การปฏิบัติสมาธิตามหลักธรรมชาติ
โดย พระราชสังวรณาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
เทศนาโปรดอุบาสก อุบาสิกา
ณ เกาะมหามงคล อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๓๕

นั่งสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือซ้ายวางลงบนตัก มือขวาวางทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น
กำหนดจิตรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก วิธีทำของพระพุทธเจ้า ทำอย่างไร มีพระสติกำหนดรู้ลมหายใจเฉยอยู่ ลมหายใจเป็นธรรมชาติของร่างกาย ที่ว่าเป็นธรรมชาติของร่างกายก็เพราะว่าเราตั้งใจก็ตาม ไม่ตั้งใจก็ตาม การหายใจมีอยู่เป็นปกติทั้งหลับและตื่น จึงชื่อว่าเป็นธรรมชาติของร่างกาย พระองค์มีพระสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก เพียงแต่กำหนดรู้ลมหายใจด้วยอาการเบา ๆ มีพระสติประคองจิตให้รู้ที่ลมหายใจเฉย ๆ ไม่ได้แต่งลมหายใจ ไม่ได้บังคับลมหายใจ เพียงแค่รู้อยู่ แล้วก็ไม่ได้บังคับจิต ไม่ได้ข่มจิตให้สงบ ปล่อยไปตามธรรมชาติ

หน้าที่ของพระองค์มีพระสติกำหนดรู้อย่างเดียว ในขณะที่จิตอยู่กับลมหายใจ พระองค์ก็ปล่อยให้อยู่อย่างนั้น ถ้าบางครั้งจิตทิ้งลมหายใจไปเกิดความคิดขึ้นมา พระองค์กำหนดรู้ความคิด ถ้าหากคิดไม่หยุด พระองค์ก็ปล่อยให้คิดไปเพราะความคิดเป็นธรรมชาติของจิต หน้าที่ของพระองค์เพียงแค่มีพระสติกำหนดตามรู้ความคิดไปเท่านั้น พระองค์ปล่อยให้จิตของพระองค์อยู่ที่ลมหายใจ ความคิด ความว่าง เอาลมหายใจ ความคิด และความว่างเป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่งระลึกของสติ โดยปล่อยไปตามธรรมชาติ ไม่มีการบังคับ ไม่มีการตกแต่ง แต่มีสติรู้ต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย จิตจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร พระองค์ก็มีพระสติรู้อย่างเดียว ไม่ได้บังคับจิต

อันนี้คือวิธีฝึกสมาธิตามหลักของธรรมชาติ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้ปฏิบัติมาแล้ว พุทโธก็ไม่ได้ว่า สัมมาอรหังก็ไม่ได้บ่น ยุบหนอ-พองหนอก็ไม่ได้ท่อง เพราะไม่มีคำที่จะท่อง คำ ๓ คำ พระพุทธเจ้ายังไม่ได้เกิด ยังไม่มีใคร
พบว่า ท่านชายสิทธัตถะเลย ไม่มีคำที่จะมาท่อง เมื่อไม่มีคำใดที่จะมาท่อง ก็เอาลมหายใจที่มันมีอยู่โดยธรรมชาติกับความคิดเป็นอารมณ์ แล้วพระองค์ก็ทรงมีพระสติกำหนดลมหายใจ ความคิด ความว่าง

ธรรมชาติของจิต ถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก เขาก็ย่อมจะเพิ่มพลังงานเพิ่มมากขึ้นทุกที ๆ จนในที่สุดจิตของพระองค์หันมายึดลมหายใจอย่างเหนียวแน่น พอจิตมายึดลมหายใจ เอาลมหายใจมาเป็นอารมณ์อย่างไม่ลดละ ไม่ยอมปล่อยวาง แล้วตามรู้ลมหายใจเข้า หายใจออกอยู่อย่างนั้น ทีนี้การที่จิตมาตามรู้ลมหายใจเข้า หายใจออกไม่ลดละ ได้ชื่อว่าสมาธิเริ่มของณานที่ ๑ และณานที่ ๒ ที่นี้เมื่อจิตมีความดูดดื่มซึมซาบ ก็เกิดปีติเกิดความสุข เกิดความเป็นหนึ่ง ตามลำดับ

