- ก็แลเมื่อเธออยู่อย่างนั้น แม้นได้ยินคำคนทั้งหลายพูดกันว่า
ซากอุทธุมาตกะ เขาทอดไว้ที่ช่องทางเข้าหมู่บ้าน
ชื่อโน้น หรือที่ปากดง ที่หนทาง ที่เชิงเขา ที่โคนไม้ หรือที่สุสานชื่อโน้น ดังนี้ก็ไม่ควรไปทันทีทันใด
( จะ )
เป็นเหมือนคนแล่นไปผิดท่า ถามว่าเพราะเหตุอะไร ตอบว่า เพราะอันอสุภนั่นจะเป็นซากที่สัตว์ร้ายพักเอาไว้บ้าง
อมนุษย์พักเอาไว้บ้าง อันตรายแห่งชีวิตจะพึงมีแก่เธอในเพราะอสุภนั้น ( เป็นเหตุ
) ก็ได้ หรืออนึ่ง ทางไปที่นั่นจะ
เป็นทางผ่านช่องทางเข้าหมู่บ้านบ้าง ผ่าท่าอาบน้ำบ้าง ผ่านปลายนาบ้าง รูปอันเป็นข้าศึกแห่งพรหมจรรย์
ในที่ทั้ง
หลายนั้น จะมาสู่คลอง ( จักษุ ) หรือมิฉะนั้นซาก ( ศพ ) นั้นเองจะเป็นข้าศึกแห่งพรหมจรรย์
จริงอยู่
ซากสตรีย่อมเป็นข้าศึกแห่งพรหมจรรย์แห่งบุรุษ และซากบุรุษย่อมเป็นข้าศึกแห่งพรหมจรรย์แห่งสตรี
ซากนั้นนั่นที่ตายไม่นาน ( ยังไม่เป็นอุทธุมาตกะ คือพองขึ้นอืด ) ยังปรากฏเป็นร่างสวยงามอยู่ก็ได้
อันตรายแห่งพรหมจรรย์จะพึงมีแก่เธอเพราะอสุภนั้น ( เป็นเหตุ ) ก็ได้ แต่ถ้าเธอไว้ใจตัวว่า
" มันไม่เป็น
ของหนัก ( ใจ ) สำหรับภิกษุอย่างอาตมา " ดังนี้ไซร้ เธอผู้ไว้ใจตัวได้อย่างนั้นก็พึงไปเถิด
- ก็แลเมื่อจะไป พึงบอกพระสังฆเถระ
หรืออภิญญาตภิกษุ ( ภิกษุผู้มีชื่อเสียง ) อื่นแล้วจึงไป ถามว่า เพราะเหตุ
อะไร ? ตอบว่า เพราะหากว่าเมื่อเธอถูกอนิฏฐารมณ์ เช่นรูปร่างและเสียงแห่งสัตว์ร้ายทั้งหลายมีอมนุษย์
และสีห์
เสือเป็นอาทิในป่าช้าครอบงำเอา ( จน ) องคาพยพสั่นไปก็ดี ( ขวัญหนี ) ของที่บริโภคแล้วไม่อยู่
( ในท้อง ) ก็ดี
( ดีฝ่อ น้ำย่อยอาหารเสีย อาหารที่กินแล้วไม่ย่อย ) อาพาธเป็นอย่างอื่น ( อีก
) ก็ดี ( ไม่สามารถจะเดินกลับมา
วิหารได้ ) ไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านที่เธอบอกนั้นก็จัก ( ช่วย ) เก็บงำบาตรจีวรของเธอไว้ให้อย่างดีในวิหาร
จักส่งพวกภิกษุหนุ่มบ้าง สามเณรบ้าง ไปช่วยปรนนิบัติ ( พยาบาล ) ภิกษุนั้น อีกประการหนึ่ง
พวกโจรสำคัญว่า
ป่าช้านั่นเป็นที่ไม่ต้องระแวง ( ว่าจะมีคนรู้เห็น ) ( มันไป ) ทำการมาแล้วก็ดี
ยังมิได้ทำการก็ดี จึงมามั่วกันอยู่
( ในนั้น ) มัน ( ไปทำการมาแล้ว ) ถูกคนทั้งหลายตามมาทันเข้าก็จะทิ้งห่อของไว้ใกล้ๆ
ภิกษุแล้วหนีไปเสียก็ได้
คนทั้งหลาย ( เห็นของตกอยู่ใกล้ภิกษุ ) ก็จะสำคัญว่า " พวกเราพบโจรพร้อมทั้งของกลาง
" แล้วจับภิกษุไปทรมาน
