1. ศาสนา คือ คำสั่งสอนหรือการปกครอง ที่หมายถึงคำสั่งสอนได้แก่ คำสั่งสอนที่ให้เว้นความชั่ว ให้ตั้งอยู่ ในคุณความดี
ที่หมายถึงการปกครองได้แก่การปกครองตนเองด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตนเอง ไม่ต้องมีคนมาบังคับและกระทำ
ด้วยความสมัครใจ
2. สถาบัน หมายถึงสิ่งที่ตั้งขึ้น สร้างขึ้น สถาปนาขึ้น โดยมีหลักการเป็นที่นับถือกันโดยทั่วไป สถาบันสำคัญของประเทศไทย
คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
3. เหตุที่ต้องธำรงส่งเสริมสถาบันศาสนา เพราะช่วยทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้โดยมีศีลธรรมกำกับ ไม่ข่มเหงเบียดเบียนกัน
ละเว้นสิ่งที่ควรเว้น ประพฤติแต่สิ่งที่ควรประพฤติ ทำให้มีความสุขความเจริญ
4. ผู้ที่ทำหน้าที่ในการธำรงส่งเสริมสถาบันศาสนาคือ ศาสนิกชนของศาสนานั้นๆ การที่เราสามารถจะควบคุมกาย วาจา ใจ
ของเราให้ทำ ให้พูด ให้เกิดในทางที่ถูกต้อง ไม่ทุจริต ก็ได้ชื่อว่าธำรงส่งสริมพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องสมบูรณ์
วิธีธำรงส่งเสริมศาสนา
1. ต้องมีการศึกษาศาสนาให้เข้าใจ ปฏิบัติให้ถูกต้อง
2. ช่วยกันป้องกันและแก้ไขความเสียหาย หรือความเสื่อมที่เกิดขึ้นแก่ศาสนา
3. สนับสนุนและเทอดทูนศาสนา
นักเรียนหรือเยาวชนของชาติจะร่วมธำรงส่งเสริมศาสนาได้โดย
1. ตั้งใจศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับศาสนาที่ตนนับถือให้แจ่มแจ้ง
2. ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา เท่าที่จะสามารถปฏิบัติได้
3. ไม่ทำการใดๆ รวมทั้งการพูดที่ล่วงเกินดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนา
4. เมื่อเข้าไปในสถานที่สำคัญทางศาสนา ไม่ควรส่งเสียงเอ็ดอึง ควรสำรวมกิริยามารยาท
5. ไม่เล่น ขว้าง ปา เขียนหรือทิ้งสิ่งของ อันจะทำให้เสียหายหรือสกปรก
6. ร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่โรงเรียนหรือทางวัดจัดขึ้นตามโอกาสอันควร
7. เสียสละกำลังกายกำลังทรัพย์เท่าที่จะสละได้
8. แสดงความเคารพต่อสิ่งควรเคารพตามคติของศาสนา
9. ไม่หลงตกเป็นเครื่องมือของผู้ประสงค์ร้ายต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
อิทัปปัจจยตา
1. คำว่า อิทัปปัจจยตา แปลว่า "ความที่สิ่งเหล่านี้มีปัจจัย" หรือ "ปัจจัยของสิ่งเหล่านี้" หมายความว่า
"สิ่งต่างๆ มิได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุมีปัจจัย"
2. การทำเหตุผลในพระพุทธศาสนา สอนให้ไม่เชื่องมงาย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดที่เหตุ ควรพิจารณาทำต้นเหตุให้ได้
3. อิทัปปัจจยตา สอนให้รู้ต้นเหตุของทุกข์ และหนทางดับทุกข์
4. พระพุทธเจ้าสอนให้มนุษย์ ละเว้นความชั่ว ทำแต่ความดี และชำระใจให้บริสุทธิ์
5. ความโง่ หรือ อวิชา เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งปวง ถ้าดับความโง่ได้ก็จะดับความทุกข์ทั้งปวง
6. ผลพลอยได้จากความรู้เรื่อง "อิทัปปัจจยตา"
1. ขจัดความโง่ โดยตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้รู้จริง
2. ทำทุกอย่างอย่างมีเหตุผล
3. มีความรอบคอบ สุขุม
4. สามารถทำงานได้ไม่ล้มเหลว
วงจรแห่งชีวิต กิเลส กรรม วิบาก
1. วงจรแห่งชีวิตหมายถึงวัฏฏะ หรือวงกลมแห่งชีวิต กิเลสเป็นเหตุให้เกิดกรรม กรรมเป็นเหตุให้เกิดวิบาก
2. กิเลส แปลว่า สิ่งที่ทำให้เศร้าหมอง หมายถึง ความโลภ ความโกรธ ความหลง
