แก้อรรถบท สุคโต ๔ นัย
- พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า
สุคโต เพราะเป็นผู้มีทางเสด็จไปอันงาม ๑ เพราะเสด็จไปแล้วเป็นอันดี ๑
เพราะเสด็จไปแล้วโดยชอบ ๑ เพราะตรัสโดยชอบ ๑
นัยที่ ๑ ผู้มีทางเสด็จไปอันงาม
- ก็แลทางไปนั้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นทางงาม
เป็นทางสะอาด หาโทษมิได้ ถามว่า ก็ทางไปนั้นคืออะไร?
ตอบว่าคือ อริยมรรค จริงอยู่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเสด็จไปไม่ข้องขัดสู่ทิศอันเกษมได้ก็ด้วยทางไปอันนั้นเหตุนั้น
จึงทรงพระนามว่า สุคโต เพราะความเป็นผู้มีทางเสด็จไปอันงาม
นัยที่ ๒ ผู้เสด็จไปเป็นอันดี
- อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเสด็จไปแล้วเป็นอันดี
คือพระอมตะนิพพาน เหตุนั้น จึงทรงพระนามว่า สุคโต
เพราะความเป็นผู้เสด็จไปเป็นอันดีแล้ว ประการ ๑
นัยที่ ๓ ผู้เสด็จไปโดยชอบ
- อนึ่ง พระองค์เสด็จไปแล้วโดยชอบ
คือ ไม่กลับมาสู่กิเลสทั้งหลายที่ทรงละได้แล้วด้วยมรรคนั้นๆ อีก สมคำที่
กล่าวไว้ ( ในปฏิสัมภิทามรรค ) ว่า กิเลสเหล่าใด ทรงละแล้วด้วยโสดาปัตติมรรคพระองค์ไม่ทรงคืนมา
ไม่ทรง
หวนมา ไม่ทรงกลับมาสู่กิเลสเหล่านั้น เหตุนั้น พระองค์จึงเป็น สุคโต ฯลฯ กิเลสเหล่าใดทรงละแล้วด้วยอรหัตมรรค
พระองค์ไม่ทรงคืนมา ไม่ทรงหวนมา ไม่ทรงกลับมาสู่กิเลสเหล่านั้น เหตุนั้น พระองค์จึงเป็น
สุคโต ดังนี้ อีกอย่าง
หนึ่งเสด็จไปโดยชอบ คือ ทรงทำแต่ประโยชน์เกื้อกูล และความสุข แก่โลกทั้งปวง ด้วยพระสัมมาปฏิบัติ
เพราะทรง
บำเพ็ญพระสมดึงสบารมีจำเดิมแต่ ( กาลที่ตั้งพระปณิธาน ) แทบบาทมูลพระพุทธทีปังกร
ตราบเท่าถึงกาลที่พระ
โพธิญาณแจ่มใส และทรงดำเนินไป ( เป็นมัชฌิมา ) ไม่เข้าใกล้อันตะ ( ๒ คู่ ) คือ
สัสสตะ และอุจเฉทะ ( คู่ ๑ )
กามสุขะ อัตตกิลมถะ ( คู่ ๑ ) เหตุนั้น จึงทรงพระนามว่า สุคโต เพราะความที่เสด็จไปโดยชอบ
( ดังนี้ ) ประการ ๑
นัยที่ ๔ ผู้ตรัสโดยชอบ
- อนึ่ง พระองค์ย่อมตรัสโดยชอบ คือทรงกล่าววาจาแต่ที่ควร
ในฐานะอันควร เหตุนั้นจึงทรงพระนามว่า
สุคโต เพราะความที่ตรัสโดยชอบประการ ๑ ( ความในอภัยราชกุมารสูตรต่อไป ) นี้ เป็นสูตรสาธกในความข้อนั้น
คือ
- ๑. ตถาคตรู้วาจาใดว่า เป็นวาจาไม่จริงไม่แท้ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก
ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่นๆ ด้วย ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น
