>>Home::My work::Varities::About me::story  แนะนำ เกร็ดธรรมะ ใน Varities 8

คนไข้::ด้วยรัก::ชีวิต::แสงดาว::รางวัล::ความทรงจำ :: ในฝัน

 

นาม                  น.ส.จอมฤทัย สกุล อินทรพาณิช

ตำแหน่ง            นายแพทย์ 7 งานเวชปฏิบัติครอบครัว โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี

การศึกษา          แพทยศาสตร์บัณฑิต รุ่น 92 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชและพยาบาล(พ.ศ.2530)

                        วุฒิบัตรกุมารแพทย์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ศิริราช (พ.ศ.2536)

บิดา                  นายสมศักดิ์ อินทรพาณิช อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

                        ภาควิชาประวัติศาสตร์ สถาบันราชภัฏอุดรธานี ขณะนี้ เป็นข้าราชการบำนาญ

มารดา              นางทัศนีย์ อินทรพาณิช อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่

                        ภาควิชาเคมี สถาบันราชภัฏอุดรธานี ขณะนี้เป็นข้าราชการบำนาญ

ครอบครัว         เป็นบุตรคนแรกจากสามคน มีน้องสาว 1 คน และน้องชาย 1 คน

น้องสาว            นางใจถวิล แสงปิยะ  จบสัตวบาลคณะเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ขณะนี้
                        เป็นแม่บ้าน สามีจบวิชาประมงม.เกษตรทำงานที่CP (ฟาร์มกุ้ง)มีบุตรหญิง 1 คน 

น้องชาย            นายปิ่นพงษ์ อินทรพาณิช  จบเภสัชศาสตร์และปริญญาโทการวิเคราะห์ยาจาก
                        มหาวิทยาลัยมหิดล แต่งงานแล้ว ภรรยาทำงานสรรพากร มีบุตรชาย 1 คน 
                        ขณะนี้ทำงานที่องค์การอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข

เกิด                 14 สิงหาคม 2505 ที่ จังหวัด อุดรธานี

อายุ                  39 ปี               สถานภาพ    โสด

การทำงาน       รับราชการครั้งแรก 1 เมษายน 2530 ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุง

                               ดำรงตำแหน่งแพทย์ใช้ทุนรุ่น 16 อยู่ 3 ปี ที่ จังหวัดอุดรธานี

   (ได้รับทุนโครงการศึกษาแพทย์สำหรับชาวชนบท)

   พ.ศ. 2533 ขอทุนกุมารแพทย์จากโรงพยาบาลต้นสังกัด ศึกษาต่อเป็น

   แพทย์ประจำบ้าน ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ศิริราช 3 ปี

   พ.ศ. 2536 กลับมาปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุงอยู่ 3 ปี

   พ.ศ. 2540 ย้ายมาช่วยราชการที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี กลุ่มงานเวชกรรมสังคม

                       ต่อมาปฏิบัติงานทีศูนย์แพทย์ชุมชนของโรงพยาบาลที่ศูนย์สาธารณสุขเทศบาลนครอุดรธานี

                        พ.ศ.2544-ปัจจุบัน ปฏิบัติงานที่ศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขปฐมภูมิเทศบาล 8

ประวัติการเจ็บป่วย

พ.ศ.2527-2528 โรคประสาทซึมเศร้า(DYSTHYMIA)
พ.ศ.2535-2536 โรคเครียด(STRESS),โรคการตัดสินใจผิดปกติ(ADJUSTMENT DISORDER)
พ.ศ.2536-2537 โรคเครียด(STRESS)
พ.ศ.2540-2542 โรคคลั่งสลับเศร้า(BIPOLAR DISORDER)


                


  >> Back to Home

    เมื่อแพทย์กลายเป็นคนไข้(โรคจิต)

  ฉันเป็นแพทย์ที่เคยได้รับการวินิจฉัยจากอาจารย์จิตแพทย์หลายครั้ง ว่าเป็นโรคทางจิตเวชอยู่เสมอ
ซึ่งเดิมทีก็ไม่ถึงกับเป็นอะไรมาก เพียงแต่นิยมเรื่องจิตเวชศาสตร์เพราะน่าสนใจ และอยากให้ตนเองมี
ความสุขสมบูรณ์แบบ คือไม่ชอบการทนทุกข์ทรมานใดๆ ฉันใช้หนทางในการปรับตัวที่มีในวิชาจิตเวช
มาใช้ในชีวิตของตนเอง ซึ่งน่าจะเป็นกระบวนการทางจิตวิทยามากกว่า และได้รับความสำเร็จในชีวิตมา
ตามลำดับ ฉันเชื่อว่าตนเองดำเนินชีวิตมาแบบมนุษย์ปกติธรรมดาทั่วไป มีสุขบ้างทุกข์บ้างและปฏิบัติธรรมะ
โดยธรรมชาติ ไม่ได้ฝักใฝ่สนใจเรื่องศาสนาเป็นพิเศษ ฉันเหมือนคนสมัยใหม่ ที่ไม่รู้ว่าอภิญญาคืออะไร
เลยใช้เรียกแทนปาฏิหารย์อยู่บ่อยๆ ภูมิรู้เรื่องธรรมะด้านปริยัติก็เพียงเอาตัวรอด และเป็นธรรมะในชีวิต
ประจำวันมากกว่า ฉันอาจจะเคยโศกเศร้ามากแต่ก็ผ่านมาได้โดยไม่เสียหายอะไร บุคลิกภาพไม่เสียเลย
แต่เมื่อ พ.ศ.2536 ฉันได้พบกับเหตุการณ์เหนือโลก ดังที่ฉันเขียนไว้ตอนท้ายเรื่องใน My story 1
หลังจากนั้น ชีวิตของฉันเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ฉันตกอยู่ในสภาวะที่แปลกประหลาดกว่าคนปกติ
และเคยตึงเครียดกับเรื่องเหล่านี้ บางทีถึงกับคิดว่า เป็นกรรมเวรอะไรของฉันหนอที่ต้องมาตกระกำลำบาก
กับเรื่องที่เล่าให้ใครๆฟังไม่ได้ จนบางทีความกดดันทำให้ฉันออกอาการสติแตกไปจริงๆ(เครียดและเสียใจ)
จึงไม่ยากนักที่จะวินิจฉัยด้านโรคจิตประสาทและต้องกินยาเป็นประจำ
  แต่บางครั้งฉันนึกขอบคุณที่มีโอกาสได้รับเลือกจากเบื้องบนจนท่านต้องมาเป็นธุระคอยอบรมดูแลฝึกฝนฉันทั้ง
ด้านจิตและความรู้ในโลก รวมทั้งมีโอกาสได้ไปเที่ยวหรือเดินทางบ่อยๆในโลกวิญญาณ ฉันไม่ได้นั่งสมาธิแบบ
ที่เราเคยรู้กันมา แต่มีภาวะสมาธิขั้นลึกเกิดขึ้นแม้ในอิริยาบถปกติ ซึ่งฉันผ่านการฝึกมามาก ในชีวิตประจำวันด้วย
เพื่อให้สามารถทำได้ตามปกติในชีวิตประจำวัน ฉันไม่ทราบอะไรเลยในระยะแรก จนมาบัดนี้หลายสิ่งก็ไม่กระจ่างแจ้ง
ก่อนหน้านี้ราว1-2ปี ฉันมีความเครียดบ่อยๆ จนแสดงอาการโมโหโทโสออกมานอกหน้า กลายเป็นคนไร้มารยาท
การที่อาการของฉันดีขึ้นนั้นมาจากการทุ่มเทพยายามรักษาจิตใจของตนให้น้อมนำไปในทางที่ดี ไม่โกรธแค้นอาฆาต
และมีส่วนสำคัญส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ทางจิตที่ได้รู้ได้เห็นมา จนบัดนี้ยังเชื่อเช่นนั้นจริงๆ จนฉันคิดว่า
คงเป็นกรณีพิเศษ ที่เหล่าเทวะในสรวงเบื้องบน กำหนดตัวฉันไว้แล้วให้มาเผชิญกับเรื่องนี้ ท่านตั้งใจฝึกฉันจริงๆ
แม้จะคนละแนวทางกับที่ศาสนาพุทธได้กล่าวไว้หลายๆประการ ซึ่งผู้ที่ศึกษาปฏิบัติธรรมอาจจะอ่านไว้เปรียบเทียบได้ค่ะ

   แนวทางการเขียนเรื่องราวของฉัน จะบรรยายคร่าวๆไปตามความจริงที่เกิดขึ้น และให้สิทธิผู้อ่านคิดไปได้ตามใจ
ฉันคงต้องทบทวนประวัติตั้งแต่ในอดีต จนมาถึงวันนี้ให้ได้รับทราบกัน คิดว่าอ่านนวนิยายสักเรื่องก็ยังได้ แต่นี่เป็นแง่มุม
ของความมหัศจรรย์ในชีวิต ซึ่งจะแตกต่างกว่าโลกจริงอยู่อย่างมากมาย และเชื่อหรือไม่ว่าเป็นโลกที่น่าสนใจมากและ
มีความสุขมาก การที่ฉันรั้งสติไว้ได้ ทำให้สามารถจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ีนิยายชีวิตของฉันนั้น
จะดำเนินไปตั้งแต่เด็กจนเติบโตและผ่านวันคืนต่างๆมาจนบัดนี้...ขอเชิญติดตามได้เลยค่ะ...


  ถ้าเริ่มเบื่อกับเรื่องของฉัน ก็เปิดไปที่กร็ดธรรมะ ซึ่งเป็นประสบการณ์ระหว่างการฝึกฝนจิตใจ เป็นเรื่องเบาๆค่ะ

 

 

 

 

ด้วยรักและผูกพัน

    

     ฉันเกิดในครอบครัวที่อบอุ่น ตอนเด็กๆฉันมีนิสัยเฉลียวฉลาดและช่างพูด เป็นเด็กน่ารัก มีแววดารามาตั้งแต่
่ยังเล็กอยู่ มีความขยัน อดทน และมุ่งมั่นในความสำเร็จอย่างสูง ฉันเป็นเด็กเรียนเก่งมาก สอบได้ที่ 1 ตลอดมา
มีกิริยามารยาทที่เรียบร้อยและได้รับการอบรมมาอย่างดี อาจจะเป็นเพราะคุณพ่อคุณแม่เป็นครูบาอาจารย์ก็ได้
้มีความสามารถด้านนาฏศิลป์โดยได้รับการฝึกสอนจากคุณแม่ ฉันเป็นขวัญใจของครูบาอาจารย์ แม้ไม่ใช่คนที่
มีเพื่อนมาก แต่ก็เข้าได้กับทุกๆคน เพื่อนสนิทที่สุดของฉันคือ หนังสือ ฉันอ่านทุกอย่างที่พอจะหาอ่านได้
และอยู่กับวิญญาณของหนังสือเหล่านั้น ซึ่งมีความลึกซึ้งทางอารมณ์และจิตใจ จนทำให้ฉันเป็นผู้ใหญ่กว่าวัย
 ฉันไม่เคยเหงาเลย เพราะมีโลกเป็นของตัวเอง ฉันชอบนั่งชิงช้าในสวนและครุ่นคิดเกี่ยวกับสัจธรรมของชีวิตตั้งแต่
เล็กๆ ฉันเพิ่งรู้ว่า เป็นปรัชญาชนิดหนึ่งเมื่อโตขึ้น เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากชีวิตปกติธรรมดา เป็นนิสัยเช่นนั้น
ฉันได้รับสัมผัสพลังแห่งจักรวาลทุกราตรีที่นั่งดูดาวในสวน พร้อมกับกลิ่นหอมของดอกแก้วลอยมาตามลม
ทั้งยังมีแมนโดลินที่มีเสียงคล้ายพิณเป็นเพื่อนบางครั้งฉันแต่งทำนองเพลงเองเป็นเสียงไพเราะที่ความสามารถ
เหล่านี้หายไปเมื่อเติบโตขึ้น อารมณ์ของฉันค่อนข้างสงบเพราะอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่ดีและงดงามเพราะที่บ้าน
คุณพ่อทำสวนกุหลาบด้วยและมีพรรณไม้หลายชนิด ฉันโชคดีมากกว่าเด็กอื่นๆอีกมากมาย ฉันรักสันติและมีความสุข
กับธรรมชาติ มากกว่าที่จะอยู่ในสังคมเช่นเด็กอื่นๆ ฉันไม่ค่อยได้เล่นอะไรๆแบบเด็กๆนัก มักจะนั่งดูเขามากกว่า
แต่ฉันชอบดูดวงดาว ดวงจันทร์และอยู่ในสายลมเย็นๆพร้อมทั้งแต่งนิทานฝันๆอันแสนงาม ฉันเป็นเด็กพูดเก่งคนหนึ่ง
ไม่ใช่เงียบขรึมอย่างที่น่าจะเป็น มีความสุขลึกล้ำอันอธิบายได้ยาก เมื่ออยู่ตามลำพังแบบนั้น กับความลึกซึ้งในจิตใจ
สุนทรียะต่างๆจึงเป็นสิ่งที่ฉันได้รับมาตั้งแต่วัยเด็ก ใครๆก็กลัวว่าฉันจะเป็นเด็กมีปัญหา เพราะมักตั้งคำถามแปลกๆลึกๆ
เมื่อไม่มีใครตอบให้ได้ก็ค้นคว้าเอาเองจากในหนังสือ ฉันคงความเป็นตัวของตัวเองเช่นนั้นมาจนบัดนี้ก็ว่าได้



    ฉันชอบวิชาด้านศิลปศาสตร์ทุกแขนงโดยเฉพาะอักษณศาสตร์ด้านวรรณกรรม ไปพ้องกับสมเด็จพระเทพฯเสียด้วย
 ด้วยหุ่นท้วมๆและมีนิสัยสงบทำให้บรรดาญาติๆเรียกฉันว่า" พระเทพน้อย"  ฉันมีนิสัยรักการอ่าน การเขียน
ฉันอยากเรียนสาขาศิลปศาสตร์ แต่ไม่ได้รับการสนับสนุน เพราะสมัยนั้นหางานทำยาก และฉันเรียนเก่งเกินไป
 แม้แต่อาจารย์แนะแนวก็แนะนำให้ฉันเลือกเรียนแพทยศาสตร์ ซึ่งโก้มากในสมัยนั้น ฉันเคยต่อสู้กับการเลือกสาขา
วิชาเรียนตั้งแต่ม.4(ในปัจจุบัน) แต่ในที่สุดก็ต้องลงสายวิทยาศาสตร์จนได้ เพราะอาจารย์และคุณพ่อบอกว่า
วิชาด้านศิลปศาสตร์นั้นเรียนเองได้ แต่วิชาวิทยาศาสตร์ต้องมีคนสอน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ดี ฉันจึงเชื่อ ฉันชอบวิชา
วรรณคดีมาก และได้คะแนนดีเยี่ยมด้านภาษาไทยจนขึ้นชื่อลือชา ฉันเคยแต่งกลอนแปดไว้เป็นเล่มสมุด
เกี่ยวกับความเศร้าและความรักรวมทั้งแสงเทียนแสงดาว ไม่ทราบว่าไปพ้องกับเนื้อเพลงพระราชนิพนธ์ส่วนใหญ่
่ไปได้อย่างไร แต่ฉันชอบของฉันแบบนั้นจริงๆ คุณพ่อคุณแม่ชอบฟังเพลงดีๆเช่น สุนทราภรณ์ เพลงสากลรุ่นเก่า
เพลงคลาสสิคและเพลงพระราชนิพนธ์ จึงอาจหล่อหลอมมาจากจิตใต้สำนึกของฉัน เมื่อขึ้นชั้นมัธยมปลายฉัน
ตัดสินใจอยู่นาน ในที่สุดก็เลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์เพื่อจะได้เป็นหมอและมีงานทำ ทั้งเป็นศักดิ์ศรีของตระกูล
ฉันเป็นความหวังที่สุดของคุณพ่อคุณแม่เรื่องการเรียน และฉันก็ดีใจที่ไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ฉันเริ่มรู้จักการ ให้
อันยากยิ่งตั้งแต่บัดนั้น... เมื่อฉันตกลงใจเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์ ฉันเจ็บปวดมากถึงกับฉีกสมุดกลอนที่เขียน
ไว้ออกเป็นชิ้นๆ พร้อมทั้งร้องไห้อย่างกลั้นไม่ได้ ...ความเย้ายวนของเกียรติยศศักดิ์ศรีที่สังคมให้ความยอมรับ
นับถือนั้น ได้เริ่มทำลายฉันตั้งแต่บัดนั้น.....กว่าที่ฉันจะบรรลุสัจธรรมและรักอาชีพที่ฉันเลือกได้ใช้เวลาไม่น้อยเลย



    ฉันโชคดีมากที่สอบเข้าแพทย์ได้ในโครงการการศึกษาแพทย์สำหรับชาวชนบท ที่เขามาคัดเลือกถึงบ้าน
และได้เรียนที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชและพยาบาล ซึ่งต่อมาก็เป็นบ้านอีกแห่งหนึ่งของฉัน กลายเป็นความผูกพัน
ฉันคิดว่าฉันชอบวิชาชีววิทยามากคงไม่ตกงานแน่ๆ และมีความสงสารคนไข้ที่ยากจนอยู่แล้ว จึงคิดว่าน่าจะเรียนด้าน
นี้ได้หลังจากนั้น ฉันก็ออกจากบ้าน จากครอบครัวญาติพี่น้อง เพื่อมาเผชิญชีวิตตามลำพัง จาก อุดรธานี สู่ กรุงเทพฯ
และฉันก็รับผิดชอบชีวิตตนเองมาโดยตลอด นับจากนั้นเป็นต้นมา...  

