อรูปาวจรที่เป็นกุศลจัดเป็นมหัคคตสมาธิ ( สมาธิมีคุณนุภาพใหญ่ ) เอกัคคตาที่สัมปยุตด้วยอริยมรรค
จัดเป็น
อัปปมาณสมาธิ ( สมาธิมีคุณานุภาพหาประมาณมิได้ ) อย่างนี้แล สมาธิเป็น ๓ โดยจัด
( ตามคุณานุภาพ )
เป็น ปริตตะ มหัคคตะ และอัปปมาณะ
จตุกกะ ( สมาธิหมวด ๔ ) ที่
๑
- พึงทราบว่า สมาธิที่มีปฏิปทาลำบาก
ทั้งมีอภิญญาช้าก็มี สมาธิมีปฏิปทาลำบาก แต่มีอภิญญาเร็วก็มี สมาธิมี
ปฏิปทาสะดวก แต่มีอภิญญาช้าก็มี สมาธิมีปฏิปทาสะดวกทั้งมีอภิญญาเร็วก็มี ในคำว่าปฏิปทาและอภิญญานั้น
สมาธิภาวนา ( การบำเพ็ญสมาธิ ) อันเป็นไปเริ่มแต่ปฐมสมันนาหาร ( การประมวลจิตตั้งลงในกรรมฐานทีแรก
)
ไปจนถึงอุปจารแห่งฌานนั้นๆ เกิดขึ้น ท่านเรียกว่า ปฏิปทา
ส่วนปัญญาอันเป็นไปตั้งแต่อุปาจารจนถึงอัปปนา
ท่านเรียกว่า อภิญญา ( มหาฎีกาว่า ที่เรียกอภิญญา
เพราะเป็นปัญญาที่วิเศษกว่าปกติปัญญา )
- ก็แลปฏิปทานี้นั้น ย่อมเป็นการลำบาก
คือเป็นการยาก หมายความว่า เจริญไม่สะดวกสำหรับคนบางคน เพราะ
ธรรมอันเป็นข้าศึก มีนิวรณ์เป็นต้นยึด ( จิต ) โดย ( เกิด ) ขึ้นท่องเที่ยว (
ในจิต ) ( แต่ ) เป็นการสะดวก
สำหรับบางคน เพราะไม่มีธรรมอันเป็นข้าศึกนั้น อภิญญาเล่าก็ย่อมเป็นช้า คือเป็นเนือยๆ
ไม่เป็นไปฉับพลัน
สำหรับคนบางคน ( แต่ ) เป็นเร็ว คือไม่เป็นเนือยๆ เป็นไปฉับพลันสำหรับบางคน
- ( พึงทราบวินิจฉัย ) ในปฏิปทาและอภิญญานั้น
( ดังนี้ ) ในบรรดาสิ่งสัปปายะและอสัปปายะทั้งหลายก็ดี
บุพกิจทั้งหลายมีการตัดปลิโพธเป็นต้นก็ดี อัปปนาโกศลทั้งหลายก็ดี ซึ่งข้าพเจ้าจักพรรณนาข้างหน้า
พระโยคาวจร
ผู้ใดได้เสพสิ่งอสัปปายะ ปฏิปทาของพระโยคาวจรผู้นั้นย่อมเป็นการลำบาก และอภิญญาของเธอก็เป็นช้า
ปฏิปทา
ของพระโยคาวจรผู้ได้เสพสิ่งสัปปายะ ย่อมเป็นการสะดวก และอภิญญาก็เป็นเร็ว ส่วนว่าพระโยคาวจรผู้ใด
เสพสิ่ง
อสัปปายะในเบื้องต้นแล้วได้เสพสิ่งสัปปายะในเบื้องปลาย พึงทราบว่าปฏิปทาและอภิญญาของพระโยคาวจรนั้น
ก็คละกัน นัยเดียวกันนั้น ปฏิปทาของพระโยคาวจรผู้ไม่ทำบุพกิจมีการตัดปลิโพธเป็นต้นให้พร้อมแล้วมาประกอบ
ภาวนา ย่อมเป็นการลำบาก โดยบรรยายตรงกันข้าม ก็เป็นการสะดวก อนึ่ง อภิญญาของผู้ไม่ทำอัปปนาโกศลให้
ถึงพร้อม ย่อมเป็นช้า ของผู้ทำอัปปนาโกศลให้ถึงพร้อม ย่อมเป็นเร็ว
- อนึ่ง ประเภทแห่งปฏิปทาและอภิญญาเหล่านั้น
พึงทราบด้วยอำนาจแห่งตัณหาและอวิชชา และแม้ด้วยสามารถ