- ๒. แม้วาจาใดตถาคตรู้ว่าเป็นวาจาจริงแท้
( แต่ว่า ) ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้น
ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่นๆ ด้วย แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่กล่าว
- ๓. ส่วนวาจาใด ตถาคตรู้ว่า
เป็นวาจาจริงแท้ประกอบด้วยประโยชน์ ถึงวาจานั้นไม่เป็นที่รักไม่
เป็นที่ชอบใจของคนอื่นๆ ในข้อนั้น ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้จักกาลที่จะใช้วาจานั้น
- ๔. ตถาคตรู้วาจาใดว่า เป็นวาจาไม่จริงไม่แท้ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ถึงวาจานั้นเป็นที่รักที่
ชอบใจของคนอื่นๆ ตถาคตก็ไม่กล่าววาจานั้น
- ๕. แม้วาจาใด ตถาคตรู้ว่าเป็นวาจาจริงแท้
แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ถึงวาจานั้นเป็นที่รักที่
ชอบใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่กล่าว
- ๖. ส่วนวาจาใด ตถาคตรู้ว่าเป็นวาจาจริงแท้
ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นเป็นที่รักที่
ชอบใจของคนอื่นๆ ด้วย ในข้อนั้น ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้จักกาลที่จะใช้วาจานั้น (
ม.ม. ๑๓/๙๒ )
- พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น บัณฑิตพึงทราบว่าทรงพระนามว่า
สุคโต เพราะความที่ตรัสชอบ ดังกล่าวมาฉะนี้
ประการ ๑
แก้อรรถบท โลกวิทู
( โลกยาววา )
- ส่วนที่ทรงพระนามว่า โลกวิทู
ก็เพราะทรงรู้โลก แม้โดยประการทั้งปวง แท้จริงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นได้
ทรงรู้ คือ เข้าพระหฤทัยปรุโปร่ง ซึ่งโลก โดยประการทั้งปวง คือ โดยสภาวะ โดยสมุทัย
โดยนิโรธ โดยนิโรธุบาย
( วิธีเข้าถึงนิโรธ ) ดังที่ตรัส ( แก่โรหิตัสสเทพบุตร ) ว่า " ดูกรอาวุโส
ในที่สุดโลกใดแล สัตว์ไม่เกิด ไม่แก่
ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุปปัติ เราไม่กล่าวที่สุดโลกนั้นว่า เป็นที่จะพึงรู้พึงเห็นพึงไปถึงด้วยการ
( เดินทาง )
ไป แต่เราก็ไม่กล่าวว่า ยังไม่ถึงที่สุดโลกแล้วจะทำที่สุดทุกข์ได้ แต่เออ เราบัญญัติโลกและโลกสมุทัย
โลกนิโรธ ( ความดับโลก ) โลกนิโรธคามินีปฏิปทา ( ลงใน ) กเลวระ ( ร่างกาย ) อันยาวประมาณ
หนึ่งวา มีสัญญา มีใจ ( ครอง ) นี้ดอก " สูตรนี้มีนิคมคาถา ความว่า
- ที่สุดโลก บุคคลไม่พึง ( ไป
) ถึงได้ด้วยการ ( เดินทาง ) ไป แต่ไรมา แต่ว่ายังไม่ถึงที่สุดโลกแล้ว
แลพ้นทุกข์ได้หามีไม่ เพราะเหตุนั้นแล ท่านผู้ปัญญาดี ผู้ถึงที่สุดโลก อยู่จบพรหมจรรย์
