วิธีการฝึกร้องเพลงให้ถูกต้อง
โดย นายพงศ์
หาญไชยพิบูลย์กุล
ปัจจุบันการร้องเพลงให้ถูกต้องตามหลักทฤษฎีเป็นสิ่งจำเป็นในการออกงานสังคมมาก
เช่น ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มักถูกเชิญขึ้นไปร้องเพลงในงานเลี้ยงที่เป็นทางการของหน่วยงานต่าง
ๆ หรือแม้แต่ในงานเลี้ยงสังสรรค์ระหว่างเพื่อนฝูง
ซึ่งมักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
การร้องเพลงเป็นจะช่วยให้ไม่อายผู้อื่น
นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดประโยชน์เป็นอย่างมากในด้านการผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดจากการงาน
และยังเป็นการออกกำลังกายที่ดีอย่างหนึ่งด้วย
และหากร้องเพลงได้ไพเราะยังสามารถนำไปประกอบอาชีพสร้างรายได้ให้แก่ตนเอง
ดังนั้นการฝึกร้องเพลงจำเป็นต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักทฤษฎีดังนี้
1. ท่าทาง การปฏิบัติที่ถูกต้องควรจะให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ
คือยืนตรง
เท้าวางห่างกันประมาณ 1
ฟุต
เท้าขวาอยู่หน้าเล็กน้อย
ให้รู้สึกว่ากระดูกสันหลังรับน้ำหนักทั้งหมด
ฝึกหัดยกหัว เชิดหน้า
ไหล่ตรง แขม่วท้อง
หดสะโพก หลังตรง
ไม่เกร็งตัว
วางตัวตามสบายแต่ให้อยู่ในลักษณะที่ถูกต้อง
ควรยืนห่างจากไมโครโฟนประมาณ
12 - 15 นิ้ว
ออกเสียงแต่พอควรไม่เบาหรือดังจนเกินไป
สำหรับผู้ใช้เสียงจากลำคอต้องยืนใกล้ไมโครโฟนมากเพราะเสียงจะออกกังวานต่ำและเบาแผ่ว
จึงจำเป็นต้องยืนใกล้ไมโครโฟนเหมือน
ผู้ใช้เสียงจากนาสิก
สำหรับผู้ใช้เสียงจากท้องเสียงจะดังมากไม่ต้องอยู่ใกล้ไมโครโฟนเกินไป
การฝึกหัดกับกระจกเป็นสิ่งสำคัญ
เพราะจะได้เห็นและแก้ไขสิ่งบกพร่องต่างๆ
ให้ดีขึ้น
และช่วยให้ไม่อายได้
2. การหายใจ
การร้องเพลงให้เสียงดีนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการหายใจที่ถูกต้อง
ขณะหายใจลมจะผ่านหลอดเสียงเกิดเป็นเสียงต่าง
ๆ ขึ้น
ถ้าการหายใจสม่ำเสมอเสียงร้องเพลงก็น่าจะสม่ำเสมอด้วย
- 2 -
ส่วนของร่างกายที่ช่วยบังคับลมหรือการหายใจเรียกว่ากระบังลม
กระบังลมเป็นกล้ามเนื้อผืนใหญ่อยู่ใต้ปอด
และอยู่เหนือกระเพาะอาหารทางด้านหน้า
ถ้าปอดแฟบแสดงว่าไม่มีอากาศ
กระบังลมจะมีลักษณะเหมือนชามคว่ำ
ขณะที่หายใจออกกระบังลมจะดึงขึ้นไปดันปอดทำให้อากาศกลับออกมาผ่านไปตามลำคอกระทบกับหลอดเสียงทำให้เกิดเสียงขึ้น
นอกจากการขยายกระบังลมแล้ว