ในบางครั้ง ลมหายใจแผ่วเบาลงไป ละเอียดลงไป ๆ บางครั้ง ลมหายใจก็ปรากฎหยาบขึ้น ๆ หรือบางครั้งมองเห็นลมหายใจวิ่งออกวิ่งเข้าเหมือนท่อสว่างยาว ๆ วิ่งออกวิ่งเข้า แล้วจิตก็กำหนดรู้อยู่เองโดยอัตโนมัติโดยที่พระองค์ไม่ได้ตกแต่งให้จิตเป็นไปอย่างไร ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของสมาธิแล้ว ในที่สุดในเมื่อลมหายใจละเอียดลงไป ๆ จิตของพระองค์ก็ตามลมหายใจเข้าไปสงบ นิ่ง สว่าง อยู่ในท่ามกลางของร่างกาย ทำให้จิตของพระองค์ไปรู้อวัยวะภายในร่างกายทั่วถ้วนหมดครบอาการครบ 32

อะยัง โข เม กาโย กายของเรานี้แล
อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อะโธ เกสะมัตถะทา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่าง ๆ
อัตถิ อิมัสมิง กาเย มีอยู่ในภายนี้
เกสา มีผม โลมา มีขน นะขา มีเล็บ ทันตา มีฟัน ตะโจ มีหนัง เป็นต้น

พระองค์ได้รู้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กายคตาสติสูตร ก็เกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้น ที่เราได้มาสวดกันอยู่เวลานี้
ทีนี้ในเมื่อจิตของพระองค์ไปสงบ นิ่ง สว่าง อยู่ในทางกลางของร่างกาย สามารถมองเห็นอวัยวะ รู้เห็นอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายครบถ้วน อาการ ๓๒ แล้วก็พุ่งรัศมีความสว่างไสวออกมารอบ ๆ กาย เมื่อจิตไปรู้อยู่ในภาย
มองเห็นอาการ ๓๒ ครบหมด จิตก็ได้วิตก วิจาร

วิตก ก็คือ นึกถึงกายเป็นอารมณ์ เรียกว่า เจริญกายคตาสติ
วิจาร ก็คือ มีสติควบคุมจิตอยู่โดยอัตโนมัติ
ในเมื่อจิตมีวิตก วิจาร มีความดูดดื่ม ซึมซาบ ก็เกิดอาการของปีติคือความเอิบอิ่มใจ
ปีติ เป็นอาการที่จิตดื่มรสพระสัทธรรม เมื่อจิตได้ดื่มรสพระสัทธรรม จิตก็มีความสุขความสบาย มีความสงบ บ่ายหน้าไปสู่ความสงบละเอียด ๆ เข้าไปทุกที ๆ จนกระทั่งในที่สุดความรู้สึกว่ามีกายค่อย ๆ จางหายไป ๆ ในที่สุด กายหายไป ยังเหลือแต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่างไสว ลอยเด่นอยู่ในจักรวาลนี้ คล้าย ๆ กับว่าในขณะนั้นมีแต่จิตของพระองค์ท่านดวงเดียวเท่านั้น ลอยเด่นสว่างใสวอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างได้หายไปหมด แต่ว่าใจขณะนั้นจิตดวงนี้อาศัยความสว่างเป็นเครื่องอยู่ เครื่องอาศัย เป็นอารมณ์
เพราะฉะนั้น ณานที่ ๔ จึงได้ชื่อว่า จตุตถณาน เป็นรูปณาน

เมื่อจิตใจดำรงอยู่ในความสว่างพอสมควรแล้วก็ก้าวขึ้นไปสู่อากาศเรียกว่า อากาสามัญจายตนะ โดยกำหนดความว่างเป็นอารมณ์ ความว่างไม่มีที่สิ้นสุด ความว่างไม่มีประมาณ แต่ในขณะนั้นจิตไม่ได้นึกคิดอะไร แต่ว่ามันรู้อยู่ในจิต ทีนี้จิตก็มาสำรวมรู้เข้าในวิญญาณ เรียกว่าวิญญานัญจายตนะ เมื่อกำหนดวิญญาณตัวรู้ เวทนา สุข ทุกข์ ก็ย่อมบังเกิดขึ้น ปรากฎอย่างละเอียด ๆ ซึ่งถ้าไม่ใช่จิตของพระโพธิสัตว์ก็คงกำหนดไม่ได้ เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ สัญญา เวทนา ละเอียดเข้าไป จะว่าดีก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ดีก็ไม่ใช่ เป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นอันว่าจิตของพระพุทธองค์เป็นไปตามขั้นตอนของฌานสมาบัติ ได้บรรลุสมาบัติ ๘

