ไวรัสตับอักเสบ
บี ปัญหาใหญ่ของคนไทย |
ไวรัสที่เป็นสาเหตุของตับอักเสบในปัจจุบันมาหลายชนิด
ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ, บี, ซี,
ดี, อี, จี เป็นต้น
แต่ที่พบบ่อยและเป็นปัญหาในปัจจุบัน
เนื่องจากทำให้ผู้ได้รับเชื้อกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง,
เป็นพาหะ และมะเร็งตับได้ มี 2
ชนิดที่สำคัญ ได้แก่
ไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี
ไวรัสตับอักเสบ
บี เป็นไวรัสที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับอักเสบเรื้อรัง
และตับแข็งในคนไทย
อันนำไปสู่โรคมะเร็งตับ
ในที่สุด
เชื้อไวรัสนี้
จะติดต่อได้ทางเลือด,
เพศสัมพันธ์
และจากแม่สู่ลูกในเด็กแรกเกิด
เท่านั้น พบคนไทยเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ
บี ราวร้อยละ 8-10
ของประชากรทั้งหมด คิดเป็นจำนวน
6-7 ล้านคน
สำหรับไวรัสตับอักเสบ
ซี
พบในผู้ที่มีประวัติเคยได้รับเลือด
ทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง,
และกลายเป็นตับแข็ง -
มะเร็งตับได้เช่นเดียวกัน
แต่ยังพบในประชากรทั่วไป
น้อยกว่าไวรัสตับอักเสบ บี มาก
จะรู้ได้อย่างไร
ว่าเราติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
บี หรือไม่ |
สำหรับผู้ที่มีอาการตับอักเสบ
เช่น คลื่นไส้อาเจียน
ท้องอืดท้องเฟ้อ
และตามมาด้วยอาการตัวเหลืองตาเหลือง
สามารถตรวจพบได้ง่าย
แพทย์จะทำการตรวจเลือดดูการทำหน้าที่ของตับ
(Liver function test)
และตรวจหาไวรัสตับอักเสบ
ซึ่งตรวจ ไวรัสตับอักเสบ บี ด้วย
ทำให้เราสามารถทราบได้ว่าเกิดจากไวรัสชนิดใด
สำหรับผู้ที่ไม่มีอาการใด
ๆ
มักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจเลือดพบว่า
การทำหน้าที่ของตับผิดปกติเล็กน้อย
และตรวจพบการติดเชื้อดังกล่าว
หรือตรวจเลือดในการตรวจร่างกายประจำปี
รวมทั้งการบริจาคเลือดเป็นต้น
จากการตรวจเลือดทำให้แพทย์สามารถทราบได้ว่า
ผู้ใด
มีการติดเชื้อมาก่อนหน้านี้
และหายขาด,
ผู้ใดมีการติดเชื้อและเป็นเรื้อรัง,
เป็นพาหะ,
ผู้ใดไม่เคยมีการติดเชื้อมาก่อนเลย
หรือ
ผู้ใดมีการฉีดวัคซีนป้องกันเรียบร้อยแล้ว
ตรวจเลือดพบว่าเป็นพาหะ
ไม่เคยได้รับเลือด
หรือมีเพศสัมพันธ์
แล้วจะติดมาจากไหน ? |
เกือบทั้งหมดของผู้ที่ตรวจพบพาหะหรือการติดเชื้อเรื้อรังของไวรัสตับอักเสบ
บี
จะได้รับเชื้อนี้มาจากมารดาในขณะคลอด
เนื่องจากมารดามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
บี อยู่แล้วโดยไม่มีอาการ เด็กที่เกิดจากมารดาที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ
บี นั้น
มีโอกาสกลายเป็นพาหะของไวรัสชนิดนี้ได้ถึง
ร้อยละ 50-90
ถ้าไม่ได้รับวัคซีนป้องกันหลังคลอด
สำหรับผู้ที่ได้รับเลือดมาภายใน
10 ปีนี้ ท่านสบายใจได้ครับว่า
ไม่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
บี จากเลือดได้
เนื่องจากธนาคารเลือดของโรงพยาบาลทุกแห่ง
ทั่วประเทศ
มีการตรวจเลือดผู้บริจาคเพื่อหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ
บี
ก่อนเก็บเข้าสู่ธนาคารเลือดครับ
และถ้าผู้บริจาคมีไวรัสตับอักเสบ
จะได้รับทราบผลและได้รับคำแนะนำอย่างดีทุกคนครับ
จะทำอย่างไร
ถ้าตัวเองเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ
บี |
ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
บี เรื้อรัง แบ่งได้เป็น 2
ประเภทได้แก่
ผู้ที่เป็นตับอักเสบ เรื้อรัง
จะตรวจพบความผิดปกติของผลเลือดแสดงการทำหน้าที่ของตับ
(Abnormal liver function test)
ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการใด
ๆ ให้เห็น
ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะกลายเป็นตับแข็งในที่สุด
และมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ
ผู้ป่วยอีกกลุ่มหนึ่ง
ตรวจการทำหน้าที่ของตับแล้วพบว่าปกติดี
กลุ่มนี้เรียกว่า "พาหะ" (Asymptomatic
carrier) จะไม่พบว่าเกิดตับอักเสบ
แต่มีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกายและสามารถแพร่ให้ผู้อื่นได้
ผู้ป่วยกลุ่มนี้
สามารถเกิดตับอักเสบเรื้อรัง
และกลายเป็นตับแข็ง
แบบผู้ป่วยกลุ่มแรกได้
ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
เรื้อรัง ควรปฏิบัติตัวดังนี้
- ควรได้รับการตรวจร่างกายสม่ำเสมอจากแพทย์
เพื่อตรวจดูการทำหน้าที่ของตับเป็นระยะ
สำหรับผู้ที่เป็นตับอักเสบเรื้อรัง
ควรได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในระบบทางเดินอาหารและโรคตับ
- ควรได้รับการตรวจเลือดหาระดับ
Alpha-fetoprotein
และทำอัลตราซาวนด์ช่องท้อง
สม่ำเสมอทุกปี
เพื่อหามะเร็งตับแต่เริ่มแรก
เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้
มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับสูงกว่าคนปกติ
40-350 เท่า
(ขึ้นกับว่ามีตับแข็งหรือไม่
ตับอักเสบเป็นรุนแรงมากหรือน้อยเพียงใด)
- งดดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
หลีกเลี่ยงถั่วคั่ว, พริกป่น
เนื่องจากอาจมีเชื้อราที่สร้างสารพิษ
Alphatoxin ที่เป็นพิษต่อตับได้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
รักษาสุขภาพให้แข็งแรง
- ผู้ป่วยโรคตับ
ไม่มีความจำเป็นต้องกินน้ำหวานบ่อย
ๆ
ยังมีความเชื่อและคำแนะนำเก่า ๆ
อยู่ว่าผู้ที่ตับไม่ดีควรกินน้ำหวานมาก
ๆ
เพราะการทำเช่นนี้ไม่ช่วยให้ตับดีขึ้นแต่อย่างใด
ซ้ำร้ายผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
การทำเช่นนี้ทำให้โรคเบาหวานเป็นรุนแรงขึ้นและควบคุมระดับน้ำตาลได้ยาก
การรักษาผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรัง
และการป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
บี |
ปัจจุบันมีการรักษาผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบ
บี ด้วยการฉีด Interferon
โดยอาจร่วมกับการกินยาด้วย
ผลการรักษานั้นยังไม่ค่อยดีนัก
ได้ผลทำให้หายขาดได้ประมาณไม่เกินร้อยละ
40 การรักษายังมีผลข้างเคียงจากยา
Interferon เช่นอาการไข้
หนาวสั่นคล้ายเป็นไข้หวัด
เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายสูงมาก
(เกิน 1 แสนบาท)
สำหรับวิธีที่ดีที่สุด
คงเป็นการป้องกันการติดเชื้อนี้
ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ
บี ซึ่งได้ผลดีมาก
วัคซีนมีจำหน่ายทั่วไป
โดยฉีดเข้ากล้ามบริเวณต้นแขน
ครั้งละ 1 เข็ม จำนวน 3 ครั้ง
สามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน
และป้องกันการติดเชื้อได้ตลอดชีวิต
แนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้ทุกรายที่ตรวจเลือดแล้วพบว่าไม่เคยได้รับเชื้อมาก่อน
สำหรับผู้ที่เป็นพาหะหรือเคยได้รับเชื้อมาก่อน
การฉีดวัคซีนไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
เป็นที่น่ายินดีมากว่า
กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ
บี
เป็นวัคซีนพื้นฐานที่จะฉีดให้เด็กแรกเกิดทุกราย
ทั่วประเทศ
เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
บี
และช่วยลดการเกิดพาหะของเชื้อนี้ให้น้อยลง
เป็นความหวังที่จะกำจัดเชื้อนี้ให้หมดไปได้จากประเทศ |