สงบแล้ว
รู้ที่สุดโลกแล้ว จึงไม่ปรารถนาทั้งโลกนี้ และโลกอื่น ( องฺ.จตุกฺก. ๒๑/๖๔
)
โลก ๓
- อีกนัยหนึ่ง โลกมี ๓ คือ สังขารโลก
สัตวโลก โอกาสโลก ในโลก ๓ นั้น สังขารโลก พึงทราบในอาคตสถาน
( บาลี ) ว่า " โลก ๑ คือสัตว์ทั้งปวงตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร " (
ขุ.ป. ๓๑/๑๗๘ ) สัตวโลก พึงทราบใน
อาคตสถาน ( บาลี ) ว่า " ( เห็น ) ว่าโลกเที่ยงบ้าง ว่าโลกไม่เที่ยงบ้าง
" โอกาสโลก พึงเห็นในอาคตสถาน
( บาลีพรหมนิมันตนิกสูตร ) ว่า
- " ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ลอยไปรอบ
( จักรวาล ทำให้ ) ทิศทั้งหลายสว่างไสว โดยที่มีประมาณ
เท่าใด โลกในที่มีประมาณเท่านั้น มีอยู่ ๑,000 ส่วน ( คือว่ามี ๑,000 โลก ) อำนาจของท่านปกแผ่ไปใน
โลกเหล่านั้น " ( ม. มู. ๑๒/๕๙๔ )
- พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงรู้โลกทั้ง
๓ นั้น โดยประการทั้งปวง จริงอย่างนั้น แม้สังขารโลก คือ โลก ๑ คือ
สัตว์ทั้งปวงตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร โลก๒ คือ นาม ๑ รูป ๑ โลก ๓ คือเวทนา ๓ โลก
๔ คืออาหาร ๔
โลก ๕ คือ อุปาทานขันธ์ ๕ โลก ๖ คืออายตนะภายใน ๖ โลก ๗ คือ วิญญาณฐิติ
๗ โลก ๘ คือ
โลกธรรม ๘ โลก ๙ คือ สัตตาวาส ๙ โลก
๑0 คือ อายตนะ ๑0 โลก ๑๒ คือ อายตนะ ๑๒ โลก ๑๘
คือ ธาตุ ๑๘ ( ขุ.ป. ๓๑/๑๗๘ ) นี้
พระองค์ทรงรู้โดยประการทั้งปวง อนึ่ง เพราะเหตุที่พระองค์ทรงรู้อาสยะ
( ที่มานอนแห่งจิต ) ทรงรู้อนุสยะ ( กิเลสที่นอน คือ ตกตะกอน อยู่ในสันดาน )
- ทรงรู้จริต ( ปกติของจิต ) ทรงรู้อธิมุติ
( ความโน้มเอียงแห่งจิต ) ของสัตว์ทั้งปวงหมด ทรงรู้สัตว์ทั้งหลาย
ที่มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย มีกิเลสดุจธุลีในดวงตามาก ที่มีอินทรีย์กล้า มีอินทรีย์อ่อน
ที่มีอาการดี มีอาการทราม
ที่จะพึง ( สอน ) ให้รู้ง่าย ที่จะพึง ( สอน ) ให้รู้ยาก ที่เป็นภัพพสัตว์
เป็นอภัพพสัตว์ เพราะเหตุนั้น แม้สัตวโลก
พระองค์ทรงรู้โดยประการทั้งปวง อนึ่ง สัตวโลกพระองค์ทรงรู้ฉันใด แม้โอกาสโลกก็ทรงรู้ฉันนั้น
จริงอย่างนั้น
ขนาดของจักรวาล
- จักรวาลอันหนึ่ง โดยยาวและโดยกว้าง
ประมาณ ๑,๒0๓,๔๕0 โยชน์ ( ๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร )
ส่วนโดยรอบปริมณฑลทั้งสิ้น ( ของจักรวาลนั้น )ประมาณ ๓,๖๑0,๓๕0 โยชน์
ขนาดหนาของแผ่นดิน
- ในจักรวาลนั้น
- แผ่นดินนี้ กล่าวโดยความหนา
มีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๒๔0,000 โยชน์
ขนาดหนาของน้ำรองแผ่นดิน
- สิ่งที่รองแผ่นดินนั้นหรือ คือ
- น้ำอันตั้งอยู่บนลม โดยความหนามีประมาณถึงเท่านี้
คือ ๔๘0,000 โยชน์
ขนาดความหนาของลมรองน้ำ
- ลมอัน ( พัดดัน ) ขึ้นฟ้า ( โดยความหนา
) มีประมาณ ๙๖0,000 โยชน์ นี่เป็นความตั้ง
อยู่พร้อมมูลแห่งโลก
ขนาดภูเขาสิเนรุและต้นไม้ประจำทวีป
- อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น
มี
- ภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด
หยั่ง ( ลึก ) ลงไปในมหาสมุทร ๘๔,000 โยชน์ สูงขึ้นไป
( ในฟ้า ) ก็ประมาณเท่ากันนั้น
- ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร
ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ
ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง
( ลึก ) ลงไป
( ในมหาสมุทร ) และสูงขึ้นไป ( ในฟ้า ) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ
ภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ นั้น ( ตั้งอยู่ ) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ( จาตุ )
มหาราช เป็นที่ๆ เทวดา
และยักษ์อาศัยอยู่
- ภูเขาหิมวาสูง ๕00 โยชน์ ยาวและกว้าง
๓,000 โยชน์ ( เท่ากัน ) ประดับไปด้วยยอดถึง ๘๔,000
ยอด
- ต้นชมพู ( หว้า ) ชื่อนคะ วัดรอบลำต้นได้
๑๕ โยชน์ ลำต้นสูง ๕0 โยชน์ และกิ่ง ( แต่ละกิ่ง )
ก็ยาว ๕0 โยชน์ แผ่ออกไปวัดได้ ๑00 โยชน์โดยรอบ และสูงขึ้นไปก็เท่ากันนั้น ด้วยอานุภาพของ
ต้นชมพู ( นี้ ) ไรเล่า ทวีปนี้จึงถูกประกาศชื่อว่า ชมพูทวีป
- ก็แลขนาดของต้นชมพูนี้ใด ขนาดนั้นนั่นแหละเป็นขนาดของต้นจิตรปาฏลี
( แคฝอย ) ของพวกอสูร
ต้นสิมพลี ( งิ้ว ) ของพวกครุฑ ต้นกทัมพะ ( กระทุ่ม ) ในอมรโคยานทวีป ต้นกัปปะในอุตตรกุรุทวีป
ต้นสิรีระ ( ซึก ) ในบุพพวิเทหทวีป ต้นปาริฉัตตกะ ในดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้นแล
ท่านโบราณจารย์จึงกล่าวไว้ว่า
- " ( ต้นไม้ประจำภพและทวีป
คือ ) ต้นปาฏลี ต้นสิมพลี ต้นชมพู ต้นปาริตฉัตตะของพวกเทวดา
ต้นกทัมพะ ต้นกัปปะ และต้นที่ ๗ คือ ต้นสิรีสะ ดังนี้
ขนาดภูเขาจักรวาล
- ภูเขาจักรวาล หยั่ง ( ลึก )
ลงไปในมหาสมุทร ๘๒,000 โยชน์ สูงขึ้นไป ( ในฟ้า ) ก็เท่ากันนั้น
ภูเขาจักรวาลนี้ตั้งล้อมโลกธาตุทั้งสิ้นนั้นอยู่
ขนาดของภพและทวีป
- ในโลกธาตุนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์
ภพดาวดึงส์ ๑0,000 โยชน์ ภพอสูร มหานรกอเวจี และชมพูทวีปก็