 

 

 

 

ชีวิตกับความหวัง

     เมื่อฉันเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยมหิดล อายุ 18 ปี และฉันได้พบกับความทุกข์หนักครั้งแรกในชีวิต
เนื่องจากเป็นเด็กมาจากชนบทและมาเรียนสาขาวิชาที่เด็กที่เก่งที่สุดในประเทศมาเรียนกัน
ฉันต้องยอมรับว่าเรียนไม่ทันเลยในวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์แม้ว่าความขยันจะทำให้ฉันได้ A 
ในวิชาชีววิทยาก็ตามและที่น่าแปลกใจก็คืออุตส่าห์ท็อปวิชาปรัชญาทางการแพทย์ แต่ในที่สุดฉัน
ก็ต้องซ้ำชั้นจนได้....สิ่งเดียวที่ฉันมีเป็นอาวุธคือความขยันและอดทนเท่านั้นเอง...

 

    ช่วงแรกฉันยังพอมีกำลังใจมากพอที่จะช่วยเพื่อนชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ชนบทเช่นกัน
ที่คิดมากจนกินยานอนหลับเกินขนาด ฉันสงสารเขามาก กลัวว่าเพื่อนจะเป็นอีก เลยสละเวลาส่วนใหญ่
ให้กำลังใจเขา จนเราสนิทสนมรู้ใจกันดี และครอบครัวของเราสองคนก็รู้จักกันดีในที่สุดแต่เมื่อปลายเทอม
ฉันสอบตกฟิสิกส์ซ้ำอีกทีหนึ่ง ขณะที่เพื่อนชายสอบผ่าน ตอนนั้นฉันมีโอกาสอีกหนเดียว ถ้าตกอีกก็คือ รีไทร์ 
ฉันกลัวมาก เพราะเกี่ยวกับหลายอย่าง ทั้งเสียหน้า เสียชื่อ เสียอนาคต เสียหายในสังคม และพ่อแม่เสียใจ
คิดมากและทุกข์มากจริงๆตอนนั้นฉันรู้สึกเหมือนโลกดับ เพราะไม่รู้ว่าจะสอบได้อย่างไร ในเมื่อก็พยายามเต็มที่แล้ว
ฉันโดดเดี่ยวมาก เพราะเหลือฉันกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเท่านั้นที่ยังคงติดอยู่ แต่เพื่อนมีเพื่อนใจคอยติวและให้กำลังใจ
เขายังพอจะยิ้มได้บ้าง แต่ฉันแม้แต่เพื่อนที่ฉันเคยช่วยเขาขนาดดึงเขาไปหาจิตแพทย์จนเขาสอบผ่านกลับร่าเริงยินดี
และไม่เอาใจใส่ฉันเลยทุกคนว่าฉันเก่งเพราะฉันไม่บ่นอะไรออกมาเพื่อนๆอ้างว่าฉันคงปรับตัวได้แต่ฉันเสียใจที่สุด
ที่เพื่อนรักของฉันคนนี้ไม่แสดงความห่วงใยใดๆเลย ทอดทิ้งฉันไว้เพียงลำพัง ฉันเหม่อลอยและรู้สึกอกหักไปหมดทุกอย่าง
ไม่มีใครช่วยในความทุกข์ครั้งนั้นของฉันได้ แม้แต่คุณพ่อคุณแม่ ฉันก็เสียใจที่ตัดสินใจเรียนแพทย์แทนเรียนครูตามใจ
ตนเองและฉันรู้สึกว่า เข้าตาจนจริงๆฉันก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเพียงผู้เดียว ฉันจะไม่มีวันยอมให้ใครมาบงการฉันอีก
แม้แต่สังคมใดๆก็ตามฉันคิดเช่นนั้นนับแต่บัดนั้น...ทำให้สังคมของฉันผิดไม่ได้เลย อาจเป็นสาเหตุจากความทุกข์ครั้งนี้
นี่เองที่ในอนาคตจะย้อนกลับมาทำร้ายฉันครั้งแล้วครั้งเล่า จนเสียสุขภาพจิตไป

 

    มีครั้งหนึ่ง ฉันเดินเหม่อๆผ่านจากแสงสว่างนอกประตูเข้าไปในประตูตึกและเดินไปตามทางเดินที่ค่อนข้างมืด
ฉันเดินไปราวกับคนไม่รู้เหนือรู้ใต้ แต่ก็เดินไปเรื่อยๆมุ่งไปข้างหน้า จนกระทั่งถึงทางออกประตูอีกด้านหนึ่ง ที่มีแสงสว่าง
แสงสว่างที่ฉันมองเห็นครั้งนั้นยังประทับใจไม่รู้ลืม กับความหวังและกำลังใจที่ทำให้สบายใจขึ้นทันที เวลานั้นฉันได้แต่
หวังว่า ความมืดในชีวิตฉันไม่นานมันต้องกลับเป็นแสงสว่างขึ้นมาอีกแน่นอนตามกฏธรรมชาติแต่เมื่อไรเล่า?ฉันท้อใจมาก!
จนคุณพ่อมาเยี่ยมและบอกว่าพ่อแม่ไม่มีอะไรช่วยได้มีแต่หนังสือขื่อประวัติรัฐบุรุษคนสำคัญของโลกนำมาให้ฉันอ่าน
เพื่อเป็นความหวัง ฉันอ่านอยู่หลายรอบ และรู้สึกมีพลังใจที่แข็งแกร่ง เมื่อรับรู้ในสิ่งที่บุคคลเหล่านั้นเคยฝ่าฟันมา
ทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะเรียนต่อไป และเตรียมสอบอย่างสงบขึ้น ช่วงนั้นเพื่อนหญิงของฉันและคู่รักของเธอ
ชักชวนให้ฉันไปดูหนังของคณะที่โรงหนังแห่งหนึ่ง คือเรื่องMY WAY หรืออะไรทำนองนั้น อย่างน้อยที่สุดก็มีเพลงนี้
และฉันยังจำภาพนักกีฬามาราธอนรุ่นอาวุโสผู้เคยเป็นแชมป์ในอดีตแต่ปัจจุบันเป็นนักธุรกิจชื่อดังเข้าร่วมแข่งวิ่ง
มาราธอนเป็นครั้งสุดท้าย เพราะอายุเริ่มมากแล้วฉันจำได้ว่าเขาวิ่งไปอย่างมั่นคงสม่ำเสมอไม่ถึงกับคาดหวังชัยชนะใดๆ
 แต่แล้วโรคหัวใจอ่อนๆที่เขาเป็นอยู่เกิดทำพิษขึ้น เขาล้มลงกลางลู่วิ่ง คนทั้งสนามนิ่งเงียบว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป
 นาทีนั้นโลกหยุดนิ่งรอการตัดสินใจจากเขา ในที่สุด เขาก็ลุกขึ้นวิ่งช้าๆไปที่เส้นชัยอันไม่ไกลนักด้วยแววตาที่มุ่งมั่น
 เป็นผู้แข่งขันคนสุดท้ายที่วิ่งถึงเส้นชัยจนได้ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและยืนปรบมือให้กับความยิ่งใหญ่ของเขา 
พร้อมกับเพลง MY WAY จบลงตรงคำว่า “ I DID IT MY WAY “ ซึ่งยังกระหึ่มก้องอยู่ในหัวใจของฉันมาจนบัดนี้
ทำให้ฉันเข้าใจเข้าใจธรรมชาติวิสัยของนักกีฬา และคุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ที่ฉันประทับใจที่สุดตลอดมา



     ฉันดูหนังเรื่องนั้นจบก็ปลีกตัวออกมาเงียบๆและกลับหอพักด้วยรถเมล์พร้อมกับน้ำตาไหลพรากแต่ก็ไม่มีใครสนใจนัก
ฉันได้เรียนรู้สัจธรรมอันลึกซึ้งแล้วฉันวางความวิตกกังวลกลัดกลุ้มทั้งหลายลงไปทันทีและคิดด้วยความมุ่งมั่นว่า
จะทำให้ดีที่สุด
ด้วยวิธีการของฉันเอง และไม่มีวันยอมเดินออกจากสนามก่อนการแข่งขันจะจบสิ้นลง ซึ่งฉันเรียกมันว่า 
“SPIRIT”ฉันสงบและไม่คาดหวังสิ่งใดๆจากใครอีกเลยฉันทำด้วยตัวของฉันเองไม่เรียกร้องอะไรอีกฉันรู้สึกเป็นผู้ใหญ่
ขึ้นทันทีและมีความโปร่งโล่งสมาธิอยู่ในนั้นไม่แคร์สิ่งใดไม่ว่าจะตกหรือได้ฉันก็ไม่คิดว่าจะมาทำอะไรฉันได้อีกต่อไป
ฉันเหินห่างเพื่อนๆไปบ้าง เพราะมีจุดเจ็บในดวงใจอย่างลึกซึ้ง มีแต่ยิ้มนิ่งๆ และกลายเป็นสัญญลักขณ์ประจำตัว
ของฉันมาจนบัดนี้



 ฉันระลึกถึงวันที่เคยทุรนทุรายกลัวสอบตกต้องขึ้นไปขออาจารย์ให้ช่วยเดินขึ้นบันไดตั้งหกชั้นและยืนระทมในท่าที่น่า
สงสารที่สุดแล้ว ฉันก็ตั้งปณิธานว่า จะไม่มีวันที่ใครจะเห็นฉันเป็นเช่นนั้นอีกเป็นเด็ดขาด อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด
แม้จะคงเคารพอาจารย์อยู่ แต่ก็ไม่มีวันก้มศีรษะลงเพื่อร้องขอในสิ่งที่ไม่ได้ ให้ต้องดูหมิ่นตนเองอีกแล้วตลอดไป



    มีข้อเสียที่ว่า หลังจากฉันหยั่งรู้ในน้ำใจมนุษย์เช่นเพื่อนชายของฉันคนนั้น หรือเพื่อนคนอื่นๆที่ทอดทิ้งฉันไปหมด
เวลาที่ต้องการกำลังใจทำให้ฉันไม่ศรัทธาในมิตรภาพนักหนา ฉันมักเดินคนเดียวจนเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวฉันมา
จนบัดนี้ ฉันเชื่อแน่ว่า ความหวังกับกำลังใจ เป็นสิ่งที่ต้องทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่จะไปหวังพึ่งพาใครได้
แต่ความสัมพันธ์ตามปกติธรรมดากับเพื่อนฝูงฉันก็คบหาไปตามที่ควรกระทำ…แต่ศีรษะฉันมักเชิดขึ้นมองตรงไปข้างหน้า
และไม่ค่อยสนใจมองใครในสายตามากมายนัก ไม่มีใครที่เรียกได้ว่าสนิทสนมกันเป็นพิเศษ แต่ฉันก็อยู่ได้เงียบๆลำพัง
และไม่มีปัญหาที่ต้องการใครมาเป็นที่พึ่งพิงอีกต่อไป ฉันเข้าสู่วัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวแล้ว แม้จะไม่เหมือนใครก็ตาม
สามารถเดินทางไปเพียงผู้เดียวประดุจนอแรดเป็นมาตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งนั่นอาจจะเป็นข้อบกพร่องที่ทำให้ฉันผิดปกติ
และกลายเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรังในที่สุด บาดแผลครั้งนั้นฝังลึกมากยากที่จะไถ่ถอนได้

 
    
    ถึงอย่างไรลักษณะแบบนี้ก็สามารถเป็นพระเอกนางเอกของนักประพันธ์ได้ จริงๆแล้วอาจจะเป็นเพียงพันธกิจของ
มนุษย์เท่านั้นเองที่ต้องเผชิญกับสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ลึกซึ้งเหล่านี้ตามลำพังในบางครั้งบางเรื่อง และฉันก็โชคดีมาก
เพราะในที่สุดก็ผ่านพ้นอุปสรรคมาได้ อย่างผู้ใหญ่ คนหนึ่ง สามารถเรียนต่อไปได้โดยไม่ต้องถูกรีไทร์ต่อมา...

คงจะมีสักวัน คงเป็นวันที่ยิ่งใหญ่

อยู่บนทางที่เธอเคยหวั่น

และเป็นวันที่คอยเธออยู่…มิไกล…

หากใจท้อ..ขอจงอดทน..หนทางที่เดินไป..