แล้วพระองค์ไม่ได้น้อมจิตไปสู่ฌานขั้นนั้น ญาณขั้นนี้ เมื่อได้ปฐมสมาธิ คือปฐมฌานแล้วจิตปฏิวัติตัวไปเอง จิตน้อมไปเอง
ถ้าใช้คำว่าน้อมจิตไปสู่ณานขั้นนั้นขั้นนี้ ก็เหมือนกับว่าเราตั้งใจจะแต่งเอา จะให้จิตของเราไปอยู่ฌานขั้นไหน ญาณขั้นไหน เราก็แต่งเอา ๆ แต่แท้ที่จริง การน้อมไปนั้นเป็นกิริยาของจิตที่น้อมไปตามพลังงานของตนเอง จิตจะไปบรรลุฌานขั้นไหน ญาณขั้นไหน จิตปฏิวัติตัวไปเองโดยอัตโนมัติ เราไม่ได้ตกแต่ง อันนี้คือสมาธิหรือฌาน ญาณโดยธรรมชาติ ไม่ใช่ฌานที่เราแต่งเอาตามที่เราชอบใจ

ในเมื่อจิตของพระองค์ใปถึงขั้น เนวสัญญายตนะ มันไปสุดยอดของสมาบัติแล้ว ไม่มีที่ไปอีกแล้ว ที่สุดของโลกียสมาธิมันสุดอยู่ที่ตรงที่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตของพระองค์ไม่มีทางไปก็วกเข้าไปสู่ สัญญาเวทยิตนิโรธ เรียกว่าเข้านิโรธสมาบัติ จะว่าดับหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ดูมันคล้าย ๆ ว่าจิตมันรู้สึกว่าจิตมันดับไปด้วย แต่แท้ที่จริงมันก็ไม่ดับ มันปรากฎอยู่อย่างละเอียด แต่วิสัยของผู้ไม่ใช่พระสยัมภูผู้รู้เองย่อมไม่สามารุกำหนดรู้ได้ แต่นี่เป็นวิสัยของพระโพธิสัตว์เช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ว่าจิตจะละเอียดลงไปเท่าไร สัญญาจะละเอียดละไปเท่าไร ตัวรู้ของพระอวค์ก็ยังปรากฎอยู่นิด ๆ ทีนี้เมื่อจิตของพระอวค์วกเข้าไปสู่สัญญาเวทยิตนิโรธ ไปสร้างพลังงานอยู่ที่ตรงนั้น สัญญาเวทยิตนิโรธคือนิโรธสมาบัติ เป็นฐานพลังงานเพื่อก้าวขึ้นไปสู่ภูมิแห่งโลกุตรธรรม

เมื่อจิตของพระองค์ไปสร้างพลังงานอยู่ที่ตรงนี้พร้อมแล้ว จิตดวงนี้ได้เบ่งบานออกมาอีกทีหนึ่ง สามารถแผ่รัศมีคลุมจักรวาลทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดกำลังได้ ความสว่างไปถึงไหน จิตของพระองค์ไปถึงนั่น นอกจากจะรู้บนผิวพื้นแห่งจักรวาล ยังสามารถมองทะลุผ่านกระทั่งบาดาลถึงภพพญานาค ในขณะนั้นเองพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นโลกวิทู ผู้รู้แจ้งโลก
โลกวิทู ผู้รู้แจ้งโลก นั้น หมายความว่า จิตของพระองค์ในขณะนั้นทั้งยมโลกได้แก่โลกนรกเป็นต้น รู้มนุษยโลก แล้วก็รู้เทวโลกมีโลกของเทวดาเป็นต้น ในขณะจิตเดียวตั้งแต่ปฐมยาม พระองค์ตรัสรู้โลกวิทู จุตูปปาตญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ อาสวักขยญาณ ในขณะจิตเดียวตั้งแต่ปฐมยาม แล้วก็ตรัสรู้ในขณะที่จิตอยู่ในสมาธิขั้นสมถะ