ผู้ร้องยังใช้อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยขยายโพรงอกคือการพองตัวทำให้ซี่โครงกางออก
การฝึกหายใจ
เริ่มด้วยการยืดอกและยืนตัวตรงให้แขนแนบลำตัว
ไม่ควรยกไหล่
หายใจเข้าทางปากครึ่งหนึ่ง
จมูกครึ่งหนึ่งพร้อม ๆ
กันจะทำให้ไม่เกิดเสียงดัง
โดยกระบังลมจะทำหน้าที่ชะลอลมหายใจให้ออกช้าๆ
คล้ายกับคาบูเรเตอร์ของเครื่องยนต์
ผู้ร้องจะต้องฝึกหัดหายใจเข้าออกอย่างรวดเร็วแล้วปล่อยออกช้าๆ
ให้ได้นานที่สุด
ข้อสำคัญก็คือ
การหายใจเข้า
ท้องจะป่องเพื่อเก็บลมและ
การหายใจเข้าจะต้องหายใจก่อนเริ่มร้องพอดี
พยายามรักษาสุขภาพอย่าให้เป็นหวัด
เจ็บคอหรือต่อมทอมซินอักเสบ
อย่าขากเสมหะแรงๆ
หรือสั่งน้ำมูกแรงๆ
อย่าดื่มสุราหรือสูบบุหรี่จัดจะทำให้ปอดและหลอดลมอักเสบ
3. การจับเสียงและเข้าจังหวะ
ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
3.1
นึกเสียงที่จะร้องในใจ
หมายถึงระดับเสียง
เสียงสระ
ความดังเบา
3.2
หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ
เตรียมพร้อมที่จะเปล่งเสียงออกมา
3.3 ริมฝีปาก
แก้ม
และขากรรไกรปล่อยตามสบาย
3.4
ลิ้นไม่กระดกหรือเกร็ง
ปล่อยตามสบาย
ให้ปลายลิ้น
แตะกับฐานฟันล่างเล็กน้อย
- 3 -
3.5 การส่งลม
การปรับหลอดเสียง
การบังคับปากและ
การร้องจะเกิดขึ้นวินาทีเดียวกัน
4. คุณภาพของเสียง
ขึ้นอยู่กับหลอดเสียง
กล่องเสียง ลำคอ
กระพุ้งปาก
ลิ้นและศรีษะ เมื่อสูดอากาศออก
อากาศจะผ่านหลอดเสียงทำให้หลอดเสียงสั่นเกิดเป็นเสียงขึ้นมา
และเสียงก็จะผ่านลำคอและปาก
ดังนั้นทั้งในปากและในศรีษะจะทำหน้าที่เป็นช่องขยายเสียง
ในขณะที่ร้องเพลงจะรู้สึกเสียงพุ่งไปข้างหน้า
และมี จุด
ที่เสียงรวมกันอยู่ที่หนึ่งที่ใดบนใบหน้า
พยายามให้ จุด นี้
อยู่ที่แถวฟันเหนือปลายลิ้น
ไม่ควรให้ จุด
นี้อยู่ในลำคอหรือโคนลิ้น
เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อแถวนั้นเกร็งและเสียงที่ออกมาจะไม่น่าฟัง
การร้องเพลงควรคิดถึงบรรยากาศที่สวยงามเบิกบานใจ
อย่าเกร็งคอหรือหน้า
อย่าเกร็งลิ้นหรือกระดกลิ้นขึ้นเพราะจะไปบังลำคอ
ทำให้เสียงที่ออกมาเกร็ง
ฟังไม่ชัดและ
ไม่ไพเราะ
คือเสียงไม่มีคุณภาพนั่นเอง
5. การออกเสียงของสระและพยัญชนะ
ในการร้องเพลง
ผู้ร้องต้องคำนึงถึงองค์ประกอบทั้งสอง
คือการออกเสียงสระและพยัญชนะ
ถ้าปราศจากอันหนึ่งอันใดจะร้องเพลงไม่ได้ดีถึงแม้จะมีเสียงไพเราะก็ตาม
หลักการร้องสระ
แบ่งออกเป็น 4 ข้อคือ
(1)
ออกเสียงสระให้ตรงตัว
อย่าทำเสียงอื่นปนหรืออย่า
ออกเสียงผิดๆ
(2)
ในการขับร้องหมู่