เหนื่อยเพียงไหน…ไม่กลัวสิ่งใด

ก้าวไปให้มั่นคง

 

 

 

แสงดาวแห่งศรัทธา

 

    ช่วงอายุ 20 ปี ฉันเริ่มมีความรักอีกครั้ง กับเพื่อนชายที่ดูสมบูรณ์แบบ คือ หล่อ ฉลาด มีอารมณ์ขัน มีความคิดกว้างไกล
 เป็นผู้ใหญ่ และรู้ใจฉันดีเพราะเราเป็นเพื่อนที่ทำงานด้านห้องปฏิบัติการด้วยกัน หรือเป็นPARTNER LAB กัน
ฉันลงคู่กับเขาทุกงานเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะชอบเขามาก อยู่ใกล้เขาแล้วมีความสุข แต่จริงๆแล้วทุกข์มากกว่าสุข
เพราะหลังจากระยะที่เขาทำท่าชอบฉัน ซึ่งกินเวลา6เดือนเป็นอย่างมาก เขาก็เริ่มเอาใจออกห่าง ฉันรักเขามากอยู่
จนอายุ 22ปี ตอนช่วงที่คบกันอยู่ ฉันชอบเล่าให้เขาฟังถึงความฝันของฉัน ที่อยากเป็นนักเขียน หรือทำงานด้านศิลปศาสตร์
มนุษยศาสตร์ แต่ที่มาเรียนเพราะกลัวตกงาน แต่แสนจะไม่มีความสุข แค่พอทำได้เท่านั้น เพราะฉันไม่รัก ไม่มีใจให้
ฉันรักวิชาที่เกี่ยวกับ ความดี ความงาม ความจริง ความสุขที่แท้และสิ่งอันประณีตต่อจิตใจ ฉันเล่าความคิดให้เขาฟังว่า
พวกเราเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่เคยรับรู้สิ่งที่เป็นความจริงแท้อันละเอียดอ่อนและนุ่มนวลอย่างแท้จริง นอกจากจิตเวชศาสตร์
ฉันก็ไม่ชอบวิชาใดเป็นพิเศษแต่ก็เรียนได้ดีคะแนนสอบดี คะแนนความรับผิดชอบต่อหน้าที่ก็ดี ฉันรู้ว่าการเรียนแพทย์
เกี่ยวข้องกับวัฏฏสงสารและเกี่ยวเนื่องกับความทุกข์เช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยแท้ 



    ฉันอยากทำกิจกรรมและได้เข้าชมรมพุทธธรรม ได้มีโอกาสเป็นลูกศิษย์ท่านพุทธทาส และซาบซึ้งกับคำว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่สวนโมกข์ นี่เอง  ตอนนั้นฉันเรียนแพทย์ปี3ทำให้ฉันปลงตกได้ไวและดูไม่ค่อยมีไฟแบบ
กระตือรือร้นมากนักแม้จะเป็นคนดีแต่ฉันสังหรณ์ว่าฉันคงน่าเบื่อไม่น้อยเพราะไม่รู้จักพูดอะไรเบาๆให้เพื่อนชายสบายๆใจ
จนเป็นคนมีเสน่ห์แบบนั้น ผู้ชายที่ฉันรัก เขากลับชอบผู้หญิงสาวเปรี้ยว รื่นเริง สนุกสนาน มีเสน่ห์ทางเพศ ซึ่งสารพัด
เหล่านี้ฉันไม่มี และไม่เคยเลือกเลย ดูเหมือนไม่ใช่ฉันและฉันฝืนตัวเองไม่ได้ การที่รักเขาข้างเดียวเป็นทุกข์อย่างไร
ฉันเคยเผชิญมาแล้วอย่างเจ็บปวดมากทีเดียว

 

   ฉันใช้เวลาในช่วงว่างและวันหยุดเดินเที่ยวนั่งรถเมล์เที่ยวกรุงเทพฯโดยลำพังจนเป็นนิสัยและได้มีโอกาสสังเกตชีวิต
คนมากมายหลายอาชีพ ได้เจอกับคนทุกประเภท
ฉันมีลักษณะเป็นผู้ใหญ่และดูมั่นใจในตนเอง จึงปลอดภัยพอเพียง
ที่จะทำเช่นนั้น แต่จริงๆแล้วในวัยเข้า 22 ปี ฉันก็เริ่มนึกถึงการมีคนรักและที่ปรึกษาที่จะสร้างอนาคตร่วมกัน แต่ก็ไม่มี
ความเหงาลึกๆเป็นสิ่งที่คุ้นเคย และยังเป็นรากฐานของจิตใจมาจนบัดนี้ และนั่นคือความเก่งของฉันที่อยู่มาได้

 

    เวลาที่เหน็ดเหนื่อยจากการดูแลรักษาคนไข้ ฉันมักปลีกตัวจากเพื่อนๆมายืนดูแม่น้ำเจ้าพระยาและสัมผัสกับลมเย็นๆ
กับชีวิตชาวบ้านดูเรือโยงเรือแจวหาปลาที่ที่ไม่มีศัพท์แพทย์วุ่นวายให้ปวดหู…ฉันเพลิดเพลินอารมณ์เย็นและเป็นสุขกับ
ผู้คนที่น่ารักและธรรมชาติเหล่านั้น…..จนถึงเวลาทีต้องกลับไปทำงานต่อก็จะสบายใจและมีกำลังใจขึ้นมากน้อมนำให้
ฉันรักเพื่อนมนุษย์
มากกว่าตอนที่ฉันง่วนวุ่นวายกับตำรับตำราเสียอีก

 

    บางครั้งลงเวรจากตึกคนไข้เวลา 3-4 ทุ่ม ฉันชอบเดินผ่านลานพระรูปสมเด็จพระราชบิดา มองดูคนบนบานศาลกล่าว
ถวายพวงมาลัย กลิ่นธูปหอมระคนด้วยกลิ่นดอกมะลิสดอันเยือกเย็นฉันสังเกตเห็นสีหน้าผู้ที่มาไหว้พระรูปพระบิดาแล้ว
บางครั้งใจหาย เพราะราวกับว่า เขาไม่มีสิ่งใดยึดเหนี่ยวอีกแล้ว มีความมุ่งมั่นศรัทธาอันแน่แท้ที่เป็นความหวังสุดท้าย
เพื่อชีวิตของญาติพี่น้องหรือครอบครัวที่กำลังป่วยหนัก  



    ฉันหวนนึกถึงคราวที่ฉันเกือบจะรีไทร์ตอนอยู่ปี 1ฉันก็เคยนำพวงมาลัยดอกมะลิมาบูชาพระบิดาเพียงลำพัง ในเวลาค่ำคืน
เช่นนี้ พร้อมทั้งตั้งสัตยาธิษฐาน ปวารณาตัวว่าถ้าสอบผ่านเรียนจบเป็นแพทย์ฉันจะขอทำงานรับใช้ชาวชนบทผู้ยากไร้
อยู่ที่ต่างอำเภอ เป็นเวลา 10 ปี…ฉันยังจำได้ดีจนบัดนี้ ความรัก ความอาลัยอาวรณ์ ความหวัง ความศรัทธา ความกลัว
และความเศร้าโศกหมองคล้ำของความทุกข์บนใบหน้าพวกเขาเป็นสิ่งที่ประทับตาประทับใจฉันมาจนบัดนี้
 และนี่กระมังที่ทำให้ฉันมีความสามารถที่จะเป็นแพทย์รักษาผู้ป่วยได้จนปัจจุบัน แม้จะบอกว่า ไม่ชอบในอาชีพนี้เลย

 

    บางคืนขณะเดินผ่านทางเดินของสนามโล่ง ฉันแหงนขึ้นมองฟ้าหาดวงดาวและอากาศบริสุทธิ์ ฉันมักจะมองเห็น
ดาวพระศุกร์
หรือดาวประจำเมืองตอนหัวค่ำ ส่องแสงราวกับจะปลอบใจให้ฉันทนต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสำเร็จการศึกษา
บางวันฉันเห็นดาวไถและอากาศที่หนาวเย็นฟ้ากระจ่างกว่าปกติทำให้สดชื่นมีความสุขเหมือนอยู่ที่บ้านบรรยากาศที่เงียบ
สงบยามค่ำคืนเป็นสิ่งที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้มาก แต่วันไหนพระจันทร์เต็มดวง ฉันจะออกไปยืนพักผ่อนที่ท่าน้ำ
ศิริราช ถ้าไม่ดึกเกินไปรับลมเย็นๆดูหนุ่มสาวนั่งคุยกันเหงานิดหน่อยและแหงนมองดูดวงจันทร์ซึ่งสว่างกระจ่างอยู่กลางใจ
มาจนบัดนี้มีความอ่อนโยนและสดชื่นและความฝันหลากหลายอยู่ในมนตราแห่งแสงจันทร์เป็นมนตร์ขลังที่ประหลาดล้ำ
ความสงบนิ่งเวลาเดือนเพ็ญยามที่ฉันอยู่ตามลำพังคนเดียวก็ช่วยประโลมใจให้ฉันสงบนิ่งและมั่นคงขึ้น

 

    ยามเย็น ฉันมักไปนั่งรับประทานอาหารที่คาเฟทีเรียประจำหอพัก จนคนครัวและคนงานรู้จักกันทั่วไป
ฉันมักจองเก้าอี้ที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทอดอารมณ์กับสายน้ำ มองเลยไปที่โดมของธรรมศาสตร์ และตะวันลับฟ้า-
ยามเย็น บางครั้งเหงาบางครั้งดื่มด่ำบางครั้งนิ่งสงบและสบายใจ รู้สึกเหมือนได้ล้างใจในแต่ละวัน…ฉันยังจำลมเย็นๆ
และมิตรภาพกับเพื่อนหรือคุณลุงคนเก็บเงิน พี่ๆป้าๆน้าๆอาๆที่ทำอาหารแถวนั้น รวมทั้งคนซักรีดได้เป็นอย่างดี
เป็นน้ำใจที่หล่อเลี้ยงให้ชีวิตของฉันแวดล้อมไปด้วยเพื่อนมนุษย์เสมอมา

 

    เมื่อฉันเริ่มเรียนผ่าตัด ฉันมีปัญหากลัวจะทำไม่ได้จนต้องไปพบอาจารย์จิตแพทย์ คิดว่าอาจารย์คงจะทำให้ฝีมือดีขึ้น
แต่อาจารย์ว่าฉันกลัวพลาดเกินไป ทำตามปกติแล้วความชำนาญจะช่วยเอง..นั่นทำให้มีกำลังใจขึ้นมาก ฉันรู้สึกดีขึ้น
และในที่สุดอาจารย์ค้นพบว่าฉันเป็นโรคซึมเศร้าเพราะฉันเบื่อหน่ายกับการเรียนมากไปและไม่ยอมเข้าสังคมกับเพื่อนๆ
นอกจากนั้นอาจารย์ยังช่วยปรับเปลี่ยนทัศนคติหลายอย่างของฉันที่เบี่ยงเบนไป ให้ฉันมีเพื่อนเยอะขึ้น ,กลัวเชยน้อยลง
และออกกำลังกายคลายเครียดมากขึ้นซึ่งฉันก็ปฏิบัติตามและสำนึกถึงพระคุณของท่านอาจารย์มาจนบัดนี้
ฉันกินยาคลายเศร้าเพราะอาจารย์ว่าฉันห่วงเรียนมากไปเพราะเคยเจ็บปวดกับการสอบตก และเป็นสาเหตุให้ฉันซึมเศร้าด้วย
นั่นเป็นการวินิจฉัยโรคทางจิตเวชครั้งแรกในชีวิตของฉัน

 

    ต่อมาฉันได้อ่านหนังสือ แฮปปี้ไลฟ์ ของแดง ใบเล่ ที่เน้นเรื่องชีวิตนี้เป็นของเราเอง และเน้นหลักการยืนยันสิทธิ์
การเป็นตัวของตัวเอง ฉันได้รับประโยชน์มากมายจากหนังสือเล่มนั้น ทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน
เริ่มแสดงตัวฉันออกมาให้คนอื่นรับทราบและเข้าสังคม ทำสิ่งแปลกๆใหม่ๆ คบเพื่อนใหม่ๆ ทำอะไรที่ไม่เคยทำ
ทำให้ประสบการณ์ชีวิตเพิ่มขึ้นมากฉันกล้าไปเที่ยวทัศนาจรตามที่ต่างๆอย่างมั่นใจและมีความสุขมาก
ฉันได้เรียนรู้เพื่อนฝูงและสังคมในความเป็นจริงมากขึ้น

 

    ฉันยังคงมีปัญหาเหงาๆของคนที่อยากมีคนรักและได้อยู่กับครอบครัว เพราะการมาเรียนไกลและเรียนหนัก
การคมนาคมก็ไม่สะดวกทำให้ฉันห่างเหินทางบ้านไปมากเหมือนอยู่ตัวคนเดียวอยู่บ่อยๆแต่ก็ดีที่หัดรับผิดชอบตนเอง
ตั้งแต่ยังเด็ก…คืนวันคริสต์มาสฉันเคยออกไปเดินห้างสรรพสินค้า ดูครอบครัวพ่อแม่ลูกมีความสุขกัน พลอยยิ้มไปกับเขาด้วย
เทศกาล วาเลนไทน์ ในชีวิตไม่เคยมีใครให้ดอกไม้ฉันแม้แต่ดอกเดียวในฐานะผู้หญิงที่เป็นที่รัก (นอกจากที่เป็นหมอ)
ฉันได้แต่มองดูหนุ่มสาวที่รื่นเริงหยอกล้อสนิทสนมกันอย่างค่อนข้างเจ็บปวดบางทีก็ร้องไห้บ้างมีงานวันเกิดที่พอจะรู้กัน
และได้ของขวัญ การ์ดอวยพรจากเพื่อนร่วมห้อง และคนที่รู้ ส่วนวันปีใหม่ก็ได้การ์ดอวยพรมาบ้าง 



    ความจริงเทศกาลพวกนี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ฉันจะฉลองเพียงลำพังมาโดยตลอด ตอนเด็กๆก็กินน้ำหวาน โตเป็นผู้ใหญ่
เกิน 25 ปี ก็ดื่มไวน์และเมาอยู่คนเดียว วันไหนที่เป็นวันหยุด ถ้าฉันไม่อยู่โยงอยู่เวรแทนเพื่อนๆเพราะไม่มีธุระอะไรกับเขา
ก็มักจะเฝ้าห้องอยู่ลำพัง เพราะรูมเมทไม่เคยขาดการมีเพื่อนชายเทียวไปเทียวมาอยู่เสมอๆ ทั้งมีเทศกาลหรือไม่ก็ตาม



    ฉันติดนิสัยชอบจัดโต๊ะอาหารให้สวยงามที่สุด จัดดอกไม้ อาหารราคาแพง อร่อยมากๆ และมีเสียงเพลง พร้อมกับจุดเทียน
อย่างโรแมนติค ทำให้ฉันมีไอเดียเกี่ยวกับการตกแต่งโต๊ะอาหารอยู่บ้างในปัจจุบันนี้แต่ส่วนใหญ่หลังจากจัดโต๊ะจนสวยงาม
ที่สุดแล้วฉันก็นั่งมองดูสักพักหนึ่งแล้วกร้องไห้น้ำตารินไหลเงียบๆเพราะคิดฟุ้งซ่านไปว่าหัวใจของฉันไม่สวยงามน่าดู หรือ
มีคุณค่าเพียงพอสำหรับใครเลย นอกจากตัวเอง ฉันไม่ต้องการเพียงเพื่อน นั่นหาไม่ยาก แต่ฉันต้องการคนรักจริงๆ

 

    ในวันส่งท้ายปีเก่า ถ้าว่าง ฉันจะเปิดวิทยุเป็นเพื่อน คอยฟังพระราชดำรัสพระเจ้าอยู่หัวและบุคคลสำคัญต่างๆ
ฟังพระสวดมนต์ จนถึงเที่ยงคืน มีการจุดพลุ ยิงสลุต และร้องเพลง ฉันก็ร่วมฉลองเช่นนั้นตลอดมา จนเคยชิน
และนอนหลับไปราวกับได้ฉลองปีใหม่กับคนไทยทั้งประเทศแต่บางปีฉันก็นอนหลับเอาดื้อๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำวันไหนปีใหม่กันแน่
มันก็เหมือนๆกันทุกวันนั่นแหละ ใช้ชีวิตคล้ายพระไปเลย…ก็สบายดีไปอีกแบบ แม้จะขวางๆโลกอยู่บ้าง……

 

      คืนที่ฉันไปเฝ้าคนไข้ก็มีบางทีเราไม่สนใจแม้แต่เวลานาทีเพราะคนไข้ฉุกเฉินบ้างคนไข้หนักบ้างต้องวิ่งทำหน้าที่กันหัวปั่น
หลังจากเหตุการณ์สงบเรียบร้อยแล้ว บางทีประมาณตีหนึ่ง จึงมีบางคนนึกขึ้นได้และกล่าวสวัสดีปีใหม่อย่างเหนื่อยๆ
ทำเอาฉันเกือบจะหัวเราะในชีวิตแบบนี้…และมีความรู้สึกว่า…มีบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ฉันได้ทำในคืนนี้ แม้ว่าจะเป็นความเหนื่อยยาก
แต่ก็มีคุณค่าในหัวใจไปจนชั่วนิรันดร…มีคุณค่ากว่างานปีใหม่ทั่วไปมากนัก
น้อยคนที่จะมีโอกาสแบบพวกเรา
บรรดาทีมงานก็ปลอบใจกันไปอย่างนั้น ตามประสาคนเห็น สัจธรรมมามาก



    แต่บางทีคืนที่สงบนิ่งเพียงแต่รอรับคนไข้ตามหน้าที่ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหงาๆเสียงเครื่องช่วยหายใจดัง
เป็นจังหวะและทุกอย่างเงียบสงบฉันเห็นแสงไฟแสงพลุสว่างไสวเสียงคนเฮฮา ฉันก็ให้นึกว่า คนที่ฉันรักป่านนี้กำลังทำ
อะไรอยู่…อยู่กับใครบ้างหนอ…และคงมีความสุขจนไม่คิดถึงฉันแม้แต่น้อย ฉันสะเทือนใจ…แต่ก็ก้มหน้าฝืนทนอ่านหนังสือต่อไป.
ราวกับจะเร่งวันเวลาให้ผ่านไปโดยเร็ว จะได้จบเสียที แล้วฉันคงได้พบกับชีวิตใหม่ ที่ฉันจะเป็นผู้กำหนดเอง