จิตสมาธิขั้นสมถะนี่ จิตสงบแล้วมันมีแต่จิตดวงเดียว ร่างกายตัวตนมันหายไปหมด จิตดวงนี้แม้ไม่มีร่างกายตัวตนก็สามารถที่จะรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่รู้เห็นอย่างนิ่ง ๆ เฉย ๆ รู้แล้ว เห็นแล้ว ไม่มีภาษาที่จะบัญญัติ หรือจะพูดสิ่งนั้นว่าเป็นอะไร สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น เห็นมนุษย์ก็ไม่ว่ามนุษย์แต่รู้อยู่เห็นอยู่ เห็นเทวดาก็ไม่ว่าเทวดา แต่รู้อยู่เห็นอยู่ เห็นนรกก็ไม่ว่านรก แต่รู้อยู่เห็นอยู่ รู้แล้วสามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เอาไว้พร้อมหมด ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่นักวิทยาศาสตร์สร้างขึ้นมาเพื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ แล้วก็ตรัสรู้ในขณะที่จิตอยู่ในสมาธิขั้นสมถะ จิตดวงนี้ไม่มีร่างกายตัวตน แต่สามารถรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่แปลกอยู่ตรงที่ว่ารู้แล้วไม่พูดไม่จา ได้แต่นิ่งลูกเดียว

อันนี้ขอเสนอให้นักปฏิบัติทั้งหลายไว้ลองพิจารณาดู ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรเพียงแต่เสนอมติและความเห็น ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นอย่างนั้นแน่นอน แต่สำหรับความเข้าใจของอาตมะ เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น
ที่กล่าวขึ้นมานี้ เพื่อหาหลักฐานพยานว่า ความรู้ความคิดเห็นนี้เป็นมิจฉาทิฎฐิหรือสัมมาทิฎฐิ จึงใคร่ที่จะขอฝากท่านผู้รู้ทั้งหลายไว้พิจารณาด้วยว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในขณะที่จิตเป็นสมาธิขั้นสมถะ แล้วก็บันทึกข้อมูลค่าง ๆ เอาไว้พร้อมหมด ภายหลังเมื่อรู้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วจิตถอนจากสมาธิ

จิตถอนจากสมาธิย้อนกลับมาสู่ความมีกายอยู่ พอรู้สึกว่ากายเท่านนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้เห็นหายไปหมด ยังเหลือแต่ความทรงจำที่จิตบันทึกเอาไว้ แล้วจิตดวงนี้จึงมาพิจารณาเรื่องปุพเพนิวาสานุสญาณ คือการระลึกชาติหนหลังได้ทั้งของพระองค์เอง ทั้งของคนอื่น สัตว์อื่นด้วย พิจารณาขบลงในปฐมยาม
แล้วก็มาพิจารณาการจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลายมีประเภทต่าง ๆ กัน ด้วยอำนาจของกรรม กัมมัง สัตเต วิภะชะติ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้มีประเภทต่าง ๆ กัน เกิดขึ้นในสมัยนั้น ภาษิตที่เราท่องกันอยู่นี้ว่า กัมมัง สัตเต วิภะชะติ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้มีประเภทเป็ฯต่าง ๆ กัน เกิดขึ้นในขณะนั้น พระองค์ทรงพิจารณาเรื่องนี้ การจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกฏของกรรม จบลงในมัชณิมยาม

แล้วก็มาพิจารณาเรื่องของกิเลสคืออาสวะ ได้แก่ อวิชชา ความรู้ไม่จริง ในปัจฉิมยาม อวิชชาความรู้ไม่จริงเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายต้องทำกรรมตามที่ตนเข้าใจ สิ่งที่สัตว์ผู้มีกิเลสเข้าใจก็ย่อมมีถูกบ้าง ผิดบ้าง บุญบ้าง บาปบ้าง เป็นเรื่องของธรรมดา และเมื่อทำลงไปแล้วก็ได้รับผลของกรรม ได้รับผลของกรรมแล้วก็มาเกิดอีก เกิดอีกก็อาศัยกิเลสอวิชชาตัวเดียวนี่แหละเป็นมูลเหตุให้ทำกรรมอีก เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฎฎสงสารไม่รู้จักจบสิ้น