ทีนั้นท่านที่เธอบอก ( ทราบเข้า ) ก็จัก ( ไปช่วย ) อ้อนวอนว่า " ท่านทั้งหลายอย่าทรมานภิกษุนี้เลย
เธอบอกข้าพเจ้า
แล้วจึงไปทำงานอันนี้ดอก " ( ชี้แจง ) ให้คนเหล่านั้นเข้าใจถูกแล้ว ทำความสวัสดีให้แก่เธอได้
นี่เป็นอานิสงส์
ในการบอกแล้วจึงไป
วิธีไปดูอสุภตามนัยอรรถกถา
- เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจรผู้ได้บอกแก่ภิกษุมีประการดังกล่าวแล้ว
เกิดความจำนงยิ่งในอันจะดูอสุภนิมิต
พึงยังปีติโสมนัสให้เกิดขึ้นไป ( ดู ) โดยวิธีที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลาย
( ให้ ) เหมือนกษัตริย์เกิดปีติโสมนัส
เสด็จไปสู่สถานที่อภิเษก เหมือนผู้จะบูชายัญ เกิดปีติโสมนัสไปสู่โรงบูชายัญ หรืออนึ่ง
เหมือนคนไม่มีทรัพย์เกิด
ปีติโสมนัสไปสู่ที่ตั้งขุมทรัพย์ฉะนั้นเถิด จริงอยู่ คำ ( ต่อไป ) นี้ ท่านกล่าวไว้
( ในอรรถกถา ) ว่า " ภิกษุเมื่อ
จะขึ้นเอาอสุภนิมิตชนิดอุทธุมาตกะ ย่อมไปผู้เดียว ไม่ ( ต้อง ) มีสหาย มีสติตั้งมั่นไม่หลงลืม
มีอินทรีย์ทั้งหลาย
อยู่กับตัว ( คือสำรวม ) มีความคิดไม่ไปนอกตัว ( คือไม่คิดกลัวอะไรไปต่างๆ )
พิจารณาดูทางไปมาไว้ อสุภนิมิต
ชนิดอุทธุมาตกะมีทอดอยู่ที่แห่งใด เธอย่อมทำก้อนหินก็ดี จอมปลวกก็ดี ไม้ต้นก็ดี
ไม้กอก็ดี ไม้เถาก็ดี ( อันมีอยู่ )
ในที่แห่งนั้น ให้เป็นนิมิตร่วม ย่อมทำ ( วัตถุนั้นๆ ) ให้เป็นอารมณ์ร่วม ครั้นทำ
( วัตถุนั้นๆ ) ให้เป็นนิมิตร่วมแล้ว
จึงเข้าไปกำหนดอุทธุมาตกอสุภนิมิตตามความที่มันเป็นของมันเอง ( โดยอาการ ๑๑ คือ
) โดยสีกายบ้าง โดยเพศบ้าง
โดยสัณฐานบ้าง โดยทิศบ้าง โดยโอกาสบ้าง โดยตัดตอนบ้าง ( และ ) โดยที่ต่อ โดยช่อง
โดยที่เว้า โดยที่นูน โดยรอบตัว
เธอย่อมทำนิมิตนั้นให้เป็นสิ่งที่ถือเอาไว้อย่างดีแล้ว ย่อมจดจำเอานิมิตนั้นให้เป็นสิ่งที่จำได้อย่างแม่นยำแล้ว
- ย่อมกำหนดเอานิมิตนั้นให้เป็นสิ่งที่กำหนดไว้ได้อย่างดีแล้ว
ครั้นทำนิมิตนั้น ฯลฯ ให้เป็นสิ่งที่กำหนดไว้ได้
อย่างดีแล้ว เธอก็ ( กลับ ) ไปผู้เดียวไม่มีสหาย มีสติมั่นคงไม่หลงลืม มีอินทรีย์ทั้งหลายอยู่กับตัว
มีความคิด
ไม่ไปนอกตัว พิจารณาดูทางไปมา แม้นจะจงกรมเธอก็อธิษฐานจงกรมให้เป็นการเกื้อกูลแก่ฝ่ายอสุภนิมิตนั้นเท่านั้น
แม้จะนั่ง ก็ปูอาสนะให้เป็นการเกื้อกูลแก่ฝ่ายอสุภนิมิตนั้นอย่างเดียว
- ถามว่า การกำหนดจำนิมิต ( ต่างๆ
มีก้อนหินเป็นต้น ) โดยรอบมีประโยชน์อย่างไร มีอานิสงส์อย่างไร ?