   
   ก่อนเรียนจบฉันทำงานหนักมากและเตรียมตัวไปเป็น หมอบ้านนอก ฉันขอบคุณประสบการณ์ที่สถานที่เคยศึกษาอยู่อย่าง
มากมายที่ทำให้ฉันจบออกมาเป็นแพทย์เต็มตัวโดยไม่มีอะไรด่างพร้อย และหล่อหลอมให้ฉันแข็งแกร่งจนผ่านชีวิต
แพทย์ใช้ทุนไปได้อย่างมีความสุขด้วยดี ตามที่คนโสดและไม่มีคนรัก แถมอกหักอยู่ร่ำไปอย่างฉันจะเป็นไปได้



    คืนสุดท้ายก่อนจะจากศิริราชมา เพื่อนชายที่ฉันรัก เขาเลือกคุยอยู่กับฉันในคืนวันเลี้ยงอำลานั้น
เขาสอนฉันให้รู้จักใช้ชีวิตตามลำพังกับการทำงาน เขาคงจะเห็นฉันเรียบร้อย เพราะเขาเป็นคนทำกิจกรรม 
เลยเกิดความเป็นห่วง ฉันแปลกใจเหมือนกัน ที่รู้ว่าเขาเป็นห่วงฉันถึงขนาดนั้น แต่ฉันก็รับฟังสิ่งที่เขาสอนเป็นอย่างดี
เราจัดเลี้ยงอำลากันที่ตึกศิษย์เก่าศิริราช ชั้น 2 ฉันทอดสายตามองตรงไปข้างหน้าขณะที่คุยอยู่กับเขาจนกระทั่ง
งานเลี้ยงเลิกราก่อนจากทุกคนในงานร้องไห้ยกเว้นฉันกับเขา อันที่จริง การที่ต้องจากเขาไป อาจจะตลอดกาลนั้น
ทำให้ฉันปวดร้าวเกินบรรยาย แต่ไม่อาจจะร้องไห้ออกมาได้ ฉันยังจำเพลงที่เราร้องร่วมกันในวันนั้นได้ดี

 ศิริราชขวัญ

ลา…ขอลาศิริราชขวัญ

รักนิรันดร์..แต่นี้นับวันจะพลันไร้ร้าง

แดนฤดีมีกรรมกั้นกลาง

ขวัญจะร้างอกจะคว้างพร่างจะคว้าจะไขว่

ลา..ขอลาฝากมาพาฝัน

ความสัมพันธ์..แต่นี้นับวันจะพลันร้างไร้

แดนฤดีมีมือกวักไกว

ร่ำเรียกให้..ให้หวนหาใครในม่านหมอกควัน

เคราะห์กรรมจำอำลา

ขวัญพรากพา..ร้างราแล้วอย่าลืมขวัญ

ฟ้าไกลรำไพพรรณ

สายสุวรรณสัมพันธ์พร่างพราย

ลา..นิรันดร์จากกันขวัญหาย

เคล้าแล้วคลาย โอ้หวานแล้ววาย

กลับกลายร้ายร้าง

โอ้กรรมหนอกรรมจำพาพรากพราง

จิตใจร้างคล้ายยังค้างกลางสวรรค์เรานั่น

ลา..ขอลาจากรังวังหลัง

ลาทั้งยังครุ่นคิดอนิจจังช่างดูคล้ายฝัน

ดูเดี๋ยวเดียวเกลียวกลมใกล้กัน

ต้องพรากพลันจากรักนิรันดร์ดื่มอาดูร…

 

 

 

 

 รางวัลแด่คนช่างฝัน

    

    ฉันเริ่มใช้ทุนที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุง จ.อุดรธานีซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองถึง 85 กิโลเมตร
 เป็นอำเภอที่มีขนาดใหญ่พอควร โรงพยาบาลของฉันเป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง ที่สร้างขึ้นจากเงินบริจาค
ของปวงชนชาวไทยในวันอภิเษกสมรสของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามกุฏราชกุมารและพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า
โสมสวลีพระวรชายา ในขณะนั้น

 

     ฉันจำชีวิตแพทย์ใช้ทุนในชนบทของฉันได้ดีทีเดียวเริ่มจากหมอเด็กๆที่ต้องใส่ฟอร์มแพทย์ไว้ตลอดเวลาแม้แต่ตอน
นอนวันอยู่เวร เพื่อให้คนไข้รู้จัก เพราะฉันเป็นผู้หญิงและไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือนัก เพราะคนไข้นึกว่าเป็นพยาบาล
ฉันต้องตรวจผู้ป่วยนอกวันละนับร้อย อยู่เวรอุบัติเหตุฉุกเฉิน ผ่าตัดทั้งเล็กและใหญ่ ทำคลอดที่มีปัญหา ดูแลผู้ป่วยใน
ตึกผู้ป่วยใน และดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายที่ถูกส่งตัวมาให้การดูแลขั้นสุดท้าย รับหน้าที่เป็นสังคมสงเคราะห์โดยปริยาย
แต่ยังดีที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ โรงพยาบาลมีแพทย์3คนเป็นผู้ชายคนเดียวคือผู้อำนวยการและมีรุ่นพี่ผู้หญิง
จากมหาวิทยาลัยขอนแก่นเช่นกันกับผ.อ. ฉันอยู่บ้านเดียวกับพี่ผู้หญิง ก็มีความสุขความสบายมากกว่าตอนที่เรียนหนังสือ
มาก เพราะมีเวลาได้ทำสิ่งที่ชอบ ไม่ต้องทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนจนหมดเหมือนเดิม

 

    ฉันมาตั้งชมรมแอโรบิคด๊านซ์และเป็นผู้จัดการทีมกีฬา เพราะรู้สึกว่า สุขภาพกายและใจย่ำแย่ จำเป็นต้องรักษาตัว
ฉันไม่ยอมเปิดคลินิค สำหรับฉันสุขภาพสำคัญกว่าเงิน ฉันใช้ชีวิตอิสระตอนที่ไม่อยู่เวร อ่านนิยาย เรียนกฏหมายเพิ่มเติม
 หัดเรียนภาษาอังกฤษติดตามรายการโทรทัศน์และเป็นผู้ดำเนินงานห้องสมุดของโรงพยาบาลด้วยตนเอง
แถมยังทำสหกรณ์โรงพยาบาลอีกด้วย

 

    ไม่เสียแรงที่ฉันทุ่มใจด้านกีฬาจนแม้ว่านักกีฬาของเราจะแพ้แต่กองเชียร์ภายใต้การนำของฉันและบรรดาลูกทีมจอมทรหด
ก็ทำให้เราได้ครองถ้วยชนะเลิศกองเชียรของการแข่งขันระดับโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดจนได้

 

    ชีวิตแพทย์ที่นั่นเหนื่อยและเครียด ฉันป่วยด้วยรคคอพอกเป็นพิษอย่างมาก จนมือสั่น แต่ก็ต้องทำงานและใช้ยาควบคุมเอา
บางวันเครียดและมือสั่นจนผ่าตัดไม่ได้ ต้องส่งตัวคนไข้ต่อไปที่โรงพยาบาลศูนย์ มีคนไข้ที่ต้องการระบบส่งต่อเป็นจำนวนมาก
แพทย์มีน้อยและไม่มีที่ปรึกษา ทำให้พวกแพทย์ใช้ทุนทุกคนต้องฝึกฝนความเด็ดขาด และการตัดสินใจที่ฉับไว
พร้อมกับมีความรู้ความสามารถรอบด้าน มิใช่เฉพาะการแพทย์เท่านั้น

 

   ฉันออกจะเป็นหมอที่แปลกประหลาดอยู่ เพราะชอบเดินออกกำลังกาย ไม่ชอบขับรถยนต์ และไม่เปิดคลินิค
ฉันก็ประกาศอุดมการณ์ของฉันไปตามเรื่อง จนวันหนึ่งทนรำคาญไม่ไหวจึงลองเปิดคลินิคดู ได้ 2 เดือน ก็หยุดทำไป
เพราะใช้เวลาของฉันมากเกินไป และที่สำคัญฉันไม่อยากเก็บเงินคนไข้ยากจนเหล่านั้นที่มีธนบัตรยับยู่ยี่มอมแมม
และคลี่ออกมานับแล้วนับอีกถ้าฉันไม่ให้ ฟรี ก็ส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้วตามไปรักษาที่นั่นเพราะที่โรงพยาบาลใช้บัตร-
สงเคราะห์ได้ฉันไม่ชอบเลย จึงเซ้งต่อเอาดื้อๆ เพราะขืนทำไปก็คงเจ๊ง  ในที่สุดฉันก็มีมีชีวิตเป็นตัวของตัวเองไปตาม
ปกติสุข ตามแบบของฉัน

 

    ช่วงนั้นเรื่องความรักฉันไม่คิดจะแต่งงานเลย คาดว่าจะต้องเป็นสาวโสด และเตรียมพร้อมเรียบร้อยล่วงหน้าไปถึง
อายุ62ปีจนสิ้นอายุขัยไว้เรียบร้อยแล้วแต่ก็มีการติดต่อกับเพื่อนชายคนแรกที่ฉันเคยช่วยเขาไว้ตอนสอบตกระยะหลังเขา
กลับมาหลงรักฉันอย่างไม่น่าเชื่อแต่คิดว่าเขาคงเหงามากกว่าแต่เราก็ติดต่อกันเป็นประจำทางจดหมาย
และเคยไปเยี่ยมเขาที่ น่าน ครั้งหนึ่ง สนุกดีและได้รับการต้อนรับจากญาติพี่น้องเขาเป็นอย่างดี แต่เราก็ไปกันไม่ได้
แม้ว่าผู้ใหญ่จะสนับสนุน ฉันอกหักเล็กน้อย เพราะยังคงมีสายสัมพันธ์เก่าๆเหลืออยู่ แต่เมื่อเขาไม่สานต่อ ฉันก็ทำอะไรไม่ได้

 

    ฉันติดต่อทางจดหมายกับเพื่อนชายที่เคยเป็นเพื่อนสนิททำงานร่วมกันมา คนที่ฉันรักเขาข้างเดียว ฉันยังคงรักเขาอยู่มาก
และฟังเพลงเศร้าๆเหงาๆก็อดน้ำตาซึมไม่ได้ฉันชอบเพลง “ป่านฉะนี้” แต่ก็โดนน้องพยาบาลแซวว่า ผู้หญิงเขาไม่ร้องกันหรอก
เลยเลิกร้องไปโดยปริยาย ฉันยังคิดถึงเขาเสมอบางวันหลังจากเสร็จงานผ่าตัดฉุกเฉินกลางดึกฉันแหงนมองฟ้าที่มีดวงดาว
พราวพรายงดงาม ฉันนึกถึงครั้งที่ยังเป็นนักศึกษาที่ฉันกับเขาเคยออกค่ายด้วยกัน และไปที่อ.โนนสัง จ.อุดรธานี
ที่นั่นฉันเคยเห็นดาวมากมายและอยู่ต่ำคล้ายจะสัมผัสได้เห็นทางช้างเผือกแสนสวยจนบัดนี้ฉันยังไม่เคยเห็นดวงดาวที่ไหน
สวยเหมือนที่โนนสังหรือบ้านดุงอีกเลย และครั้งที่เราไปเที่ยวเขาค้อด้วยกันก็เคยเห็นจันทร์เต็มดวงและเขาร้องเพลง 
"ดวงจำปา "ให้ฉันและเพื่อนๆฟัง ฉันคิดอยู่เสมอว่า ป่านฉะนี้จะอยู่ดีไฉนหนอ และยังรักหวังดีต่อเขาเสมอมา
แม้ว่าขณะนี้จะจางคลายลงไปเป็นเพียงมิตรภาพที่ยั่งยืนเท่านั้น

 

    ฉันเรียนกฏหมายมสธ.อยู่1ปีได้พบกับอาจารย์หนุ่มโสดที่สนใจฉันเป็นพิเศษเราก็ติดต่อกันทางโทรศัพท์และจดหมายเป็น
แฟนๆกันอยู่ 1 ปี ก็เลิกรากันไป เพราะงานอันยุ่งเหยิงของทั้งสองฝ่าย และความห่างไกล

 

   โอกาสที่ฉันตื่นเต้นที่สุดในชีวิตคือ วันที่รับเสด็จสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามกุฎราชกุมาร ฉันเป็นแพทย์ตึกผู้ป่วยใน
เตรียมถวายรายงานเกี่ยวกับคนไข้ฉันตื่นเต้นมากและพูดเร็วปรื๋อเสียงแจ๋วๆทีเดียวในโอกาสแรกที่ฉันได้ชมบุญญาธิการ
ของพระองค์ฉันคิดว่าท่านผิวพรรณงามมากเหมือนคนในเมืองหนาวแต่ท่านมีท่าที(ขอประทานอภัย)ในขณะนั้นฉันคิดว่า
ท่านค่อนข้างรักอิสระ แต่เมื่อถวายรายงานคนไข้ถวายพระองค์ท่าน ฉันรู้สึกว่าท่านมีสายตาคม ฉับไว และช่างสังเกต
ตามสัญชาติญาณฉันหนาวๆร้อนๆเมื่อมองตามสายพระเนตรของท่านพบสิ่งที่บกพร่องบางอย่างวิธีการที่ท่านทอดพระเนตร
บอกให้ทราบว่าเห็น แต่มิได้ตำหนิอะไร แต่แค่นั้นก็เครียดแล้ว ท่านมีพระดำรัสกับฉันเสมือนดังเป็นข้าราชบริพาร
ด้วยสุรเสียงเย็นๆเรียบสงบแต่ทรงอำนาจ มีบางอย่างที่บอกให้ฉันทราบว่า ท่านถือว่า ฉันเป็นข้าราชบริพารในพระองค์ท่าน
และมีหน้าที่อันสำคัญที่ต้องปฏิบัติกับผู้ป่วยในพระอุปถัมภ์ของพระองค์ท่านอย่างดีที่สุด

 

     วันนั้นคุณแม่ของฉันเป็นผู้จัดดอกไม้ถวายการต้อนรับและตกแต่งโรงพยาบาลร่วมกับคุณพ่อเราถ่ายวีดีโอจากโทรทัศน์
ไว้และตื่นเต้นยินดีเป็นล้นพ้น ญาติพี่น้องสอบถามกันเกรียวกราว มีข่าวปลีกย่อยเล็กๆน้อยๆหลายอย่างที่มีมาต่อเนื่อง
ตามปกติของการรับงานใหญ่ แต่ฉันคิดว่า เป็นโอกาสอันสูงสุดในชีวิตที่ฉันได้รับ ในการได้ทูลถวายรายงานผู้ป่วย แด่
พระองค์ท่าน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้ว่า “งานใหญ่สำคัญมาก” เป็นอย่างไร นับเป็นบุญของผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง
ซึ่งเป็นแพทย์ใช้ทุนธรรมดาเท่านั้น ยังได้รับพระราชทานโอกาสอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ แทบไม่น่าเชื่อจริงๆ

 

    ฉันครบกำหนดใช้ทุนพ.ศ.2533และตัดสินใจขอทุนโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุงไปศึกษาต่อิชากุมารเวชศาสตร์
แบบมีต้นสังกัดเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ต่อไปฉันชอบวิชากุมารเวชเพราะชอบเด็กๆและคิดว่าเรียนได้
และตั้งใจจะมาตั้งหน่วยกุมารเวชที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุงเพื่อลดการส่งต่อและเพิ่มความสามารถของ
โรงพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็ก ซึ่งมีจุดสำคัญทั้งการป้องกันโรคและส่งเสริมพัฒนาการ ฉันคิดว่าฉันกลับมาอยู่ที่นี่
ได้อย่างแน่นอน และอาจลดงานผ่าตัดที่ฉันไม่ถนัดลงไปได้ เท่านั้นฉันก็มีความสุขเป็นอย่างยิ่งแล้ว เพราะไม่ค่อยชอบ
 และชักเหนื่อยกับการเป็นแพทย์ทั่วไปรับทุกโรคเต็มที่แล้ว ฉันไม่คิดว่าจะย้ายเข้าโรงพยาบาลศูนย์แต่อย่างใดในช่วงเวลานั้น