แห่งความสั่งสมที่เคยทำมาในสมถะและวิปัสสนา แท้จริง ปฏิปทาของผู้ถูกตัณหาครอบงำ
ย่อมเป็นการลำบาก
ของผู้ไม่ถูกตัณหาครอบงำ ย่อมเป็นการสะดวก และอภิญญาของผู้ถูกอวิชชาครอบงำ ย่อมเป็นช้า
ของผู้ไม่ถูก
อวิชชาครอบงำย่อมเป็นเร็ว อนึ่ง ผู้ใดมิได้ทำความสั่งสมมาในสมถะ ปฏิปทาของผู้นั้นย่อมเป็นการลำบาก
ของผู้มีความสั่งสมได้ทำไว้ย่อมเป็นการสะดวก ส่วนผู้ใดมิได้ทำความสั่งสมมาในวิปัสสนา
อภิญญาของผู้นั้น
ย่อมเป็นช้า ของผู้มีความสั่งสมได้ทำไว้ย่อมเป็นเร็ว อนึ่งเล่า ประเภทแห่งปฏิปทาและอภิญญาเหล่านั้นพึงทราบ
ด้วยอำนาจแห่งกิเลสและอินทรีย์ด้วย แท้จริง ปฏิปทาของผู้มีกิเลสกล้า แต่อินทรีย์อ่อน
ย่อมเป็นการลำบาก
ทั้งอภิญญาก็เป็นช้า แต่อภิญญาของผู้มีอินทรีย์แก่กล้าย่อมเป็นเร็ว ส่วนปฏิปทาของผู้มีกิเลสอ่อน
และอินทรีย์อ่อน
ย่อมเป็นการสะดวก แต่อภิญญาเป็นช้า แต่อภิญญาของผู้มีอินทรีย์กล้าย่อมเป็นเร็ว
ดังนี้ ในปฏิปทาและอภิญญา
เหล่านี้บุคคลใดได้สมาธิด้วยปฏิปทาลำบาก และด้วยอภิญญาช้า สมาธินั้นของบุคคลนั้นเรียกว่า
ทุกฺขาปฏิปโท
ทนฺธาภิญฺโญ ด้วยประการฉะนี้ นัยนี้พึงกล่าวแม้ในสมาธิ ๓ ที่เหลือ อย่างนี้แล
สมาธิเป็น ๔ โดยจำแนกตาม
ความปฏิบัติและความรู้ มีทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาสมาธิเป็นต้น
จตุกกะที่ ๒
- พึงทราบว่าสมาธิเป็นปริตตปริตตารมณ์ ( มีอานุภาพน้อยทั้งมีอารมณ์แคบสั้น
) ก็มี สมาธิเป็นปริตตอัปปมา
ณารมณ์ ( มีอานุภาพน้อยแต่มีอารมณ์กว้างขวาง ) ก็มี สมาธิเป็นอัปปมาณปริตตารมณ์
( อานุภาพหาประมาณ
มิได้ แต่มีอารมณ์แคบสั้น ) ก็มี สมาธิเป็นอัปปมาณอัปปมาณารมณ์ ( มีอานุภาพประมาณมิได้ทั้งมีอารมณ์กว้าง
ขวาง ) ก็มี ในสมาธิ ๔ นั้น สมาธิใดยังไม่เชี่ยว ไม่อาจเป็นปัจจัยแห่งฌานเบื้องสูงได้
สมาธินี้จัดเป็นปริตตะ
( มีอานุภาพน้อย ) ส่วนสมาธิใดเป็นไปในอารมณ์ที่ไม่ขยายตัว สมาธินี้ จัดเป็น
ปริตตารมณ์ ( มีอารมณ์แคบสั้น )
สมาธิใดเชี่ยว อันพระโยคาวจรอบรมดีแล้ว อาจเป็นปัจจัยแห่งฌานเบื้องสูงได้ สมาธินี้จัดเป็นอัปปมาณ
( มีอานุภาพ
หาประมาณมิได้ ) อนึ่ง สมาธิใดเป็นไปในอารมณ์ที่ขยายตัว สมาธินี้จัดเป็นอัปปมาณารมณ์
( มาอารมณ์กว้าง
ขวาง ) ส่วนนัยแห่งสมาธิที่คละกัน ( ข้อ ๒ ข้อ ๓ ) พึงทราบโดยคละลักษณะแห่งสมาธิ
( ข้อ ๑ ข้อ ๔ ) ที่กล่าว
แล้วเข้ากัน อย่างนี้แล สมาธิเป็น ๔ โดยจำแนกตามอานุภาพและอารมณ์ มีปริตตปริตตารมณ์สมาธิเป็นต้น