ในเมื่อพระองค์พิจารณาเรื่องอาสวกิเลสจบลงในปัจฉิมยาม จิตยอมรับสภาพความเป็นจริง คือยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้เห็นนี้เป็นจริง เป็นสัจธรรม ไม่มีเปลี่ยนแปลง ความรู้แจ้งเห็นจริงเป็นอย่างนี้ และความรู้แจ้งเห็นจริงในขั้นโลกุตธรรมไม่มีภาษาสมมุติบัญญัติ แต่ความรู้ในขั้นโลกีย์มีภาษาสมมุติบัญญัติ รู้คนก็เรียกว่าคน รู้สัตว์ก็เรียกว่าสัตว์ แต่รู้ในขั้นโลกุตระได้แต่เฉยลูกเดียว เหมือนกันกับดวงอาทิตย์ส่องแสงลงมาไปถูกต้องผิวพื้นของโลก แล้วแสงอาทิตย์ก็ไม่ได้ตะโกนว่า นี่โลกคือแผ่นดินหนอ นี่ต้นไม้หนอ นี่คนหนอ สัตว์หนอ ไม่ได้ว่า มีแต่เฉยลูกเดียวจิตในขณะนั้นก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้ในเมื่อพระองค์พิจารณาจบลงแล้ว จิตยอมรับสภาพความจริง อรหัตมรรคญาณยังเกิดขึ้นตัดกิเลสอาสวะขาดสะบั้นลงไปในปัจฉิมยาม จึงได้ชื่อว่า อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ภควา พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ด้วยประการฉะนี้ นี่คือวิถีทางปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ในสมัยที่เป็นสิทธัตถะราชกุมาร ที่กำลังแสวงหาธรรมะเครื่องตรัสรู้อยู่

เพราะฉะนั้น สาธุชนทั้งหลายผู้ข้องใจในหลักและวิธีการปฏิบัตินั้นขอให้พิจารณาปฏิปทาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาปฏิปทาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นหลักปฎิบัติ ท่านทั้งหลายจะภาวนาบทไหนคัมภีร์ใด ในเมื่อจิตสงบลงเป็นสมาธิเป็นเองโดยอัตโนมัติ แล้วจิตเขาปฎิบัติตัวไปเองโดยมที่เราไม่ได้ตั้งใจ ทีนี้การปฏิบัติสมาธินี่ ถ้าหากว่าเรากำหนดอารมณ์จิตแล้ว เขาข่มจิต บังคับจิต น้อมจิตเป็นการปฏิบัติโดยฝืนธรรมชาติ ควรปล่อยจิตให้เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ จิตที่ปฏิบัติโดยฝืนธรรมชาติ ควรปล่อยจิตให้เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ จิตที่ปฏิวัติตัวเองไปโดยอัตโนมัติได้นี่ มันจะไปที่ไหน ถ้าหากมันไม่เกิดภูมิความรู้ขึ้นมามันก็ย้อนมาหาลมหายใจ ถ้ามันมีกายปรากฎ มันจะดูลมหายใจแต่ถ้าหากว่าไม่มีกายปรากฎ มันจะเกิดความคิด ความคิดนั่นอะไรก็ได้แล้วแต่จิตมันจะสร้างขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะพิจารณารูปนามว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันนี้เป็นภาคปฏิบัติ แต่เมื่อเราพิจารณาไปดู ถ้าจิตมันสงบเป็นสมาธิขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติแล้ว คำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นาม รูป มันไม่มีหรอก มันมีแต่จิตรู้อยู่เฉย ๆ ถ้ามันจะรู้จะเห็นอะไร สิ่งนั้นก็ปรากฎขึ้นมาให้รู้ รู้แล้วก็ปล่อยวางไป คำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันหายไปอีก ไม่มี อย่างสมมุติว่าท่านอาจจะพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นสิ่งปฏิกูลเน่าเปื่อย ผุพัง โสโครก ไม่สวยไม่งาม ดังกับซากศพที่ไปดูมาแล้วนั้น ในเมื่อจิตสงบลงไปเป็นสมาธิจริง ๆ นี่ คำว่าปฏิกูลน่าเกลียดมันจะไม่มีในความรู้สึกต่อให้มีสิ่งหนึ่งมีรูปร่างสวยงามอย่างกับเทวดา อีกอันหนึ่งเป็นซากศพเน่าเฟะ ในขณะที่จิตมันรู้อยู่ ๒ อย่างนี้ มันจะไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่า อันนี้ไม่ดี อันนี้ดี อันนี้เน่า อันนี้ไม่เน่า มันจะไม่มีความรู้สึกนึกคิดใด ๆ เลย แต่มันจะรู้อยู่เฉย ๆ อันนี้คือธรรมชาติของสมาธิที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะฉะนั้น คำว่าสมถะก็ดี วิปัสสนาก็ดี มันเป็นเพียงชื่อของวิธีการเท่านั้น