    ก่อนจากบ้านดุงมาฉันได้มีโอกาสทำบางสิ่งให้กับผู้ป่วยและโรงพยาบาลบ้านดุงคือขึ้นประกวดขวัญใจงานบอลล์
เพื่อนำเงินบริจาคไปสมทบกับเงินบริจาคของท่านหลวงตาบัวเพื่อซื้อรถพยาบาลฉุกเฉิน ฉันไม่ใช่คนสวยเลย เตี้ยๆ
และอายมากกับความไม่สวยของตัวเอง นางงามที่ขึ้นประกวดทุกคนสวยทั้งนั้น แต่มีพ่อค้าใหญ่ในตลาดและคนใหญ่คนโต
ในอำเภอ ลุ้นให้ฉันประกวด แล้วเขาจะบริจาคให้เต็มที่ ด้วยความอยากให้เงินบริจาคซื้อดอกไม้เพิ่ม(ดอกไม้ก็ทำเอง)
ฉันจึงกัดฟันร่วมประกวดกับเขาจนได้ และได้เงินบริจาคมากขึ้นจริงๆ ที่สำคัญฉันได้ดอกไม้มากที่สุด
จึงได้ตำแหน่งขวัญใจงานบอลลไม่นึกเลยว่าจะได้ถ้วยรางวัลวิธีนี้ คิดดูแล้วไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ จนบัดนี้
ถ้วยรางวัลยังตั้งอยู่อย่างสง่างามในห้องรับแขกและคงไม่มีอีกแล้วถึงอย่างไรฉันก็ภูมิใจที่มีโอกาสช่วยเหลือผู้ป่วย
มีรถพยาบาลฉุกเฉิน เพื่อส่งต่อโรงพยาบาลใหญ่ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริง

    ความสุขและประสบการณ์ของการเป็นแพทย์ที่ร.พ.บ้านดุงยังคงตามมาช่วยฉันที่กรุงเทพฯที่ศิริราชถิ่นเดิม
แต่ชีวิตหลังจากนั้นเปลี่ยนแปลงไปจนคาดไม่ถึง
เมื่อฉันกลับมาบ้านดุงอีกครั้งหนึ่งฉันก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว

 

 

 

ความทรงจำ

 

    ฉันยังจำวันแรกเริ่มต้นการฝึกฝนเป็นแพทย์ประจำบ้านาควิชากุมารเวชศาสตร์ศิริราช…ได้เป็นอย่างดี
วันนั้นเป็นวันปฐมนิเทศ ฉันฟังอาจารย์พูดเกี่ยวกับการเรียนการสอน ให้รู้สึกมึนๆอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีความตั้งใจอันดี
ที่จะทำงานให้บรรลุจุดประสงค์คือได้เป็นกุมารแพทย์ตามมาตรฐานสากลดังที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่เมื่ออยู่ที่โรงพยาบาล
สมเด็จพระยุพราชบ้านดุง จ.อุดรธานี

 

    วันนั้น ฉันได้รับสมุดโน้ตเล็กๆจากรุ่นพี่ที่ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาไปแล้วฉันไม่เคยคิดว่า ในที่สุดแล้ว
ชะตาชีวิตของฉันจะตกอยู่ในมือของผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มแพทย์ประจำบ้านรุ่นพี่พวกนั้น ฉันเริ่มหนักใจกับการเรียน
แต่ก็คิดว่าจะสู้ต่อไปจนถึงที่สุด..คงเหมือนกับเพื่อนร่วมทีมทั้ง17คน ขณะนั้นฉันไม่มีอะไรแตกต่างจากพวกเขาเลย
ฉันเริ่มรู้ถึงความลำบากของการฝึกฝน และสำเหนียกถึงสิ่งที่จะกระทำในการเรียนที่นี่รวมทั้งการสอบให้ผ่านจนได้
วุฒิบัตรนั้น คงไม่ง่ายอย่างที่คิดแต่ฉันไม่ทราบเลยว่าตนเองต้องตกอยู่ในสภาพที่หวาดกลัวว่าจะไม่ได้รับวุฒิบัตรอย่าง
มากมายจนแทบจะเรียกได้ว่าตกนรกทั้งเป็นในอีก3ปีต่อมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่อาจโทษผู้ใดได้เลย…นอกจากตนเองเท่านั้น
และทำให้ฉันเหมือนอินทรีปีกหัก ในการตัดสินใจผิดพลาดครั้งนั้น ในสายตาของฉันเอง อันทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อ
ตนเองอย่างยิ่งเกิดการโทษตัวเอง จนเป็นประวัติศาสตร์ที่เปื้อนน้ำตาในเวลาต่อมา

 

     เมื่อฉันอยู่ปี 1 ฉันพักที่หอหญิง ที่เดิมที่เคยพักสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์มีรูมเมท 2 คน เป็นแพทย์ประจำบ้าน
จิตเวชเด็ก และที่เป็นแพทย์ประจำบ้านกุมารเวชเหมือนฉัน  เราสนิทสนมกันดี ฉันมักอยู่ที่ตึกผู้ป่วยไม่ได้กลับห้องพัก
บ่อยนักยกเว้นวันว่าง ฉันเคยนึกอิจฉาเพื่อนที่เรียนจิตเวชเด็กเพราะฉันชอบสาขานี้มากกว่ากุมารเวชและนึกว่าเขาโชคดี
จริงๆที่ได้เรียนสิ่งที่ตัวเองรัก แต่กำลังใจฉันยังดีอยู่มาก เพื่อนอีกคนที่เป็นหมอเด็กเหมือนกันก็เข้ากันได้ดี แม้จะต่างกัน
เธอเป็นคนเก่งและน่ารักทั้งสองคนมีบางวันที่เรามีเวลาว่างพร้อมกันมารวมกันได้ก็จะพูดคุยเรื่องราวต่างๆให้กันฟังอย่าง
สนุกสนานคนที่เป็นจิตเวชเด็กนั้นหน้าตารูปร่างดีและอ่ออนไหวจริงจังและมีพรสวรรค์เธอวาดการ์ตูนญี่ปุ่นได้สวยงามมาก
เธอเป็นคนมีเสน่ห์แบบผู้หญิงเก่งและคนไข้กับญาติๆจะชอบเธอมาก  ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น เคยอยู่โรงพยาบาลชุมชนมาก่อน
เรียนหนังสือเก่ง สมาธิดี มีเพื่อนฝูงมากมาย ใครๆก็รักในน้ำใจของเธอ เวลาเราอยู่ด้วยกันก็เป็นส่วนผสมที่ดีที่สุด ฉันคิดว่า
เราได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาก  ตัวฉันเองนั้น เพื่อนที่เป็นจิตเวชเด็กบอกว่า เป็นคนน่ารัก ใจดี ใจเย็น ไม่โกรธง่าย
สงบเสงี่ยม และมีพรสวรรค์ด้านจิตวิทยา รักเพื่อน มีน้ำใจ ไม่ใช่คนหยุมหยิม ส่วนอีกคนบอกว่า ฉันน่ารัก มีความประพฤติ
เรียบร้อย เป็นผู้ใหญ่ มีความคิดดีๆและมีเหตุมีผล ไม่เครียดมาก เรามีความรู้สึกที่ดีต่อกัน และฉันรู้สึกถึงมิตรภาพแบบ
ผู้หญิง โดยเฉพาะเมื่อเพื่อนหญิงของฉันผิดหวังในความรักในช่วงที่เรายังเป็นแพทย์ประจำบ้านปีที่ 1 เป็นเรื่องเศร้ามาก
ฉันเห็นเธอเศร้าโศกสาหัสราวจะหัวใจสลาย แต่เธอก็พยายามไปออกกำลังกายให้หายเครียด เธอชวนฉันไปตีแบดมินตัน
ช่วงหัวค่ำ ฉันเดินเป็นเพื่อนเธอไปเงียบๆ เธอบอกว่าฉันเป็นเพื่อนที่ดีมาก การช่วยเหลือของฉันไม่ทำให้เธออึดอัด
เพราะสบายๆเป็นธรรมชาติ ฉันเคยแหงนมองฟ้าหาดวงดาวระหว่างทางที่เดินจากหอพักหญิงไปที่หอกีฬา และบอกเธอ
อย่างขันๆว่าสมัยนี้เรามองไม่เห็นดวงดาวกันแล้วมีแต่หมอกพิษเต็มไปหมดและฉันบอกเธอว่าฉันชอบมองหาดวงดาวประจำ
ชีวิตเวลาที่ฉันเหงา และบอกเธอว่าฉันมีเพลงโปรดชื่อ Look for a star และร้องให้เธอฟัง ว่า



When life doesn't seem worth the living
And you don't really care who you are      
When you feel no one beside you                    
Look for a star.....

Oh every one has a lucky star
That shine in the sky up above                                             
if you wish on your lucky star
you're sure to find someone to love.......

    

 

     เธอหันมามองหน้าฉัน และบอกว่า ฉันเป็นคนลึกซึ้ง ยิ่งคบยิ่งรู้สึกว่าฉันมีอะไรมากกว่าที่เห็นเสมอๆนั้น ฉันได้แต่ยิ้มๆ
และได้เป็นเพื่อนเธอเวลาที่เธอต้องการ และฉันยังระลึกถึงเธอมาจนบัดนี้



   
ฉันไปทำงานทุกวันและรู้สึกว่างานหนักมาก ต้องปรับเปลี่ยนระบบตนเองหลายอย่าง ฉันต้องเปลียนนิสัยโดยสิ้นเชิง
เพื่อให้เข้ากับงานที่ทำตอนแรกฉันต้องอยู่เวร7วันซ้อนและคนไข้หนักทั้งนั้นทำให้ฉันถึงกับร้องไห้ออกมาในวันหนึ่ง ทุกสิ่งผิดแผกไปมาก ฉันเคยตัดสินใจทุกอย่างด้วยตนเองเมื่ออยู่โรงพยาบาลชุมชน แต่ที่นี่ราวกับฉันมาเริ่มชีวิตใหม่
พี่ๆและเพื่อนๆต้องมาปลอบโยนกันยกใหญ่ แต่หลังจากนั้นฉันก็ไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนมากถึงขนาดนั้นอีก
แต่เป็นปัญหาหัวใจที่ทำให้ฉันลำบากมากในตอนหลัง ฉันยังระลึกถึงวันเลี้ยงอำลาจากบ้านดุงได้ดี มีผู้ที่เชียร์ให้ฉันหาแฟน
เป็นแพทย์ประจำบ้านด้วยกันให้ได้ อย่าเอาแต่หมกมุ่นกับตำรา ภรรยาสาวของผู้อำนวยการที่เป็นพยาบาลห้องฉุกเฉิน
ถึงกับบอกให้ภารกิจนี้เป็นความสำคัญอันดับแรก เพื่อให้ฉันมีความหวังขึ้นมากกับการจะมีโอกาสได้เลือกคู่ครองเสียที
แต่ฉันกลับเห็นเป็นเรื่องตลกขบขันเสียมากกว่า ถึงอย่างไรฉันก็มีบ้านอีกแห่งที่บ้านดุงอยู่แล้ว จึงไม่แคร์อะไรมากนัก

 

    แต่เมื่อมาเรียนเข้าจริงๆฉันก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยแบบนิสัยเดิมๆที่หมกมุ่นกับงานและความ
รับผิดชอบมากและมุ่งเป้าที่การฝึกอบรมให้เป็นกุมารแพทย์ที่มีคุณภาพมากกว่าจะมาคิดถึงเรื่องที่น่าจะเป็นความสำคัญ
อันดับแรก ฉันเชื่อว่าถ้าไม่มีใครมาทำท่าให้ความสนใจ  ฉันก็คงจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนเรียนจบเป็นแน่ ฉันได้รู้จักกับ
ความรู้สึกและอารมณ์หลากหลายที่บันดาลให้เกิดขึ้นจากเพื่อนชายรุ่นพี่ที่เขาเข้ามาทำให้ฉันได้เรียนรู้บางสิ่งที่มีความหมาย
ยิ่งนัก…อิทธิพลของเขาทำให้ฉันค่อยๆเปลี่ยนแปลงทัศนคติในเรื่องของความรัก จากคนที่ไม่คิดจะแต่งงาน แอนตี้มากมาย
ถึงกับตั้งใจว่าจะไม่รักใครอีก จากการที่ฉันผิดหวังในความรักกับเพื่อนชายที่เคยเรียนมาด้วยกัน ฉันเคยรักและสนิทสนมกับ
เขามากไม่คิดว่าจะได้พบผู้ชายที่เหมือนเขาอีกแต่มีความน้อยใจฝังลึกที่เขาไม่ได้รักตอบฉัน…ฉันเคยปวดร้าวเพราะความรัก
ของตนเอง จนกระทั่งคิดได้ว่า ถึงเขาจะรักตอบหรือไม่ ฉันก็จะรักและหวังดีต่อเขา โดยบริสุทธิ์ใจ เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข
ฉันจำได้ว่าหลังจากคิดเช่นนั้นฉันกลายเป็นคนที่มีหัวใจอ่อนโยนและมีความสุขมากขึ้นทั้งยังมั่นใจในตนเองเป็นที่สุด
ฉันรู้สึกยินดีจนเสมือนโลกสวยงามขึ้นทันตาเห็น ทำให้ฉันเป็นผู้หญิงเต็มตัวและเจริญวัยเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ แต่ในเวลา
ต่อมา ความไม่ปรารถนาที่จะรักหรือแต่งงานกับใครเข้ามาแทนที่ เพราะรักมีแต่ทุกข์…การสูญเสียความรักที่ฉันเคยรู้จัก
ไม่อาจจางหายไปได้ง่ายๆยังคงมีความเจ็บปวดที่ฝังแน่นในจิตใจตลอดมา…ฉันถึงกับคัดลอกบทกลอนมีชื่อของหลายๆกวี
มาไว้ดูเตือนใจตนเองเช่น ของ อังคาร กัลยาณพงศ์ ที่ว่า


เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง   มุ่งปรารถนาอะไรในหล้า

มิหวังกระทั่งฟากฟ้า   ซบหน้าติดดินกินทราย

จะเจ็บจำไปจนปรโลก   ฤารอยโศกรู้ร้างจางหาย

จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย   อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ….