3. กรรม แปลว่า การกระทำ หมายถึง การกระทำทาง กาย วาจา ใจ
4. วิบาก แปลว่า ผล คือผลของการกระทำหรือ กรรม คนที่โชคดี มีลาภประสบแต่ความสุข ความเจริญ
เพราะได้กระทำกรรมดี ตรงกันข้ามคนที่โชคร้าย เคราะห์ร้ายเพราะกรรมชั่วที่ตัวก่อขึ้นไว้
5. ประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนเรื่องนี้ คือ พระพุทธเจ้าสอนให้เราควบคุมตัวเองตามสมควร ไม่ตามใจอำนาจ
ฝ่ายต่ำทำทางบรรเทากิเลสให้ลดน้อยลง จนถึงขั้นที่จะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
ธรรมที่ทำให้คนเป็นมนุษย์
1. คำว่า มนุษย์แปลว่า "ผู้มีใจสูง" หมายความว่า ผู้เป็นมนุษย์ย่อมรู้จักยกระดับจิตใจของตนให้สูงขึ้น
ในทางดีงาม มิใช่วุ่นวายแต่ในเรื่องเบียดเบียนริษยา ยื้อแย่ง หรือข่มเหงรักแกกันตลอดเวลา อันเป็นระดับจิตใจของสัตว์
2. มนุษย์มี 4 ประเภท คือ
1. มนุษย์ที่เปรียบเหมือนผู้ตกนรก ได้แก่ ผู้ที่ทำกรรมชั่วไม่ควรทำหลายอย่าง จึงถูกลงโทษต่างๆ ได้รับความทุกข์
ทรมานมาก
2. มนุษย์ที่เปรียบเหมือนเปรต ได้แก่ ผู้ที่ทำกรรมชั่วไว้ในชาติก่อนจึงขาดแคลน อาหารเครื่องนุ่งห่ม
ถูกความหิวกระหายครอบงำ มากไปด้วยความทุกข์ หาที่พึ่งมิได้เที่ยวเร่รอนไป
3. มนุษย์ที่เปรียบเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ได้แก่ ผู้ที่ประพฤติตนเลวทรามไม่มีมารยาท จึงถูกคนอื่นคุกคาม
ต้องหวาดกลัวมรณภัยเที่ยวหลบซ่อน
4. มนุษย์ที่เป็นมนุษย์ ได้แก่ ผู้รู้จักประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ของตนเชื่อกรรมและผลของกรรม
มีความละอายใจและเกรงกลัวต่อบาป มีความกรุณาสลดใจในความทุกข์ยากของผู้อื่น บำเพ็ญบุญกริยาวัตถุ
3. มนุษย์ธรรมตามความหมายทางโลก คือการไม่นิ่งดูดายเมื่อเห็นผู้อื่นตกอยู่ในความทุกข์ มีความอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ช่วยเหลือตามความเหมาะสม
4. มนุษย์ธรรมตามความหมายทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ กุศลกรรม หรือทางแห่งการกระทำอันเป็ฯกุศล 10 ประการ
ทำไมจึงต้องประพฤติธรรม?
เพราะคนในโลกนี้มีสองจำพวก คือคนดีกับคนชั่ว เพราะการพระพฤติธรรมเป็นการทำให้เราเป็นคนดี
คนเรานี้เกิดมาแต่กำเนิดเป็นเพียงกลางๆ คือ เป็น "คน" เท่านั้น เมื่อเกิดมาแล้วใครทำดีใส่ตัวก็เป็นคนดี ใครทำชั่วใส่ตัว
คนนั้นก็เป็นคนชั่ว อุปมาเหมือนแก้ว 1 ใบ มันก็สักแต่ว่าเป็น "แก้ว" เท่านั้นเอง
ถ้าใส่น้ำ เขาก็เรียกว่าแก้วน้ำ
ถ้าใส่ยา เขาก็เรียกว่าแก้วยา
ถ้าใส่เหล้า เขาก็เรียกว่าแก้วเหล้า
มูลฐานของความดี เหมือนการปลูกต้นไม้ ต้นไม้มีหลายร้อยหลายพันชนิด ปลูกขึ้นในที่ต่างๆ กัน เช่นในนา ในสวน ในไร่
ในกระถาง ในฤดูกาลต่างกัน แต่ทุกชนิดก็ต้องอาศัยน้ำและอากาศ จึงจะงอกงามได้ โดยในนี้น้ำและอากาศจึงเป็นสิ่งที่มีอุปการะ
แก่พืชทั้งปวง
ฉันใดก็ฉันนั้น คุณความดีที่คนเราควรจะปลูกฝังขึ้นในตนมีอยุ่เป็นอันมากเป็นความดีเฉพาะบรรพชิตก็มี เฉพาะคฤหัสถ์ก็มี
เฉพาะผู้เยาว์ก็มี เฉพาะผู้ใหญ่ก็มีเฉพาะที่เป็นประโยชน์ปัจจุบันก็มี เฉพาะที่เป็นประโยชน์ชาติหน้าก็มี เฉพาะที่เป็นประโยชน์
อย่างยิ่งคือนิพพานก็มี แต่การทำความดีทุกอย่างนั้น จะต้องอาศัยธรรมคู่หนึ่ง คือ สติกับสัมปชัญญะจึงจะเจริญงอกงามขึ้นได้
พระธาตุพนม |
นครพนม |
หาเพื่อน |
โฆษณาฟรี |
สบายดี |
หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์|
อสังหาริมทรัพย์ |
Ads5 |
Bangkokpost |
ศูนย์กลางการซื้อขายสินค้าออนไลน์ |