ผู้ที่ปฏิบัติด้วยการบริกรรมภาวนา หรือเพ่งกสิณ คำภาวนานี้มีอะไรบ้าง ยุบหนอ-พองหนอ พุทโธ สัมมาอรหัง และอื่น ๆ ที่เรามาท่องอยู่ในใจเพียงคำเดียว อันนี้เรียกว่า บริกรรมภาวนาเพ่งกสิณ เพ่งพระพุทธรูปบ้าง เพ่งดวงเทียนบ้าง เพ่งดินน้ำลมไฟบ้าง อันนี้เรียกว่า เพ่งกสิณ เป็นการปฏิบัติตามหลักและวิธีการของสมถกรรมฐาน แต่ถ้าเรากำหนดรู้อารมณ์จิต หรือยกเอาหัวข้อธรรมะมาพิจารณาอะไรก็ได้ อันนี้เรียกว่าปฏิบัติตามหลักและวิธีการของวิปัสสนา ทั้ง ๒ อย่างนี้ เราปฏิบัติเพื่อให้จิตสงบเป็นสมาธิเหมือนกันหมด เมื่อหยุดบริกรรมภาวนา จิตก็เป็นสมาธิ เมื่อหยุดพิจารณา จิตเข้าสมาธิ เข้าสมาธิสมถะ ตั้งแต่อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ หรือฌานที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ไปตามลำดับขั้นตอน ซึ่งจิตเขาจะปฏิวัติตัวไปเองโดยอัตโนมัติ เป็นวิธีการปฏิบัติเพื่อให้จิตสงบเป็นสมาธิ ให้เกิดมีสติปัญญา รู้ธรรม เห็นธรรม ตามความเป็นจริง

ความสงบไม่มี ไม่มีสมาธิ สมาธิไม่มี ไม่มีสมถะ สมถะไม่มี ไม่มีฌาน ฌานไม่มี ไม่มีฌาน ไม่มีปัญญา ปัญญาไม่มี ไม่มีวิชชาความรู้แจ้งเห็นจริง เพราะฉะนั้น สมถะ วิปัสสนา เป็นคุณเครื่องอาศัยซึ่งกันและกัน