 


    ฉันไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ถึงกับเคยประกาศว่า จะไม่แต่งงานเด็ดขาด ฉันแสวงหาทางที่จะอยู่คนเดียวอย่างมีความสุข
ช่วงเวลา 3 ปีที่ฉันไปใช้ทุนที่บ้านดุงนั้น ฉันได้ใช้ชีวิตอิสระอย่างเต็มที่กระทั่งบรรลุความปรารถนาส่วนตัวในเรื่องร่างกาย
สังคมและอารมณ์ตลอดจนความสนุกสนานรื่นเริงความสำเร็จในการงานและความสามารถพิเศษแต่ในที่สุดแล้วฉันก็เริ่มเหงา
และเริ่มต้องการมีคู่ครองไม่อยากเดินทางต่อไปเพียงลำพัง ฉันต้องต่อสู้กับความเศร้าเดิมๆอยู่นาน จึงตัดสินใจว่า จะหาคนรัก
ทุกวิถีทาง เพื่อก้าวต่อไปถึงการมีครอบครัว ซึ่งคงเป็นธรรมชาติปกติของมนุษย
ฉันคิดว่าไม่พ้นวิสัยที่จะทำได้ ถ้าตั้งใจจริงๆ
เช่นนั้น เพราะฉันเชื่อมั่นในพลังความมุ่งมั่นของตนเองอยู่มาก

    พฤติกรรมช่วงที่ฉันเป็นแพทย์ประจำบ้านนั้น เป็นรูปแบบซ้ำๆกันอยู่มาก ตื่นเช้า6.30น.ดื่มกาแฟ,รับประทานขนมแล้ว
จึงออกไปWARD
ให้ทัน7.00น.เป็นอย่างช้าหลังจากนั้นก็ร่วมตรวจคนไข้กับแพทย์รุ่นพี่ประมาณ8.00น.จะมีอาจารย์มาดูผู้ป่วย
หลังจากนั้น8.30น.จะไปขึ้นมอร์นิ่งคอนเฟอร์เร็นซ์
ซึ่งประมาณว่าเป็นความเครียดแบบหนึ่งของแพทย์ประจำบ้านผู้ขึ้นไปรายงาน
ผู้ป่วยในเช้าวันนั้นซึ่งเป็นแพทย์เวรคืนก่อนนั่นเอง  จาก9.00น.ถึงเที่ยงก็จะอยู่รับคนไข้ที่ตึกผู้ป่วยใน  ส่วนคนที่ออกตรวจ
ผู้ป่วยนอกก็จะไปตรวจผู้ป่วยที่OPD.ชั้นสามหลังเที่ยงตอนบ่ายก็จะมารับคนไข้และดูแลผู้ป่วยตามหน้าที่ช่วงนี้จะมีอาจารย์
จากภาคต่างๆรวมทั้งอาจารย์ในภาควิชาที่เป็นอาจารย์ประจำหน่วยต่างๆมาราวด์คนไข้พร้อมกับแพทย์ประจำบ้านรุ่นพี่
ซึ่งเราจะต้องเตรียมประวัติของคนไข้อย่างละเอียดรวมทั้งการรักษาที่ให้ไปแล้ว ตรงนี้ก็เป็นความเครียดอีกหน่อยของเรา
เพราะอาจโดนดุได้เสมอๆท่านฝึกให้เรารอบคอบละเอียดถี่ถ้วนมากจริงๆหลังจากนั้นเมื่อถึงบ่าย4โมงเย็นเราก็จะราวด็เย็นกัน
หลังจบการราวด์ ฉันก็จะไปรับประทานอาหารและเดินดูนั่นดูนตามลำพัง อาจซื้อนิตยสารมาอ่านบ้าง พักผ่อนพอสบายใจ
ถ้าวันไหนอยู่เวรก็ต้องไปเฝ้าWARDเพื่อรอราวด์คนไข้รอบค่ำประมาณ19.00น.อีกครั้งหนึ่งวันไหนไม่อยู่เวรก็นั่งอ่านหนังสือ
ที่ในหอพัก จนถึง 5ทุ่มจึงจะเข้านอนนี่เป็นกิจวัตรปกติ ฉันเหนื่อยมากในช่วงเวลานั้น ดูราวกับจะชราภาพลงมาก เพลียมาก จึงอยู่อ่านหนังสือดึกๆไม่ได้และฉันคิดว่าทำเท่าที่จะทำได้เลยไม่ฝืนสังขารมากนักกลัวป่วยกระนั้นฉันก็เป็นโรคภูมิแพ้และ
ไอเรื้อรังอยู่นานๆเป็นประจำ สุขภาพเริ่มทรุดโทรมลงเรื่อยๆ

 

    กิจกรรมอื่นๆ เล็คเชอร์ตอนบ่ายวันศุกร์,แกรนด์ราวด์เช้าวันพุธ,อ่านJOURNALวันอังคารบ่าย,สูติ-เด็ก คอนเฟอร์เร็นซ
พุธบ่าย, เหล่านี้เป็นต้น
รุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านปี 3 จะเป็นคนขึ้นกระดานให้เห็นชัดๆ เป็นสัปดาห์ๆไปนอกจากนี้
เมื่อเราขึ้นปี 2 เราก็จะต้องเป็นแพทย์ประจำบ้านประจำหน่วยพิเศษนั้นๆ เช่นหน่วยโรคเลือด,หน่วยโรคติดเชื้อ เป็นต้น
ซึ่งเวลาจะผ่านไปรวดเร็วดี แม้จะไม่หนักแต่เราต้องดูคนไข้ในหน่วยให้ครบทุกWARD เป็นช่วงที่อาจารย์จะติวเข้มให้
และเราต้องเป็นเสมือนเลขาฯของอาจารย์ เวลาท่านถามถึงผู้ป่วยคนใดก็ตาม ต้องรู้ให้หมด

 

   เมื่อขึ้นปี3เป็นปีที่เราเป็นพี่ใหญ่เวลาอยู่เวรจะเป็นหัวหน้าทีมต้องตัดสินใจในการทำงานและดูแลรุ่นน้องและคนไข้รวมทั้ง
ติดต่อประสานงานอาจารย์…พร้อมกับเตรียมตัวเพื่อสอบบอร์ด เป็นปีที่หนักมากและโหดที่สุดแต่เมื่อคิดว่า เรามาเรียนเป็นช่วงเวลาเล็กน้อยเท่านั้น ต่อไปเราก็ต้องพ้นจากสภาวะนี้ อย่างไรก็ต้องรีบกอบโกยวิชาความรู้เอาไว้ให้มากที่สุด
ก็พอจะผ่านช่วงเหล่านี้มาได้ มีบางเวลาที่ท้อแท้ ไม่มีความสุขบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะลาออกแต่อย่างใด

หน่วยโรคต่างๆที่ฉันเคยรับผิดชอบประกอบด้วย  

-หน่วยโรคเลือดและมะเร็ง

-หน่วยโรคหัวใจ

-หน่วยโรคติดเชื้อ

 หน่วยโรคผิวหนัง

-

-หน่วยโรคทางเดินหายใจ

-หน่วยทารกแรกเกิด

-หน่วยโรคระบบต่อมไร้ท่อและสารพิษ

-หน่วยโรคพันธุกรรม

-หน่วยจิตเวช

-หน่วยโรคระบบทางเดินอาหาร

-หน่วยประสาทวิทยา

-หน่วยโภชนาการ

นอกจากนี้ ยังมีการไปดูงานที่เราเลือกไปดูที่โรงพยาบาลต่างๆกัน เพื่อไปเก็บเกี่ยวความรู้และรู้ลักษณะการฝึกฝนของเพื่อนๆสถาบันอื่น เช่น

-หน่วยโรคระบบทางเดินอาหารที่จุฬาฯ

-หน่วยโรคติดเชื้อที่รามาฯ,(และโรคระบบประสาท)

-พัฒนาการเด็กที่โรงพยาบาลเด็ก

หน่วยโรคต่างๆที่ฉันเคยรับผิดชอบประกอบด้วย  

-หน่วยโรคเลือดและมะเร็ง

-หน่วยโรคหัวใจ

-หน่วยโรคติดเชื้อ

 หน่วยโรคผิวหนัง

-

-หน่วยโรคทางเดินหายใจ

-หน่วยทารกแรกเกิด

-หน่วยโรคระบบต่อมไร้ท่อและสารพิษ

-หน่วยโรคพันธุกรรม

-หน่วยจิตเวช

-หน่วยโรคระบบทางเดินอาหาร

-หน่วยประสาทวิทยา

-หน่วยโภชนาการ

นอกจากนี้ ยังมีการไปดูงานที่เราเลือกไปดูที่โรงพยาบาลต่างๆกัน เพื่อไปเก็บเกี่ยวความรู้และรู้ลักษณะการฝึกฝนของเพื่อนๆสถาบันอื่น เช่น

-หน่วยโรคระบบทางเดินอาหารที่จุฬาฯ

-หน่วยโรคติดเชื้อที่รามาฯ,(และโรคระบบประสาท)

-พัฒนาการเด็กที่โรงพยาบาลเด็ก

เรายังได้ไปเพิ่มพูนความรู้ ตามโรงพยาบาลต่างๆ เช่น

-โรงพยาบาลตำรวจ

-โรงพยาบาลยุวประสาท

 

    เมื่อมีการประชุมสัมมนาที่เกี่ยวกับเรื่องวิชาการกุมารแพทย์ เราก็จะเดินสายไปประชุมด้วย โดยเฉพาะเมื่อใกล้จะ
สอบบอร์ดเป็นช่วงที่ชอบมากเหมือนกันเพราะได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้างเนื่องจากการประชุมวิชาการมักจัดตามโรงแรม
หรูๆ
สรุปได้ว่าในด้านการฝึกอบรมแล้วเราได้รับการเตรียมตัวเป็นกุมารแพทย์อย่างเต็มที่จนเหลือเฟือและได้ประสบการณ์
ในการทำงานและฝึกฝนพัฒนาความสามารถด้วยอย่างมากมาย

 

    เป็นการยากที่จะกล่าวถึงเขาและความรักในครั้งนั้น อาจจะเป็นเพราะเวลาเหล่านั้นล่วงเลยมานานหลายปี และเป็นเพราะ
ฉันจงใจลืมให้หมดสิ้นตั้งแต่ปี2536เป็นต้นมาและชีวิตต่อมาของฉันชุลมุนวุ่นวายอย่างสาหัสแต่เมื่อถึงคราวที่ต้องจรดปากกา
ลงบนบันทึกความทรงจำนี้ความหลังก็เริ่มทยอยเข้ามาเรื่อยๆจนราวกับว่าเหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เองเมื่อฉัน
เข้ามาเป็นแพทย์ประจำบ้านปี 1 เขาเป็นแพทย์ประจำบ้านปี 2 และต่อมาก็เป็น 1ใน3ของ หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านปี 3 
หรือเราเรียกว่าCHIEF RESIDENTเขาเป็นคนเก่งในสายตาน้องๆและพูดจาดีมีความจริงใจเป็นตัวของตัวเองเขามีลักษณะ
รูปร่างเล็ก ,สันทัด ผิวขาวหน้าตาดีพอใช้มีการเคลื่อนไหวคล้ายนักเต้นรำคือคล่องแคล่วแต่ละมุนละไม…ดวงตามีประกายเจิดจ้า
สุกใส บ่งบอกถึงพลังสติปัญญาเขาละเอียดละออมีสายตาที่คมไวสมกับเป็นกุมารแพทย์เสียงของเขานุ่มนวลเหมือนเสียงเบส
ผิดกับรูปร่าง  และส่วนของเสียงนี่เองที่ทำให้โดดเด่นจนลบความด้อยด้านรูปร่างหน้าตาลงไป บางครั้งเขาสามารถทำตัวหล่อ
ได้ใกล้เคียงกับดาราฮ่องกงทีเดียว

 

    ขณะที่ฉันฝึกอบรมนั้นน้ำหนักประมาณ48-50ก.ก.จัดว่าหุ่นดีหน้าท้องแบนราบเอวคอดสะโพกผายและมีหน้าอกเต็มตึง
หน้าตาอ่อนโยนมีรอยยิ้มในดวงหน้าอยู่เสมอ…ซึ่งเป็นนิสัยจริงๆของฉันฉันไม่เคยกราดเกรี้ยวด้วยเรื่องใดๆและแทบจะไม่เคย
บ่นเลย…ฉันจะทำงานไปเรื่อยๆ พยายามทำทุกอย่างที่ถูกกำหนดไว้ ฉันเป็นคนเรียบร้อย มีมารยาทดีมากกับทุกคน
(ในสมัยนั้น)..ไม่ใคร่มีคนเกรงกลัวฉันนัก ทั้งเพื่อนร่วมงาน รุ่นน้องและเพื่อนๆ แต่ถ้ามีปัญหาอัดอั้นตันใจ ทะเลาะกับใคร
เขามักจะพูดคุยให้ฉันฟังเสมอ ซึ่งฉันก็ช่วยเหลือให้กำลังใจพวกเขาเป็นประจำ……แม้แต่อาจารย์ก็ดูจะเมตตาฉันมากทีเดียว
ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆฉันก็ไม่เคยถูกดุโดยเฉพาะการระบายอารมณ์โกรธหรือหงุดหงิดนั้นฉันไม่เคยได้รับเลย
แต่อาจารย์ที่ศิริราชจะอบรมสั่งสอนเราอย่างครูบาอาจารย์สมัยเก่า ฉันแทบจะคิดว่าท่านคือเทพอาจารยด้วยซ้ำไป
เพราะมีบารมีและความผ่องใสอันประมาณมิได้ทั้งจากบุคลิกภาพและในจิตใจ ฉันไม่เคยคิดจะไปเรียนที่อื่นเลย นอกจากที่นี่
เท่านั้นท่านได้สอนเรามากมายเกี่ยวกับจริยธรรมโดยเฉพาะกับเด็กและครอบครัวตลอดจนถ่ายทอดให้เราเข้าใจ
ความรู้สึกของความเป็นพ่อแม่ของผู้ป่วยให้เราได้รู้… แม้ว่าพวกเราบางคนจะไม่ผ่านการแต่งงานหรือเคยมีบุตรเลย
เช่นตัวฉันเองเป็นต้น…ฉันให้ความคารวะและนอบน้อมกับอาจารย์ทุกท่านเป็นอย่างยิ่งมาโดยตลอดแต่ก็ไม่เคยใกล้ชิด
ท่านอาจารย์มากไปกว่านั้น ในช่วงที่ฝึกอบรมอยู่ปัญหาประจำวันของฉันนอกจากความเครียดในการทำงานและความหงุดหงิด
เล็กน้อยกับการที่ไม่ค่อยรู้อะไรมากนักเท่านั้นที่รบกวนฉันในระยะแรกๆ ...แต่ก็ทำให้ไม่มีความสุขเลย... ฉันไม่รู้ว่าทำไมในสมองของฉันจึงมีแต่คลื่นเยือกเย็นคล้ายสายน้ำไหลเอื่อยๆชวนหลับอยู่เป็น
ประจำ แต่ก็มีความสุขชุ่มชื่นในสมองเช่นนั้นอยู่เกือบตลอดเวลา เสียแต่ทำให้ฉันไม่แอ็คทีฟเท่าที่ควร แปลกจริงๆ



     การเรียนไม่ทันและไม่เก่งพอทำให้ฉันตกอยู่ในความหวาดหวั่นและวิตกกังวล ราวกับกลับไปอยู่ ปี 1 ใหม่ คราวที่ฉันติด F
วิชาฟิสิกส์ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นและการพรากจากเพื่อนชายทำให้ ฉันมักจะBREAK DOWNหรือเป็นโรคทางจิตเวช
เสียทุกครั้งไป เช่นครั้งที่ฉันอยู่ปี4 ฉันต้องพรากจากเพื่อนชายที่เป็นPartner labด้วย และต้องวิตกกังวลกับการขึ้นWard
ด้วย ฉันจึงมีอาการกระวนกระวาย ไร้ความสุขมาก จนต้องกินยาคลายเศร้าในครั้งนั้น..ฉันไม่ทราบว่า ประวัติศาสตร์นั้น
มักจะซ้ำรอยอยู่เสมอ ราวกับวัฏฏะในวงเวียนกรรมฉะนั้น...การที่ฉันเรียนได้ไม่ดีนักในด้านหนังสือ แต่ก็ทำงานได้ดี สาเหตุมาจากความกังวล ตอนนั้นฉันไม่ได้ใฝ่ใจปฏิบัติธรรมะเลย จึงขาดภูมิคุ้มกัน ตกอยู่ในความเครียดตลอดเวลา


    ฉันเริ่มแต่งตัวสวยด้วยสไตล์ที่คิดว่าจะเน้นความเป็นหญิงที่แท้จริงฉันซื้อผ้าเนื้อนิ่มพลิ้วสีหวานๆเช่นฟ้าครีม,โอโรสและผ้าดอก
ลายหวานมาให้ช่างตัดเสื้อที่ท่าพระจันทร์ออกแบบให้…และฉันใช้บริการบ่อยจนเขาเข้าใจรสนิยมของฉันดีฉันตัดกระโปรงทรงกลม
สวมทำให้ดูเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานมากขึ้น,บุคลิกของฉันในช่วงนั้นจึงออกไปทางอ่อนหวานและเรียบร้อยฉันระมัดระวังให้ตนเองดู
มีรสนิยมด้วยเครื่องหนังราคาสูงพอสมควรและใส่นาฬิกาข้อมือไซโก้,สวมรองเท้าส้นสูงNaturizer สะพายกระเป๋าใบเล็กของ
Marwell และบางครั้งก็ใส่เสื้อแบรนด์เนม ซึ่งฉันคิดว่าเป็นระดับปกติธรรมดาที่ควรทำ ไม่มากเกินไป เมื่อเทียบกับสมัยนี้แล้ว
ฉันออกจะใจหายในความไม่เอาใจใส่ตัวเองจนเพื่อนรุ่นพี่ต้องมาอบรมกันใหม่ไม่มีอะไรแน่นอนเสียจริง
บางครั้งฉันใส่กระโปรง
สอบแคบซึ่งทำให้ฉันเพรียวลมขึ้นและเน้นรูปร่างขึ้น แต่ในโรงพยาบาลศิริราชอาจจะคุ้นชินกับกระโปรงลายดอกสีหวานหลากสี
ที่ทำให้อาจารย์ผู้อำนวยการขณะนั้นค่อนข้างกลุ้มใจแต่ฉันก็ใส่กระโปรงดำและท่วงท่าศิริราชจริงๆที่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งไปรับ
อยู่เวรนอกเวลาให้ในเวลาต่อๆมาการเปลี่ยนแปลงบุคลิกของตนเองนี้เป็นไปโดยอัตโนมัติเพราะเดิมที่อยู่บ้านดุงฉันสวมกระโปรง
สั้นหลากสีกับเสื้อแพทย์,ดูเปรี้ยวพอควรทีเดียวแต่บัดนี้ฉันเริ่มใส่ความอ่อนหวานเข้าไปในชีวิตที่กลายเป็นรากฐานของความรัก
ครั้งเดียวที่ฉันเต็มเปี่ยมพร้อมความเป็นกุลสตรีที่สุด แม้จนบัดนี้ฉันยังอาลัยอาวรณความหวานชื่นครั้งนั้นอยู่มิวายแต่ก็ไม่สามารถ
นำมันกลับมาได้อีกแล้ว...