ผู้ร้องทุกคนควรออกเสียงสระให้เหมือนกัน
- 4 -
(3)
สำหรับคำที่มีสระผสม (เช่น
คำว่า เดียว มีสระ
2 ตัว คือ
สระอี และสระอู)
ควรร้องสระเอา (ตัวหน้า)
ตามค่าของตัวโน้ตไม่เน้นสระโอ
(ตัวหลัง) จนเกินไป (ในกรณีนี้ไม่เน้นสระอู
จะร้องสระอีจนกว่าหมดค่าของโน้ตและสรุปคำด้วยสระอู)
(4)
ร้องต่อสระคำหนึ่งไปยังอีกคำหนึ่งให้ต่อเนื่องกัน
อย่าร้องขาดเป็นห้วงๆ
สำหรับการออกเสียงพยัญชนะ
ผู้ร้องอาจจะปฏิบัติดังนี้คือ
พยายามร้องสระให้ยาวที่สุดและร้องพยัญชนะให้สั้นที่สุดแต่ชัดเจน
หลักการร้องพยัญชนะ
แบ่งออกเป็น 5 ข้อคือ
(1)
ถ้าคำใดขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ
ควรร้องพยัญชนะตรงจังหวะ
อย่าร้องช้ากว่าจังหวะ
(2)
ควรจะเปล่งเสียงพยัญชนะ
เช่น เชอะ ฟัก
ก่อนจังหวะของมันเล็กน้อย
เมื่อจังหวะของมันมาถึงเสียงที่ร้องจะได้ตรงจังหวะพอดี
แล้วร้องสระของคำนั้นทีหลัง
(พยัญชนะจะออกเสียงจากไรฟันและช่องข้างลิ้น)
(3)
เนื่องจากสระเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการร้องเพลง
ควรร้องพยัญชนะแต่ละตัวให้สั้น
(4)
เปล่งเสียงพยัญชนะทางส่วนหน้าของปาก
เพราะสะดวกในการเปล่งเสียงมากกว่าที่อื่น
และเพื่อให้ชัดเจนอย่าออกเสียงพยัญชนะจากโคนลิ้น
(5)
ออกเสียงพยัญชนะทุกตัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พยัญชนะเป็นตัวเดียวกันสองตัว
เช่น หนักแน่น
- 5 -
หลักการร้องเพลงเสียงต่ำ
แบ่งออกเป็น 6 ข้อคือ
(1)
ใช้เลียนแบบเช่นเดียวกับการพูด
เสียงจะอยู่ที่ริมฝีปาก
พยัญชนะและสระอยู่ที่ริมฝีปากไม่ใช่อยู่ในคอ
(2)
เมื่อจะเริ่มร้องเสียงต่ำจะต้องเริ่มคิดเสียงสูงไว้
(3)
ยิ่งเสียงลงต่ำช่องในปากจะเล็กลง
ถ้าปากกว้างไปเสียงจะไม่มีกำลัง
(4)
เวลาร้องเสียงต่ำไม่ควรร้องเสียงดัง
(5)
บังคับลมและกำลังไว้ไม่ให้พลังออกมามากพร้อมกับเสียง
เพราะจะทำให้เสียงหนักเกินไป
(6)
ให้เสียงต่ำมีลักษณะก้องหรือสะท้อนกังวานออกมาคล้าย
เสียงฮัม
หลักการร้องเพลงเสียงสูง
แบ่งออกเป็น 5 ข้อคือ
(1)
ใช้สมองหรือใช้ความคิดช่วยในการร้องเสียงสูง
เช่น จะร้องเสียงซอลสูง
ให้สมมุติว่าจะร้องเสียงสูงเท่ากับที่เคยร้องมาก่อน
(2)
การร้องเสียงสูงต้องใช้พยัญชนะเร็วและชัด
โดยใช้พลังของลมจากพยัญชนะถึงสระ
(3)
การร้องเสียงสูงให้ปล่อยเสียงออกมาตามสบายโดยไม่ต้องบังคับ
(4)
เมื่อร้องเสียงสูงให้ปล่อยขากรรไกร
ปล่อยลิ้นตามสบาย
อ้าปากกว้างไม่ต้องเงยหน้าและไม่เกร็ง
(5)
ใช้พลังของลมจากกล้ามเนื้อที่หน้าท้อง
เอวและสะโพก