ในบางครั้งนักปฏิบัติวันนี้ขี้เกียจหน่อย วันนี้จะภาวนาพุทโธ ๆ ๆ พอให้จิตมันสงบนิ่งสบาย ก็จะนอนจำวัดแล้ว พอภาวนาพุทโธลงไป จิตสงบปั๊ปลงไป แทนที่มันจะนิ่งอยู่เฉย ๆ ความรู้ ความคิดมันฟุ้ง ๆ ขึ้นมายังกับน้ำพุ ในบางครั้งพิจารณาพระไตรลักษณ์แทบเป็นแทบตาย พอจิตสงบปั๊บลงไป ไปนิ่งอยู่เป็นชั่วโมง ๆ ซึ่งมันจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าท่านผู้ปฺฎิบัติทั้งหลายนี่มีความสงสัยข้องใจในหลักและวิธีการตามที่พระคุณเจ้าท่านสอนโดยทั่วไป ก็ให้มายึดหลักของท่านชายสิทธัตถะ คือกำหนดรู้ลมหายใจ ออกจากที่นั่งสมาธิมาแล้วมากำหนดรู้อิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา เวลานอนลงไปจิตมันคืออะไร ปล่อยให้มันคิดไป อย่าไปห้ามมัน ถ้าไม่ห้ามมันเผื่อว่ามันไปคิดเรื่องอกุศลละ มันจะไม่เป็นบาปเป็นกรรมหรือ เจตนาหัง ภิกขะเว กัมมังวะรามิ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนาคือความตั้งใจเป็นตัวกรรม เราจะคิดด่าหรือแช่งชักหักกระดูกใคร เรามีเจตนาคือความตั้งใจที่จะคิด มันเป็นมโนกรรมแต่ถ้าอยู่ ๆ จิตมันคิดขึ้นมาลอย ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจนี่ มันจะคิดถึงเรื่องบาป เรื่องบุญ เรื่องกุศล เรื่องอกุศล มันไม่สำเร็จเป็นมโนกรรม เพราะไม่มีเจตนา มันจะเป็นเพียงแค่อารมณ์สิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ในขณะใดที่จิตเขาต้องการหยุดนิ่ง ปล่อยให้นิ่งเวลาใดจิตเขาต้องการคิด ปล่อยให้คิด หน้าที่ของเรามีสติตัวเดียว ใครจะทำสมาธิไปถึงขั้นไหน ณานขั้นไหน ญาณขั้นไหนก็ตาม ผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายคือสติ สติวินโย สติเป็นผู้นำอยู่ที่จิตตลอดเวลา เมื่อจิตมีสติสัมปชัญญะ เป็นผู้นำอยู่ตลอดเวลา สิ่งใดผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จิตรับรู้ รู้แล้วปล่อยวาง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านรับสั่งถามพระอานนท์ ว่า

- เธอว่าตัณหามันเกิดที่ไหนอานนท์!
- ขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม
- ตัณหามันเกิดขึ้นที่ตา หู จมูก ลิ้น ภาย และใจ
- มันเกิดได้อย่างไร พระเจ้าค่ะ
- มันเกิดเพราะตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจนึกคิดมันเกิดความยินดี ยินร้าย เกิดกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ก็ถ้าจะดับจะดับที่ไหน? กับดับที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
- มันจะดับได้อย่างไร พระเจ้าค่ะ
- สำรวมสติ

จักขุนา สังวะโร สาธุ การสำรวมตาเป็นการดี
สาธุ โสเตนะ สังวะโร การสำรวมหูเป็นการดี
ฆาเนนะ สังวะโร สาธุ การสำรวมจมูกเป็นการดี
สาธุ ชิวหายะ สังวะโร การสำรวมลิ้นเป็นการดี
กาเยนะ สังวะโร สาธุ การสำรวมกายเป็นการดี
สาธุ วาจายะ สังวะโร การสำรวมวาจาเป็นการดี
มะนะสา สังวะโร สาธุ การสำรวมใจเป็นการดี
สาธุ สัพพัตถะ สังวะโร การสำรวมในสิ่งทั้งปวงเป็นการดี
สัพพัตถะ สังวุโต ภิกขุ ภิกษุสำรวมในที่ทั้งปวง
สัพพะทุกขา ปะมุจจันติ ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงด้วยประการฉะนี้

ได้บรรยายธรรมมาพอเป็นเครื่องประดับสติปัญญาของท่านผู้ฟังก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลา จึงในท้ายที่สุดนี้ขอพระบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่ ๓ ประการ คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ผู้สมบูรณ์ไปด้วยธรรมะคำสั่งสอนอันยังผู้ปฏิบัติไม่ใตกไปในที่ชั่ว บุญญาบารมีอันใดที่พระอริยสงฆ์ผู้สืบพระศาสนาได้บำเพ็ญมา บุญบารมีอันใดที่อาตมะได้บำเพ็ญมาด้วยกาย วาจา จิต ขออุทิศให้เป็นพละปัจจัย หนุนส่งวิถีชีวิตและจิตใจของท่านทั้งหลายให้ดำเนินไปสู่ทางมรรค ผล นิพพาน ที่ถูกต้องทั่วกันทุกท่าน เทอญ

*** หมายเหตุ

จัดทำเมื่อ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๒
พบข้อบกพร่อง มีข้อเสนอแนะ บอกกันบ้างครับ
สารบัญธรรมปฏิบัติ
อ่านข่าวเมืองไทย