แก้ว่า การกำหนดจำนิมิตโดยรอบ มีความไม่หลงเป็นประโยชน์ มีความไม่หลงเป็นอานิสงส์
- ถามว่า การถือเอานิมิตโดยอาการ
๑๑ มีประโยชน์อย่างไร มีอานิสงส์อย่างไร ? แก้ว่า การถือเอานิมิตโดย
อาการ ๑๑ มีอันนำ ( กรรมฐาน ) เข้าไปผูกไว้เป็นประโยชน์ เป็นอานิสงส์
- ถามว่า การพิจารณาดูทางไปมา มีประโยชน์อย่างไร
มีอานิสงส์อย่างไร ? แก้ว่า การพิจารณาดูทางไปมา
มีอันยังกรรมฐาน ( ที่เสื่อม ) ให้ ( กลับ ) ดำเนินสู่วิถี เป็นประโยชน์ เป็นอานิสงส์
- พระโยคาวจรนั้นเป็นผู้เห็นอานิสงส์อยู่โดยปกติ
มีความสำคัญ ( ในอสุภ ) ว่าเป็นดังแก้ว เข้าไปตั้งความยำเกรง
ไว้ ( ในอสุภนั้น ) ประพฤติดังว่า ( อสุภนั้น ) เป็นที่รักอยู่ นำจิตเข้าไปผูกไว้ในอารมณ์นั้น
( ในที่สุด ) เธอสงัดจาก
กามทั้งหลาย ฯลฯ เข้าถึงฌานที่ ๑ อยู่ ปฐมฌานเป็นรูปาวจร เป็นอันเธอบรรลุแล้ว
วิหารธรรมอันเป็นทิพย์ ก็เป็น
อันเธอได้บรรลุ และบุญกิริยาวัตถุส่วนภาวนามัยก็เป็นอันเธอได้บรรลุด้วย "
วัตรในการไปดูอสุภ
- เพราะเหตุนั้น ภิกษุใดจะไปเยี่ยมป่าช้า
เพื่อประโยชน์แก่การยังจิตให้ได้สำนึก ภิกษุนั้นจงเคาะระฆัง ยังคณะ
( พระกรรมฐานด้วยกัน ) ให้ประชุม ( บอกกันให้ทราบก่อน ) ก็ได้แล้วจึงไป ก็แลเมื่อไปด้วย
( มุ่ง ) กรรมฐาน
เป็นสำคัญ พึงเป็นคนผู้เดียวไม่ ( ต้อง ) มีสหายเป็นผู้ไม่ละทิ้งมูลกรรมฐาน *
มนสิการมูลกรรมฐานนั้นไว้เรื่อย
ไปถือไม้เท้าหรือไม้ถือ ( ไปด้วย ) เพื่อกันอันตรายมีสุนัขเป็นต้นในป่าช้า ทำสติไว้มิให้หลงลืม
โดยยังความเป็น
ผู้มั่นคง ( ในกรรมฐาน ) ให้ถึงพร้อม เป็นผู้มีใจไม่ไปนอกตัวโดยยังความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีใจเป็นที่
๖ อยู่กับ
ตัวให้ถึงพร้อม ( เดิน ) ไปเถิด
- พอออกจากวิหาร พึงสังเกตประตูไว้ว่า
" เราออกทางประตูโน้น ในทิศโน้น " ต่อนั้น เธอไปโดยทางใด พึง
กำหนดจำทางนั้นไว้ว่า " ทางนี้ตรงไปทิศตะวันออก หรือว่า ตรงไปทิศตะวันตก
ทิศเหนือ ทิศใต้ หรือว่าตรงไป