เท่ากันนั้น อมรโคยานทวีป ๗,000 โยชน์ บุพพวิเทหทวีปก็เท่านั้น อุตตรกุรุทวีป
๘,000 โยชน์ อนึ่ง ในโลกธาตุนั้น
ทวีปใหญ่ๆ ทวีป ๑ ๆ มีทวีปน้อยเป็นบริวาร ทวีปละ ๕00
- สิ่งทั้งปวง ( ที่กล่าวมานี้ )
นั้น ( รวม ) เป็นจักรวาล ๑ ชื่อว่า โลกธาตุอัน ๑ ๑ในระหว่างแห่งโลกธาตุ
ทั้งหลายมีโลกันตนรก ( แห่งละ ๑ ) ๒
- ๑. มหาฎีกาว่า จักรวาล
ก็คือโลกธาตุ โลกธาตุได้ชื่อว่า จักรวาล ก็เพราะมีภูเขาจักรวาล ซึ่งสัณฐานดังกง
รถล้อมอยู่โดยรอบเท่านั้นเองไม่ใช่จักรวาลอัน ๑ โลกธาตุอัน ๑
- ๒. ท่านว่าจักรวาลหรือโลกธาตุนั้นมีมากนัก
ช่องว่างในระหว่างจักรวาล ๓ จักรวาลต่อกัน มีโลกันตนรก ๑
ทุกแห่งไป โดยนัยนี้ คำว่า โลกันตนรก ก็แปลว่า นรกอันตั้งอยู่ในช่องระหว่างจักรวาล
๓ อันนั่นเอง
- พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ได้ทรงรู้
คือเข้าพระหฤทัยปรุโปร่ง ซึ่งอนันตจักรวาล อนันตโลกธาตุ มีประการดังกล่าว
มาฉะนี้ ด้วยพระอนันตพุทธญาณ แม้โอกาสโลก พรองค์ก็ทรงรู้โดยประการทั้งปวง โดยนัยดังกล่าวมา
พระผู้
มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าโลกวิทู เพราะทรงรู้โลกโดยประการทั้งปวง ดังนี้ประการ
๑
แก้อรรถบท อนุตฺตโร แยกเป็นบท
๑
- ก็แลบุคคลผู้ยิ่งกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นหามีไม่
เพราะไม่มีใครสักคนที่วิเศษกว่าพระองค์โดยคุณทั้งหลาย
เหตุนั้น จึงทรงพระนามว่า อนุตฺตโร จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นย่อมทรงครอบงำเสียซึ่งโลกทั้งปวง
ด้วยสีลคุณก็ดี ด้วยสมาธิคุณ ปัญญาคุณ วิมุติคุณ และวิมุติญาณทัสสนคุณก็ดี พระองค์เป็นผู้ไม่มีผู้เสมอ
ทรง
เสมอกับท่านที่ไม่มีผู้เสมอ ( คือพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ) ไม่มีผู้เปรียบ ไม่มีผู้คล้าย
ไม่มีผู้ทัดเทียม ด้วยสีลคุณก็ดี
ฯลฯ ด้วยวิมุติญาณทัสสนคุณก็ดี ดังที่ตรัสไว้ว่า " ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แต่ว่าเราไม่เห็น ( สมณะหรือพราหมณ์
อื่น ) ผู้ถึงพร้อมด้วยศีลยิ่งกว่าตถาคตเลย ในโลก ( นี้ ) กับทั้งเทวโลก มารโลก
พรหมโลก ฯลฯ ในประชาชนทั้งที่เป็นเทวดา และมนุษย์ " ดังนี้เป็นต้น (
สํ.ส. ๑๕/๒0๔ ) ความพิสดาร บัณฑิตพึงกล่าว
( ตามนัยพระสูตรนี้ ) สูตรทั้งหลายมีอัคคัปปสาทสูตรเป็นต้น และคาถาทั้งหลาย เช่นคาถาที่มีคำขึ้นต้นว่า
" น เม
อาจริโย อตฺถิ - อาจารย์ของเราไม่มี " บัณฑิตพึง ( นำมากล่าว ) ให้พิสดาร
เทอญ