    เหตุการณ์ตอนเป็นแพทย์ประจำบ้าน ปีที่ 2 มีมากมาย ฉันเลือกมาเฉพาะเรื่องที่จำได้ดีและอยู่ในความทรงจำ…สำหรับเขา
เป็นแพทย์ประจำบ้านปีที่ 3 แล้ว และต้องเตรียมตัวสอบบอร์ด
ฉันจำได้ว่า ช่วงปี 2 นั้น เริ่มอัดอั้นตันใจกับความรู้ทางวิชาการ
เพราะตามเขาไม่ค่อยทัน ได้อาศัยความรู้จากการทำงานมาเป็นเครื่องช่วยเหลือ ฉันเริ่มฝันร้ายบ่อยๆ
อยากให้เขาติวให้
แต่เขาก็ไม่เคยสนใจฉันเป็นพิเศษคล้ายกับว่าไม่สำคัญนักและบอกฉันอยู่เสมอว่าไม่ตกหรอก ไม่ยากเกินไปหรอก เช่นนี้เสมอ
วันหนึ่งขณะอยู่เวรด้วยกันที่โรงพยาบาลเอกชนและนั่งเคียงข้างกันบนโซฟาเขากำลังหมุนปากกาเล่นเพลินๆฉันก็ขอร้องให้เขา
ติวให้…เรื่องเกี่ยวกับกลไกการเกิดโรคหัวใจในเด็กชนิดหนึ่ง…เขามองหน้าฉันสักครู่และประเมินจากดวงตาอ้อนวอนนั้นได้ว่า
ไม่ใช่มารยาหญิงแต่อย่างไร..เขาจึงอธิบายให้ฟังและวาดรูปประกอบให้ด้วย…อันที่จริงเขาก็สอนดีแต่ฉันไม่รู้เรื่องเองจึงต้อง
ยอมรับว่า…อ่านคนเดียวดีกว่า…เลิกขอให้เขาติวตั้งแต่นั้นมา…ทั้งๆที่ในความฝันนั้น ฉันวาดหวังไว้ว่า เมื่อเป็นแพทย์ประจำบ้านปีที่ 2
ก็คงจะมีเขาเป็นคู่รักแล้ว…และตั้งใจติวให้ฉันเป็นอย่างดี…เป็นแฟนตาซีชนิดเข้าข้างตัวเองอยู่มาก


   ฉันต้องบอกตามตรงโดยอาศัยข้อเท็จจริงเป็นหลักว่า เขาแสดงท่าทีสนใจฉันมากเมื่อเราอยู่กันตามลำพัง ประกยตาออดอ้อนราวกับจะเว้าวอนออดอ้อนทุกเวลาที่เราอยู่กันสองต่อสองน้ำสียงที่นุ่มหูเป็นพิเศษและมักทำทีคล้าย
จะเกาะกุมมือของฉันไว้เสมอ ทำให้ฉันถลำใจรักเขามากและคิดว่าเขาคงเป็นผู้ชายชนิดโรแมนติคเงียบๆ ดีที่เราไม่มีอะไร
เกินเลย ไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ซึ่งฉันก็ขอบคุณความรักนวลสงวนตัวของตัวเองมากและรู้สึกว่าตัวเองเสี่ยงมาก
ในการที่คบหากับเขาทำนองนั้น เพราะการอยู่ด้วยกันของเราจริงๆแล้วล่อแหลมทีเดียว...

   วันที่เขาบอกตัดความสัมพันธ์และบอกว่าเขาไม่เคยรับรู้เลยในสิ่งที่ฉันให้เขาทั้งความรักและความผูกพัน และเขาบอก
เพียงแค่ว่า คบฉันเป็นน้องเท่านั้น ราวกับรู้ว่าฉันคิดอย่างไรกับเขาฉันรู้สึกเหมือนหัวอกหมองไหม้นัก พยายามข่มความเจ็บปวด
เพราะฉันเคยตั้งใจว่า สำหรับผู้ชายคนนี้ ถึงอย่างไรฉันก็จะรัก ไม่ว่าเขาจะรักตอบหรือไม่ก็ตาม ฉันเต็มใจเอง เลือกเขาเอง
ฉันไม่มีสายตามองคนอื่นอีก เขาทำให้ฉันมีความสุขมาก แม้ว่าเขาจะไม่ตอบสนองใดๆชัดเจน ฉันเพียงแต่อยากจะให้
เขารู้ว่า มีฉันที่รักและเห็นใจเขา ปรารถนาดีต่อเขาเสมอ ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในการแข่งขันกับความหวัง
ครั้งสุดท้ายนี้ ฉันยอมรับเช่นกันว่า ทำทุกอย่างเพื่อที่จะบรรลุถึงการได้แต่งงาน เพราะฉันคิดว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว
เหมือนเพลงOne moment in time แต่เมื่อเขาไม่ยอมรับแม้ความรักและความผูกพันเป็นพิเศษ มันราวกับว่า
ทุกสิ่งที่ฉันเพียรพยายามมาเพื่อความรักครั้งสุดท้ายนี้มันล้มเหลวหมดสิ้น…ฉันคิดว่า…เขากำลังโกหก…แต่จะทำอย่างไรดีหนอ
เขาไม่รู้เลยว่าฉันทุ่มเทเพียงใด ถึงขนาดที่เขียนบันทึกวางแผนการอย่างละเอียด หลังจากที่รู้ว่าต้องการอะไรที่สุด
เพื่อที่จะทำให้เขสนใจแต่ในใจลึกๆนั้นฉันรักเขาโดยปราศจากเงื่อนไขรักเพราะรักเท่านั้นเองเขาน่าจะเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุด
ในโลกด้วยซ้ำไป…ที่ฉันรักเขา…ทั้งๆที่ความจริงเขาก็ไม่แตกต่างกับคนอื่นจนจะกลายเป็นสิ่งสุดเอื้อมขนาดนี้…ที่สำคัญคือ…
ฉันคิดว่าเขาจะเป็นคนดีกว่านี้มากแต่แล้วฉันก็คิดได้ว่าฉันคาดหวังจากเขามากกว่าผู้ชายคนอื่นๆทุกคน  เมื่อนึกถึงเวลา
ที่สูญสิ้นไปกับความเพ้อฝันของตนเองฉันรู้สึกผิดต่อการเรียนและเสียดายเวลาเป็นที่สุดทั้งๆที่ฉันไม่สามารถทำอะไรกับ
การเรียนได้มากกว่านั้น ฉันไม่ยอมเสียความรับผิดชอบไปอย่างแน่นอน แต่ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดมาก แปลกที่วันแรกหรือใน
ขณะนั้นฉันควบคุมสติได้และพูดจากับเขาอย่างธรรมดาแบบผู้มีการศึกษาไม่มีความเจ็บปวดใดๆคงเพราะสังหรณ์อยู่แล้วว่า
มันต้องจบลงเช่นนี้ ฉันเพียงแต่มองดูเขาเสมือนจะอำลาและอยากรู้ว่าผู้หญิงที่เขาบอกว่าอยากจีบและจะแต่งงานด้วยคนนั้น
 จะสามารถรักเขาได้เท่ากับฉันหรือไม่หนอ
ฉันศึกษาและเข้าใจเขาทุกอย่างเพราะเขาเป็นความสุขเดียวของฉันในระหว่าง
การฝึกอบรมนั้น
ฉันเคยดูมิวสิควิดิโอเพลงหนึ่งที่นางเอกกับพระเอกเลิกกัน ภาพนางเอกบรรจงแกะริ้วกระดาษประดับเพดาน
ที่ตัดเป็นรูปคนนับพันๆหมื่นๆคนจนเรียงร้อยไว้รอบห้องนั้น บ่งถึงงานที่ทำอย่างตั้งใจและมานะพยายามอย่างยิ่ง เสมือนที่
ฉันทำงานหนักในการทำความเข้าใจและรู้จักเขาทุกมุมมองเหมือนได้รู้จักเขานับพันหมื่นคน  ทีท่าน้ำตาไหลพรากโดย
ปราศจากการโวยวาย เพียงแต่เก็บริ้วกระดาษออกไปทีละสายพร้อมกับมองดูพระเอกที่หลับไหลบนเตียงอย่างแสนเศร้านั้น ทำให้ฉันหลั่งน้ำตาออกมาเพราะเธอ…ฉันคิดว่าไม่ใช่เพียงแต่ฉันเท่านั้นที่มีความรู้สึกเช่นนี้มีคนอื่นๆที่อาจจะเหมือนกัน…
แต่กระนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาช่างถ่ายทอดความคิดความรู้สึกและอดีตรักของฉันออกมาได้อย่างตรงกับความรู้สึกในขณะนั้น
เป็นที่สุด  ฉันมาได้รับฟังเพลงอีกเพลงหนึ่งในภายหลังอีกนาน ชื่อเพลง ขอแค่ได้รู้ ของมาลีวัลย์ ฉันก็น้ำตาตกเช่นกัน

สุดท้าย…เรื่องเราจบลงทุกอย่าง

ไม่ขัดไม่ขวางในเมื่อเธอจะไป…

มีแค่เพียงสิ่งเดียว…ที่ยังติดค้างในใจ

อยากรู้เรื่องใครอีกคน…
                                                             

เขาห่วงใยใส่ใจเธอหรือเปล่า…

เมื่อยามเธอทุกข์ทน…อยากรู้เขาทำอย่างไร…

ทำให้เธออุ่นใจได้หรือเปล่า…

เมื่อยามเธอหนาวสั่น

บอกฉันสักคำก่อนไป…

เมื่อเธอล้ม…ไม่มีเรี่ยวแรงและกำลังใจ…

คนนั้น..อยู่เคียงข้างเธอหรือเปล่า…

ยามที่เธอเจ็บช้ำ…

เมื่อเธอเงียบเหงาซึมเซา….เขาอยู่ไหน….

หากว่าใครคนนั้น…                                                    

เป็นคนดีและรักเธอ..

อยู่กับเธอทำเพื่อเธอได้ทุกอย่าง…

และถ้าใครคนนั้น…ทำได้อย่างที่ฉันทำ

ฉันก็คงอุ่นใจ…ไม่ห่วงอีกแล้ว

และพร้อมจะลาไปอย่างเต็มใจ….

    

  การที่เราคบกันมาโดยที่ฉันรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้ใส่ใจฉันมากมายนักในระยะหลังๆที่เราอยู่ด้วยกันเขาเห็นฉันเป็นเพียงคน
ที่จะทำตามคำสั่งหรือคำขอร้องของเขาเสมอๆ….จนบางครั้งฉันคิดว่าเขาเอาความรักที่มีต่อเขาเป็นเครื่องช่วยในการทำงาน
ของเขาเท่านั้น…แต่กระนั้น ฉันก็ยังเต็มใจช่วยเหลือเขา อยากให้เขาทำงานอย่างมีความสุข และหายเหนื่อย มีคนดูแล
ฉันเคยน้อยใจและคิดจะเลิกรักเขา…แต่ในที่สุดวันหนึ่ง…ฉันก็คิดขึ้นมาว่า….ฉันจะรักเขาแม้ว่าเขาจะจางคลายไป
ฉันรักและให้เขาทุกอย่างจากหัวใจโดยไม่หวังสิ่งใดๆตอบแทนและไม่น้อยใจอีกต่อไปเพราะความรักเป็นเรื่องที่ดีงามทำให้
ฉันมีจิตใจที่ผ่องใสขึ้นมากและไม่คาดหวังสิ่งใดๆจากเขาอีกเลย…ความรักเช่นนี้ฉันนำมาจากหลายทัศนะของความรักที่
บรรยายไว้ในวรรณกรรมชั้นเยี่ยมทั้งหลาย รักที่จะไม่ทำให้มีความทุกข์จากการไม่รักตอบ เป็นเพียงความรักที่ดีที่สุดที่เคยมี
เป็นความรักที่เป็นอุดมคติ…แต่เมื่อได้รักแบบนี้แล้ว เราจะใจกว้างขึ้น ความเจ็บปวดจะลดลง…เป็นความปรารถนาดี
และคอยดูแลเขาเงียบๆ โดยไม่ปริปากใดๆ…หลังจากวันที่เขาบอกเลิกรา ฉันก็เข้าใจและยอมรับสิ่งที่เขาบอกอย่างเงียบๆ
บทเพลงที่แต่งขึ้นมาได้ตรงใจที่สุด ตรงกับสิ่งที่คิด และเป็นความสามารถของผู้ประพันธ์โดยแท้จริง คือ ศุ บุญเลี้ยง
ที่ถ่ายทอดความคิดความรู้สึกของเขาออกมาเป็นบทพลงที่แสนไพเราะเพลงนี้


           เต็มใจให้

ฉันรู้ควรรักเธออย่างไร

เพราะรู้ความจริงเป็นเช่นไร

ฉันรักรักเธอเพราะใจอยากให้

ใช่รักเพียงเพื่อครอบครอง

ไม่เคยร้องขอรักตอบ

ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใด

เพียงเธอรับรู้มีฉันคอยห่วงใย

สิ่งนั้นมันมากมายเกินพอ

ขอเพียงได้คิดถึง

แค่นี้ก็สุขใจ

แม้เธออยู่ไกลแสนไกล

แม้ใครอยู่ข้างเธอ

ฉันรู้ควรรักเธออย่างไร

จึงยอมเข้าใจทุกอย่าง

ไม่ช้ำม่เสียใจไม่เคยบาดหมาง

ทุกอย่างเต็มใจให้เธอ


                                                                        