ทิศเฉียง " อนึ่งพระโยคาวจรพึงกำหนดทางที่ ( เดิน ) ไปว่า " ตรงนี้ไปทางซ้าย
ตรงนี้ไปทางขวา และในที่แห่ง
อสุภนั้น
* ตจปัญจกกัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานมีหนังเป็นที่คำรบห้า,
กัมมัฏฐานอันบัณฑิตกำหนดด้วยอาการมีหนังเป็น
ที่ ๕ เป็น อารมณ์ คือ กัมมัฏฐานที่ท่านสอนให้พิจารณาส่วนของร่างกาย ๕ อย่าง
คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โดย
ความเป็นของ ปฏิกูล หรือโดยความเป็นสภาวะอย่างหนึ่ง ๆ ตามที่มันเป็นของมัน ไม่เอาใจเข้าไปผูกพันแล้วคิดวาด
ภาพใฝ่ฝันตาม อำนาจกิเลส พจนานุกรมเขียน ตจปัญจกกรรมฐาน เรียกอีกอย่างว่า มูลกัมมัฏฐาน
(กัมมัฏฐาน
เบื้องต้น)
- ตรงนี้มีก้อนหิน ตรงนี้มีจอมปลวก
ตรงนี้มีไม้ต้น ตรงนี้มีไม้กอ ตรงนี้มีไม้เถา " ดังนี้ ( เรื่อย ) ไป (
จน )
ถึงที่ๆ นิมิตตั้งอยู่ อนึ่งเล่าไม่ควร ( เดินเข้า ) ไปทวนลม เพราะว่าเมื่อไปทวนลม
กลิ่นศพจะพึงกระทบจมูกทำให้
เยื่อสมองอักเสบไปก็ได้ ทำให้สำรอกอาหาร ( ที่กินเข้าไปแล้วออกมา ) ก็ได้ ทำให้เกิดความเสียใจว่า
" โธ่เอ๊ย เรามา
( เจอเอา ) ที่ทิ้งศพเช่นนี้เข้า " ก็ได้ เพราะฉะนั้น พึงเว้นทางทวนลมเสีย
ไปตามลมเถิด ( คือทางไปเหนือลม ไม่อยู่
ใต้ลม ) ถ้าไม่อาจไปโดยทางตามลมได้ มีภูเขาหรือเหวก้อนหิน ( ใหญ่ ) รั้ว ดงหนาม
น้ำหรือหล่มก็ตามอยู่ใน
ระหว่างไซร้ ก็พึงปิดจมูกด้วยชายจีวรไปเถิด นี้เป็นวัตรในการไปแห่งพระโยคาวจรนั้น
วัตรเมื่อไปถึงที่อสุภแล้ว
- ก็แลพระโยคาวจรผู้ไปถึง ( ที่อสุภ
) อย่างนี้แล้ว อย่าเพิ่งอสุภนิมิต พึงกำหนดทิศเสียก่อน เพราะเมื่อเธอยืน
ข้างทิศหนึ่ง อารมณ์จะไม่ปรากฏชัดและจิตก็จะไม่เป็นกัมมนียะ ( ควรแก่การภาวนา
) ด้วย ( ก็ได้ ) เพราะเหตุ
นั้น พึงเว้นข้างทิศนั้นเสียแล้ว ยืนทางทิศที่เมื่อยืนแล้วอารมณ์จะปรากฏชัด และจิตก็จะเป็นกัมมนียะด้วยนั้นเถิด
- อนึ่ง พึงละ ( การยืน ) ทวนลมและตามลม
( ตรงๆ ) เสีย เพราะเมื่อยืนทวนลม ( ตรงศพ ) ถูกกลิ่นศพรบกวน