แต่ใช้กล้ามเนื้อที่คอเปล่งหรือบังคับเสียง
- 6 -
6. อักขระ เป็นสิ่งสำคัญในการร้องเพลง
โดยเฉพาะ
คำควบกล้ำ
คำสั้นยาว แต่ละคำล้วนมีความหมาย
เพราะบทเพลงแต่ละเพลงที่ถ่ายทอดจากจินตนาการของ
นักแต่งเพลง ล้วนมีความหมายและอารมณ์อยู่ในตัวของมันเอง
ผู้ร้องคือผู้ถ่ายทอดจินตนาการของบทเพลงนั้นๆ
ถ้าไม่พิถีพิถันด้านอักขระจะทำให้เพลงนั้นหมดความหมายและอารมณ์ทันที
เช่น ฉันรักเธอ เป็น ฉันลักเธอ
ขี่ควายชมจันทร์ เป็น
ขี่ฟายชมจันทร์ หนัก
เป็น หนาก หรือ เพลง เป็น
เพง
ความรู้เรื่องการร้องเพลงที่กล่าวมานี้เป็นเพียงหลักที่
ต้องนำไปฝึกหัดและปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ยังมีความรู้ในด้านอื่นๆ
อีกเป็นส่วนประกอบ เช่น
สัดส่วนของคำควรจะร้องอย่างไรสำหรับจังหวะนั้น
ๆ การฝึกเอื้อน
ฝึกลูกคอ การโหนเสียง ความรู้ในการรักษาเสียง
ความรู้ในการใช้ไมโครโฟน
วิธีการถือไมโครโฟนเป็นอย่างไร
การเลือกเพลงที่เหมาะสมกับสถานการณ์
สถานที่
และบุคลิกของตัวเอง รวมทั้งควรมีความเชื่อมั่นในตัวเอง
สิ่งเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องศึกษาไว้ด้วย
อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ร้องควรคำนึงก็คือการวางอิริยาบทในเวลาร้องเพลงบนเวที
สำหรับผู้ร้องที่ไม่ประกอบแอ็คชั่นหรือออกท่าทาง
ในเวลาร้องเพลง
ต้องอยู่ในลักษณะสงบ ไม่เอียงหน้าไปมาในขณะร้อง
ไม่เอามือไขว้หลังหรือประสานมือไว้ข้างหน้า
ผู้ที่ยังออกท่าทางไม่ได้ก็ควรออกความรู้สึกของบทเพลงบางตอนทางใบหน้าและสายตาเท่านั้นก็พอ
หากบางเพลงจำเป็นต้องมีแอ็คชั่นก็ควรฝึกจากผู้สอนที่มีหลักวิธีจะทำให้ความหมายในบทเพลงดีขึ้น
- 7 -
เรื่องมารยาทของผู้ร้องก็เช่นกัน
ขณะอยู่บนเวทีสิ่งที่ควรปฏิบัติคือ
ยิ้มและร่าเริงทันทีเมื่ออยู่บนเวที
(นอกเหนือจากการแสดงที่มีการกำกับไว้ตายตัว)
ต้องเคารพต่อผู้ฟังผู้ชมทุกครั้ง
อย่าปล่อยอารมณ์ที่ไม่พอใจเมื่อได้รับสิ่งที่ไม่พอใจ
ตรงต่อเวลาโดยเคร่งครัด
-------------------------------------
นายพงศ์
หาญไชยพิบูลย์กุล
งานดนตรีสากล
กองนันทนาการ
สำนักสวัสดิการสังคม
ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
2
ถนนมิตรไมตรี
เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร
10320
โทร.2460287, 6406425,6436121,มือถือ 01-9125797
sing/c/1-7
ความรู้เกี่ยวกับการขับร้องประสานเสียง
ในการขับร้องประสานเสียง
จะมีแนวเสียงใหญ่ๆ อยู่
4 แนวด้วยกันคือ
1.