จิตจะพล่าน เมื่อยืนตามลม ( ตรงศพ ) ถ้ามีอมนุษย์สิงอยู่ในศพนั้น มันจะโกรธเอา
แล้วทำความพินาศให้
เพราะเหตุนั้นพึงเลี่ยงเสียหน่อยหนึ่ง ยืนมิให้ตามลม ( ตรง ) นัก
- แม้เมื่อยืนอย่างนี้ ก็พึงยืนในที่ไม่ไกลนักไม่ใกล้นัก
ไม่ค่อนไปทางเท้า ไม่ค่อนไปทางศีรษะ เพราะว่าเมื่อยืนในที่
ไกลนัก อารมณ์จะไม่ชัด ใกล้นัก ความกลัวจะเกิดขึ้น เมื่อยืนค่อนไปทางเท้าก็ดี
ค่อนทางไปศีรษะก็ดี อสุภทั้งหมดจะ
ไม่ปรากฏเท่ากัน เพราะเหตุนั้น พึงยืนในที่ตรงส่วนกลางตัว ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก
อันเป็นที่ผาสุกสำหรับผู้จะดู
( อสุภ )
วิธีกำหนดจำนิมิตต่างๆ โดยรอบอสุภนั้น
- พระโยคาวจรผู้ยืนอยู่อย่างนั้นแล้ว พึงกำหนดจำนิมิตทั้งหลายโดยรอบ
ที่กล่าวมาแล้วว่า " เธอย่อมทำก้อน
หินก็ดี ฯลฯ ไม้เถาก็ดี ( อันมีอยู่ ) ในที่แห่งนั้นให้เป็นนิมิตร่วม "
ดังนี้ ( ต่อไป ) นี้ เป็นวิธีกำหนดจำในข้อนั้น
- ถ้าโดยรอบ ( อสุภ ) นิมิตนั้น ก้อนหินมีอยู่ในคลองจักษุไซร้
พึงกำหนดดูก้อนหินนั้นว่า " หินก้อนนี้สูงหรือเตี้ย
เล็กหรือใหญ่ ดำหรือขาว ยาวหรือกลม " ต่อนั้นจึงสังเกตไว้ว่า " ในโอกาสตรงนี้นั่นเป็นก้อนหิน
นี่เป็นอสุภนิมิต
นี่อสุภนิมิต นั่นก้อนหิน "
- ถ้าจอมปลวกมีอยู่ แม้จอมปลวกนั้นพึงก็กำหนดดูว่า "
สูงหรือเตี้ย เล็กหรือใหญ่ ดำหรือขาว สั้น ยาว หรือ
กลม ต่อนั้นจึงสังเกตไว้ว่า " ในโอกาสตรงนี้ นั่นเป็นจอมปลวก นี่เป็นอสุภนิมิต
( นี่อสุภนิมิต นั่นจอมปลวก ) "
- ถ้าไม้ต้นมีอยู่ แม้ต้นไม้นั้นก็พึงกำหนดดูว่า "
เป็นต้นโพธิ์หรือต้นไทร ต้นเต่ารั้งหรือต้นมะขวิด สูงหรือเตี้ย
เล็กหรือใหญ่ ดำหรือขาว ต่อนั้นจึงสังเกตไว้ว่า " ในโอกาสตรงนี้ นั่นเป็นต้นไม้
นี่เป็นอสุภนิมิต ( นี่อสุภนิมิต นั่น
ต้นไม้ ) "
- ถ้าไม้กอมีอยู่ แม้กอไม้นั้น ก็พึงกำหนดดูว่า "
เป็นกอเป้งหรือกอเล็บเหยี่ยว หรือกอพุด หรือกอว่านหางช้าง
กอสูงหรือเตี้ย เล็กหรือใหญ่ ต่อนั้นจึงสังเกตไว้ว่า " ในโอกาสตรงนี้ นั่นเป็นกอไม้
นี่เป็นอสุภนิมิต ( นี่อสุภนิมิต