แนวโซปราโน (SOPRANO)
เป็นเสียงสูงสุด ได้แก่
เสียง
ของผู้ที่มีเสียงสูงและเด็กที่
เสียงยังไม่แตกมีขอบเขต
เสียงจาก โด-ซอล
2. แนวอาลโต
(ALTO) เป็นเสียงที่ต่ำรองลงมาจาก
โซปราโน
ได้แก่ เสียงของ
ผู้หญิงที่มีเสียงต่ำกว่า
โซปราโน
มีขอบเขตเสียง
จาก ซอล-โด
3.
แนวเตเนอร์ (TENOR) ได้แก่
เสียงผู้ชายที่มีเสียง
สูง
มีขอบเขตเสียงจาก
โด-ซอล
4. แนวเบส (BASS)
ได้แก่
เสียงผู้ชายที่มีเสียง
ต่ำ
มีขอบเขตเสียงจาก
ฟา-โด
โดยธรรมชาติ
คนเราจะมีขอบเขตเสียงของแต่ละคนไม่เท่ากัน
อย่างเช่นบางคนเสียงสูงมาก
บางคนสูงไม่มาก
บางคนต่ำ
และบางคนก็ต่ำมากไม่เท่ากัน
- 9 -
ในการขับร้องประสานเสียงจึงต้องมีการจัดขอบเขตเสียงให้ผู้ร้อง
ว่าคนไหนควรจะขับร้องในแนวใด
ซึ่งในทางเทคนิคแล้วจะแบ่งขอบเขตเสียงของคนเราเป็น
4 ประเภทดังกล่าว
แต่ในเมืองไทยนั้นหายาก
ที่จะมีผู้ร้องที่มีขอบเขตเสียง
ดังกล่าว
ฉะนั้นจึงวัดได้เฉพาะขอบเขตเสียงที่ใกล้เคียงเท่านั้น
แต่บางคนมีขอบเขตเสียงเกินกว่าที่กำหนดไว้เหมือนกัน
เช่น ในแนวโซปราโน
บางคนอาจจะร้องได้สูงสุดถึง
โด คาบเส้นน้อยที่ 2 และ
เร เหนือเส้นน้อยที่ 2
แต่นั่นก็ถือว่าเป็นความสามารถพิเศษของแต่ละบุคคล
เมื่อจัดระดับเสียงของผู้ร้องที่จะขับร้องประสานเสียงได้แล้วก็มาถึงการจัดความกลมกลืนของเสียง
(BALANT) การจัดกำลังคนไม่กำหนดว่าจะต้องมีกำลังคนเท่าใด
โดยให้จัดตามกำลังเสียงที่ออกมา
คือ แนวโซปราโน ส่วนมากจะร้องในแนวสูงสุดของบทเพลงไม่ต้องใช้ผู้ร้องจำนวนมากเพราะเสียงที่สูงจะมีกำลังอยู่แล้ว
แต่ แนวเบส เป็นแนวที่มีกำลังเสียงและระดับเสียงที่ต่ำ
ควรจะเพิ่มกำลังคนโดยจะใช้จำนวนเท่าใดขึ้นอยู่กับเสียงที่ออกมาจะต้องกลมกลืนพอดี
นอกจากจะปรับความกลมกลืนของเสียง
(BALANT)
ด้วยการปรับจำนวนของผู้ร้องแล้ว
ยังสามารถที่จะปรับความกลมกลืนด้วยการควบคุมความดังเบาของกำลังเสียงได้อีกวิธีหนึ่ง
เช่น ถ้าผู้ร้องแนวใดแนวหนึ่งมาก
และมีเสียงร้องออกมาดังกว่าแนวอื่นก็แก้ไขด้วยการให้ร้องเบาลงเฉพาะแนวนั้นๆ
- 10 -
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า
มนุษย์เรามีธรรมชาติการควบคุมการ
ขับร้อง
การพูด
การออกเสียงมาด้วยกันทุกคน
แต่โดยทั่วไปแล้วจะใช้ธรรมชาติเหล่านั้นไม่คล่องตัวหรืออาจจะเป็นเพราะความเผลอไผลในเวลาใช้
ก็ได้
จึงมีการคิดค้นเทคนิคทางการออกเสียงขับร้องขึ้นมาโดยใช้ธรรมชาติเป็นหลักดังนี้
1.
การฝึกออกเสียง (VOCALIZE) มีความสำคัญมากเพราะการออกเสียงทุกครั้งต้องมีสิ่งที่จะต้องควบคุมหลายอย่าง
เช่น
การใช้ลมอักขระต้องให้ถูกต้อง
เพราะเมื่อขับร้องหมู่ประสานเสียงแล้วจะเกิดความพร้อมเพรียงและถูกต้อง
2.
เทคนิคทางการพูดและการแสดง
การแสดงในที่นี้หมายถึงการใส่อารมณ์
มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า
SPEECH AND DRAMA
การตีความหมายของบทเพลง
ต้องใส่อารมณ์อย่างไร
จึงจะถูกต้องตามความหมายของบทเพลง
เช่น
เพลงที่มีความหมายไปในทางเศร้า
จะต้องแสดงอารมณ์ของบทเพลงอย่างไร
บทเพลงที่มีเนื้อหาไปในทางที่สนุกสนานจะต้องแสดงอารมณ์อย่างไร
3.
การปั้นรูปปาก (LIP TORMATION)
เป็นสิ่งสำคัญมากในการขับร้อง
การร้องคำต่างๆ เช่น คำที่อยู่ในสระ
อี อา โอ อู จะปั้นรูปปากอย่างไร
เมื่อนำเทคนิคในการพูดและการขับร้องต่างๆ
มารวมกัน
ก็จะทำให้มีการขับร้องที่ถูกต้อง
ไม่ผิดลักษณะต่างๆ
ตามธรรมชาติ
ซึ่งสำคัญมากสำหรับหมู่ขับร้องประสานเสียง
เพราะเป็นการขับร้องของคนจำนวนมาก
ถ้าการขับร้องไม่เหมือนกันก็จะเป็นการยากลำบากในการขับร้อง
ที่กล่าวมาเป็นหลักใหญ่
ๆ
ในการขับร้องประสานเสียง
แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้หลักการและวิธีการเหมือนการขับร้องเดี่ยวนั่นเอง
- 11 -
สำหรับการขับร้องประสานเสียง
โดยทั่วไปจะมีหมู่ขับร้องที่ใช้อยู่คือหมู่ขับร้อง
ประสานเสียง 4 แนว ได้แก่
แนว โซปราโน และแนว อาลโต
ซึ่งจะเป็นผู้หญิงร้อง
และ แนว เตเนอร์ กับ เบส
เป็น
หมู่ขับร้องชาย
ถ้าเป็นหมู่ขับร้องชายล้วน
มีชื่อว่า MALE CHOIR ประกอบด้วยแนว
เตเนอร์ 1 เตเนอร์ 2 และ
แนว เบส ถ้าเป็นหมู่ขับร้องหญิงล้วน
มีชื่อว่า FEMALE CHOIR ประกอบด้วยแนว
โซปราโน เมซโซ โซปราโน และแนว
อาลโต
การขับร้องประสานเสียง
4 แนว ในวงการเพลงของเรานั้น
มีอยู่ไม่กี่แห่งที่มีคณะนักร้องประสานเสียงคือ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย,
โรงเรียนนาฏศิลป์
กรมศิลปากร และ โรงเรียนดุริยางค์ทหารเรือ
นอกนั้นเป็นการขับร้องในการปฏิบัติศาสนกิจของผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์
ส่วนที่มีการขับร้องบันทึกเสียงออกจำหน่ายโดยทั่วไปนั้นก็มักจะประสานเพียง
2 - 3 แนวเท่านั้น มี 4
แนวอยู่บ้างก็เพียงเล็กน้อย
นับว่าการขับร้องประสานเสียง
4
แนวยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร
--------------------------------------
กลับไปหน้าแรก