นั่นกอไม้ ) "
- ถ้าไม้เถามีอยู่ แม้เถาไม้นั้นก็พึงกำหนดดูว่า "
เป็นเถาน้ำเต้า หรือเถาฟัก หรือเถาหญ้านาง หรือเถากระพังโหม
หรือเถาหัวด้วน " ต่อนั้นจึงสังเกตไว้ว่า " ในโอกาสตรงนี้ นั่นเป็นเถาไม้
นี่เป็นอสุภนิมิต นี่อสุภนิมิต นั่นเถาไม้ "
- ส่วนคำใดที่กล่าวว่า " ทำ ... ให้เป็นนิมิตร่วม
ให้เป็นอารมณ์ร่วม " คำนั้นก็ ( มีอรรถาธิบาย ) รวมอยู่ในข้อ
( กำหนดนิมิตโดยรอบ ) นี้แล เพราะว่าเมื่อกำหนดดู ( นิมิตโดยรอบ ) แล้วๆ เล่าๆ
ก็ชื่อว่าทำ ( นิมิตโดยรอบ
นั้น ) ให้เป็นนิมิตร่วม เมื่อกำหนดรวมนิมิต ๒ อย่างเข้าด้วยกันว่า นั่นก้อนหิน
นี่อสุภนิมิต นี่อสุภนิมิต นั่นก้อนหิน
ดังนี้ ก็ชื่อว่า ทำให้เป็นอารมณ์ร่วม ก็แลครั้นทำให้เป็นนิมิตร่วม และให้เป็นอารมณ์ร่วมอย่างนี้แล้ว
- เพราะความที่กล่าวไว้ว่า "
สภาวภาวโต ววฏฺฐเปติ กำหนดดูตามความที่มันเป็นของมันเอง " ดังนี้
ภาวะ
อันใด เป็นภาวะที่ซากศพนั้นมันเป็นเอง เป็นภาวะที่มันไม่ทั่วไปแก่สิ่งอื่น เป็นภาวะของตัวมัน
คือความที่มันเป็น
ซากขึ้นพอง พึงทำในใจโดยภาวะอันนั้น หมายความว่าให้กำหนดดูตามความเป็นของมัน
ตามรส ( คือกิจ )
ของมันอย่างนี้ว่า " วณิตํ อุทฺธุมาตกํ อสุภขึ้นพองน่าเกลียด "
( มหาฎีกาว่า ความขึ้นพอง เป็นสภาวะ คือ เป็น
ลักษณะของมัน ความทำให้เกิดความน่าเกลียดเป็นรส คือเป็นกิจ ( เป็นหน้าที่ ) ของมัน
)
ถือเอานิมิตโดยประการ ๖
- ครั้งกำหนดได้อย่างนี้แล้ว พึงถือเอานิมิต
โดยประการ ๖ ( ก่อน ) คือ โดยสีกายบ้าง โดยเพศบ้าง โดยสัณฐาน
บ้าง โดยทิศบ้าง โดยโอกาสบ้าง โดยตัดตอนบ้าง ถามว่า ถือเอาอย่างไร ? แก้ว่า ก็พระโยคีนั้นพึงกำหนดดูโดย
สีกายว่า " นี่เป็นซากของคน ( ผิว ) ดำ หรือของคน ( ผิว ) ขาว หรือของคนผิวสองสี
"
- ส่วนโดยเพศ อย่ากำหนดว่า เป็นเพศหญิง
หรือว่าเพศชาย พึงกำหนดว่า ( นี่เป็นซาก ) ของคนตั้งอยู่ในปฐมวัย
หรือในมัชฌิมวัย หรือในปัจฉิมวัย
- โดยสัญฐาน ก็พึงกำหนดโดยสัณฐานอสุภที่ขึ้นพองเท่านั้น
( กระจายออกไป ) ว่า " นี่เป็นสัณฐานศีรษะ นี่สัณฐาน
คอ นี่สัณฐานมือ นี่สัณฐานท้อง นี่สัณฐานสะดือ นี่สัณฐานสะเอว นี่สัณฐานอก นี่สัณฐานแข้ง
นี่สัณฐานเท้า ของ
ซากนั้น ( มหาฎีกาว่า อวัยวะทั้ง ๙ นั้น ต้องขึ้นพองทั้งนั้นจึงถือเอา ตรงไหนยังไม่ขึ้นพอง
ก็อย่าถือเอา เพราะถ้า
ไปถือเอาที่ยังไม่ขึ้น มันก็ไม่เป็นอุทธุมาตกะ )
- ส่วนโดยทิศ พึงกำหนดว่า "
ในซากนี้ มีทิศ ๒ คือ ใต้สะดือลงไปเป็นทิศเบื้องล่าง เหนือ ( สะดือ ) ขึ้นมาเป็น
ทิศเบื้องบน " อีกอย่างหนึ่ง พึงกำหนดว่า " เรายืนอยู่ในทิศนี้ อสุภนิมิตตั้งอยู่ในทิศนี้
"
- ส่วนโดยโอกาส พึงกำหนดว่า "
มือ ( ๒ ข้าง ) อยู่ในโอกาสตรงนี้ เท้า ( ๒ ข้าง ) อยู่ในโอกาสตรงนี้ ศีรษะ
อยู่ตรงนี้ กายท่อนกลางอยู่ตรงนี้ " อีกนัยหนึ่งพึงกำหนดว่า " เรายืนอยู่ในโอกาสนี้อสุภนิมิตตั้งอยู่ในโอกาสนี้
"
- โดยตัดตอน พึงกำหนดว่า "
ซากนี้ เบื้องล่างตัดตอนด้วยพื้นเท้า เบื้องบนตัดตอนด้วยปลายผม เบื้องขวางตัดตอน
ด้วยหนัง และในที่เท่าที่ตัดตอนไว้ ( นี้ ) มันเต็มไปด้วยซากศพ ๓๒ ทีเดียว " อีกนัยหนึ่ง
พึงกำหนดว่า " นั่นเป็น
ตอนมือ นั่นเป็นตอนเท้า นั่นเป็นตอนศีรษะ นั่นเป็นตอนกายท่อนกลาง " ( มหาฎีกาว่า
การกำหนดตอน เช่นว่า
ตอนมือข้างล่าง ถือเอาแค่ปลายนิ้ว ข้างบน แค่ที่ต่อจากบ่า ทางขวาง แค่หนังที่หุ้มโดยรอบ
แม้ตอนอื่นก็พึงเทียบ
เคียงกำหนดตามนัยนี้ ) หรืออนึ่งเธอถือเอาที่ ( แห่งอวัยวะ ) ได้เพียงใด ก็พึงตัดตอนเอาที่เพียงนั้นแหละว่า
" นี่อุทธุมาตกอสุภเป็นเช่นนี้ " แต่ว่าร่างของสตรีย่อมไม่ควรแก่บุรุษ
ร่างของบุรุษเล่าก็ไม่ควรแก่สตรี อารมณ์
ในร่างอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ย่อมไม่ปรากฏ ( อาการปฏิกูล ) มีแต่จะเป็นปัจจัยแห่งความ
( ใจ ) แกว่งไปต่างๆ
เพราะท่านกล่าวไว้ในอรรถกถามัชฌิมนิกายว่า " สตรีแม้ ( ตายจน ) ขึ้นพองแล้วก็ยังยึดจิตบุรุษไว้อยู่
เพราะเหตุ
นั้น พระโยคาวจรพึงถือเอานิมิตโดยอาการ ๖ แต่ในร่างที่เป็นเพศเดียวกันเถิด