    ในขณะที่เขาบอกว่าเขาจะจีบผู้หญิงอีกคนหนึ่งนั้นฉันเกิดความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนจะรักและเข้าใจเขา
ได้มากกว่าฉันอย่างแน่นอนฉันเป็นห่วงเขา กลัวเขาจะรักผู้หญิงคนนั้นมากกว่าที่เธอจะรักได้ และต้องมีชีวิตที่ไม่มีความสุข
เธอคงจะเสียสละให้เขาไม่ได้เท่าฉัน…และจากนิสัยที่ฉันสังเกตเขาเคยชินกับการได้รับความรักมากกว่า..ฉันกลัวว่าเขาจะ
เจ็บปวดถ้ามีความรักน้อยเกินไป..ทั้งการที่จะเข้าใจและยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็นนั้น…มันไม่ง่ายนัก..อาศัยความรักและ
ความเข้าใจอย่างมากจึงจะยอมรับเขาได้ทั้งแง่ดีและไม่ดี ฉันรู้จักเขา ศึกษาเขามานานอย่างละเอียด รักทุกอย่างที่เป็นเขา
ฉันจึงคิดในใจอยากจะถามเขาจริงๆว่า ผู้หญิงคนนั้นจะรักเขาเท่าฉันได้หรือ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เป็นคำถามชวนเศร้านัก
เพราะฉันรู้สึกปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุขที่แท้จริง แม้จะไม่ใช่กับฉัน ฉันคิดเช่นนั้นจริงๆ

 

    หลังจากวันนั้น…ฉันก็ก้มหน้าก้มตาเรียนหนังสือและดูแลคนไข้ แต่กระนั้น ยังไม่สามารถตัดใจจากเขาได้ ฉันนอนร้องไห้
ทุกคืน หันหน้าเข้าฝาสะอื้นเบาๆ ไม่มีเพื่อนคนไหนรู้เลยว่า ฉันรักเขาเพียงใด…ชีวิตช่วงนั้นของฉันดำเนินไปตามปกติเหมือน
เดิม ทั้งที่หัวใจของฉันสลายไปแล้วความหวังและความต้องการที่สุดในชีวิตที่ฉันเคยบันทึกไดอะรี่ไว้กลายเป็นความสูญสิ้น
ฉันมองรอบๆตัวอย่างเศร้าๆ..ไม่มีใครรู้เลยว่าฉันกำลังจะตายทั้งเป็น…ไม่มีเขาอีกต่อไปแล้ว…ชีวิตดูไร้ความหมาย..
ใครๆก็ไม่อาจแทนที่เขาได้…ฉันดำเนินชีวิตไปวันต่อวันอย่างเจ็บปวด พยายามสะกดกลั้นทุกอย่างไว้ภายใต้ท่าทีปกติ จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่ไปเรียนที่รามาธิบดีฉันรู้สึกความปวดร้าวอย่างยิ่งแล่นเข้าจับหัวใจฉันแทบล้มทั้งยืนและรู้ตัวทันทีว่า
ไปต่อไม่ไหวแล้ว…ฉันจึงขออนุญาตอาจารย์กลับมาศิริราชและขอเข้าพบอาจารย์จิตแพทย์ทันที

 

    ฉันเข้าพบอาจารย์จิตแพทยเพื่อบอกเล่าปัญหาและปรึกษาหารือฉันไม่พยายามเน้นเรื่องความรักแต่บอกอาจารย์ถึง
เรื่องความไม่พร้อมในการสอบบอร์ดและอยากจะลาออก ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดปกติ ราวกับเกิดจากความเครียดกังวล
อาจารย์ทราบเรื่องความรักและการสูญเสียของฉันเช่นกัน…แต่อาจารย์บอกว่าเป็นความรักฉันพี่น้อง แม้ฉันจะรู้ดี แต่ก็เฉยๆไว้
ฉันเคยคิดอยากให้อาจารย์นำตัวเขามาทำจิตวิเคราะห์บางทีส่วนลึกในจิตใจจริงๆอาจจะรักฉันก็ได้ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันคงจะสมหวัง
แต่นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ฉันนึกออกในการจะเหนี่ยวรั้งเขาไว้..หลังจากไปพบอาจารย์ไม่นานนักฉันก็ทำใจยอมรับความผิดหวัง
จากการอกหักได้มากขึ้น ฉันพยายามจะลืมให้ได้ และบอกอาจารย์ในที่สุดว่า ฉันเข้าใจผิด จริงๆฉันรักเขาแบบพี่ชายเท่านั้น
อาจารย์ดูจะยินดีที่ฉันคิดได้ ช่วงเวลานั้นฉันทรุดโทรมมาก ใกล้บ้าทีเดียว จนใครๆคิดว่าฉันคงจะลุกไม่ขึ้น ไม่น่าเชื่อเลย
แต่ในที่สุดฉันก็กัดฟันยืนขึ้นอีกครั้ง และสลัดความรักทิ้งไป ราวกับมันไม่มีความหมายใดๆอีก มีแต่ตัวฉันเท่านั้น
ที่รู้ว่า…ความรักที่มีค่าของฉัน ถูกโยนทิ้งไปเพื่ออนาคต..ฉันตัดอาลัยได้ แต่หม่นเศร้าอยู่ลึกๆ ฉันเสียดายความงามของมัน
แต่ในที่สุดก็ต้องทิ้งมันไป…..แม้ในเวลานี้ เพลง..ทิ้งรักลงแม่น้ำ เป็นเพลงร็อคที่ฉันร้องได้ดีที่สุด ในช่วงเวลาต่อมาอีกนาน
และฉันคิดว่าความเศร้านั้นแฝงเร้นอยู่ในทุกคำพูดของบทเพลงทีเดียว



  ฉันได้เป็นคนไข้จิตเวชอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับฉันแล้วที่จะเลือกอาจารย์จิตแพทย์เป็นที่ปรึกษา
แม้จะไม่มีอาการหนักหนาถึงขั้นจะเป็นคนไข้ก็ตามจากความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีทุกข์นั้น เมื่อพบความจริงบางอย่าง
ของความรักฉันก็เพิ่งจะรู้ว่ามันไม่จริงเสมอไปต้องใช้ระยะเวลาไม่น้อยเช่นกันในการรับมือกับความเศร้าโศกตามธรรมชาติ
ของมนุษย์
  

  ฉันถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคAdjustment  disorder  หรือการตัดสินใจผิดปกติ  อีกแล้วที่การเรียนการสอบกับการพรากจาก
ความรักมาเป็นจุดแตกหักของฉัน...ฉันรู้สึกมีปมด้อยอย่างมาก กับการผิดปกติเหล่านี้ แทบจะไม่อยากมองหน้าใคร เพราะในที่สุด
ทุกคนในศิริราชก็รู้เรื่องของฉัน มันน่าละอายจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไร

 

 

เพราะรักแล้วช้ำ…รักมันทำลาย…

ทำลายจิตใจ…ให้เราเป็นบ้า…

เพราะรักแล้วเสีย…เสียทั้งน้ำตา..

ที่เราไม่เคยเสียให้ใคร….

เก็บความรักที่พ่ายแพ้…เพราะคนคนหนึ่ง..

ทิ้งความเจ็บช้ำที่เกาะกินหัวใจ…

ทิ้งลงแม่น้ำ…แล้วลืมทุกอย่าง….

นั่งมองดูความรักลอยไป…

ปล่อยให้ไหลไป…

ให้ลอยลงสู่ทะเลให้หายไป

ให้มันอย่าคืนย้อนมา

ทิ้งไป…เพราะรักนั้นทำกับเราให้เสียใจ….

ให้ลอยไปไกล…ให้ไปไกลๆ…

ไม่มีอะไรต้องเหลือ….ทิ้งแล้วทุกอย่าง…

รู้แล้วครั้งนี้…รักเป็นตัวการ…

ทำคนเบิกบาน…ให้กลายเป็นเศร้า…

ขืนรักแล้วหลง..ให้มันมอมเมา…

ก็โดนมันแผดเผา…เจียนตาย…

 

    แต่ในความเสียใจอย่างสุดซึ้งนั้นนั้น ฉันยังคงอนาทรเขาอย่างสม่ำเสมอ ด้วยหัวใจรัก แม้เขาจะเลือกใครฉันก็ยังคง
รักเขา เหมือนพี่ชายคนหนึ่ง เพราะฉันไม่มีสิทธิ์รักเขาแบบอื่น ฉันพยายามหายอย่างรวดเร็ว ภายในเวลา สามเดือน ช่วงนี้
ฉันได้รับกำลังใจจากเพื่อนฝูงและท่านอาจารย์ประจำภาควิชา ฉันจำได้ว่า เมื่อฉันอยู่หน่วยโรคระบบทางเดินอาหาร
ฉันต้องอ่านบทความทางการแพทย์ที่แปลจากภาษาอังกฤษให้อาจารย์ฟัง ฉันอาการหนักจนอ่านไปร้องไห้ไป แต่ก็ทำไปจนจบ
อาจารย์ไม่ว่าอะไรเลยและไม่ถามด้วย เพียงแต่ฟังสิ่งที่ฉันอ่านให้ฟังและชี้แจงแนะนำเกี่ยวกับการเรียนเท่านั้น...
ถึงจะเจ็บปวดและถูกวินิจฉัยอย่างไรก็ตาม ความทรนงทำให้ฉันต้องยืนหยัดต่อไป และต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
นี่เป็นความหลังที่ฉันหวนคิดถึงความซื่อสัตย์ของตัวเอง…วันคืนเหล่านั้นยังฝังใจจดจำ…และทำให้ฉันรู้ว่า การฝันไปเพียง-
ข้างเดียวนั้น มันแสนจะปวดร้าวที่สุด...ฉันต้องกินยาคลายเครียดอีกครั้งและเป็นคนไข้ของอาจารย์อยู่ชั่วระยะหนึ่ง
ฉันคิดว่าตนเองมีมลทินเสมือนแก้วที่แตกร้าวไปแล้ว สิ่งดีงามที่เกิดขึ้นในชีวิตตอนนั้น ทำให้ฉันรักเพื่อนและอาจารย์มากที่สุด
และพยายามในการเรียนจนสาหัส เพื่อไม่ให้ทุกคนผิดหวัง รวมทั้งไม่ให้เสียชื่อสถาบัน ฉันจึงต้องทำงานหนักมากขึ้น
 ภายใต้ความกดดันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ...ตามวันเวลาที่ผ่านไป...

 

ณ บัดนี้ ความรักอ่อนหวานที่เคยเกิดขึ้นในครั้งนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีกเลย เพราะฉันเข็ดกับมันมาก…..เมื่อมีเหตุทุกข์เกิดขึ้นไม่ว่ากรณีใดๆ เมื่อฉันย้อนระลึกถึงวันเวลาในอดีตกับความรักครั้งนั้นของฉัน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นดูเล็กน้อยและไร้สาระไปทันที เป็นข้อดีที่ทำให้ฉันดำรงชีวิตปัจจุบันอยู่ได้อย่างมีความสุข แม้จะไม่มีความรักมาช่วยเหลืออีกต่อไป


ฉันเคยร่ำร้องเรียกหาธรรมะที่จะมาช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำ ให้หายขาดจากความเศร้าอย่างฉับพลันเมื่อหยั่งรู้และเข้าใจในสัจธรรม
ดังที่เคยเป็นมา แต่ฉันอ่านไม่เจอเลย ฉันไปที่
วัดระฆังบ่อยครั้งเพื่อไป
ถวายสังฆทานให้จิตใจสดชื่นอิ่มเอิบขึ้น บางครั้งก็ไปนั่งอยู่ที่บันไดโบสถ์ดูเด็กๆเล่นฟุตบอลกันบ้าง
หรือสังเกตครอบครัวที่มาวัดด้วยกันปฏิบัติศาสนกิจร่วมกัน เป็นภาพชีวิตที่ทำให้ฉันหายเหงาและคลายเครียดขึ้นมาได้บ้าง ฉันไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีงาม
เพื่อน้อมนำจิตใจไปในทางที่มีสุข น้องสาวน้องชายมาเยี่ยมก็พากันไปพุทธมณฑล
และฉันได้อธิษฐานขอให้ตนเองมีความสุขและสามารถรับผิดชอบการงานได้เป็นอย่างดี
เพียงเท่านั้นที่ฉันขอไว้ แต่ก็ทำให้เกิดกำลังใจมากขึ้น การปฏิบัติจิตเป็นไปตามธรรมชาติ
เพื่ให้ตนพ้นทุกข์เท่านั้น ฉันอ่านหนังสือธรรมะอยู่เหมือนกัน จริงๆถ้าฉันเข้าใจซาบซึ้งกับธรรมะมากกว่านี้ ฉันคงไม่ต้องไปพบกับจิตแพทย์ ซึ่งทำให้เราต้องรักษากันแต่ทางวิทยาศาสตร์อยู่ร่ำไป  แต่ฉันเป็นแพทย์ จึงแก้ปัญหาตามที่ตนเองคุ้นเคย ทำให้ถูกวินิจฉัยเช่นนั้น
ทั้งที่ไม่มีอาการใดๆปรากออกมาให้เห็นภายนอกเลย การไปวัดและทำบุญอ่านธรรมะทำให้ฉันรู้สึกถึงความอิ่มเอิบใจและความเศร้าหลุดหายไป
จนจำเรื่องนั้นไม่ได้ เป็นผลดีเช่นกัน

 

 

 

ในฝัน

       หลังจากช่วงนั้น ก็เป็นปีใหม่พอดี ฉันยังรวดร้าวอยู่ราวกับมีบาดแผลอยู่ในใจ แต่ก็ทำงานได้เป็นปกติ
ฉันได้พบหน้าน้องสาวน้องชายและไปที่พุทธมณฑลกัน ไปไหว้พระ ฉันอธิษฐานขอให้มีความสุข และหายป่วย
หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มสบายขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเบื่อๆอยู่บ้างก็ตาม



     เมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งเริ่มมีความตึงเครียดจากการติวมากขึ้นเรื่อยๆ(ฉันสอบเดือนมิถุนายน) ฉันเริ่มมีความรู้สึก
ที่ผิดแผกไป ฉันเห็นผู้คนเข้ามาในศิริราชมากมาย และเดินผ่านไปผ่านมา อาจารย์ทำท่าคล้ายจะรู้จักฉันเป็นอย่างดี
ทุกคน ทุกภาควิชาในศิริราช ทำเอาฉันเกร็งเหมือนกัน และยิ่งรู้สึกว่า การสอบครั้งนี้ฉันจะพลาดไม่ได้ เพราะถ้าฉันสอบตก
ชื่อเสียงคงยับเยินแน่นอน...ที่แปลกคือ บุคคลต่างๆที่มากขึ้นนี้ มีความสนใจฉันอย่างเปิดเผย รู้จักฉันแม้จะเป็นคนแปลกหน้า
 าวกับเขาเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงฉัน ทำให้ฉันย้อนกลับเป็นเด็กใหม่ ฉันรู้สึกราวกับว่าถูกจับตามองตลอดเวลาจากคน
จำนวนมาก ราวกับชื่อเสียงโด่งดังในสาธารณชน เหมือนกับไปลงหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมา และอาการก็หนักขึ้นเรื่อยๆ
 จนถึงขั้นรำคาญ ที่มีคนมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตฉันขนาดนั้น ฉันคิดว่าถูกจับตามองด้วยกล้องวิดิโอหรือแอบถ่ายรูปฉันไว้ทุก
อิริยาบถ จนฉันถึงกับเอาผ้าเช็ดตัวไปบังประตูมุ้งลวดไว้ ทำให้รูมเมทแปลกใจมาก อาการฉันคล้ายโรคหวาดระแวงทีเดียว



     ฉันได้เล่าให้เพื่อนคนหนึ่งฟังว่า
  ฉันถูกละเมิดสิทธิสภาพส่วนบุคคลมากเลยและไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกับฉัน ในจำนวนคนมากมายนั้น
ได้มาทำให้เกิดบรรยากาศย้อนยุคมาตั้งแต่ฉันยังเล็กอยู่จนโตเป็นสาว แม้ว่าเขาอาจจะหวังดี
และฉันเกิดเป็นคนดังขึ้นมา เพราะความเป็นคนดีของฉันก็ตาม ฉันก็ไม่ชอบใจอยู่ดี เพราะเขามาดอยู่จนฉันต้อง
หลบเข้าห้องน้ำ แม้ว่าอีกใจหนึ่งจะตื่นเต้นที่อยู่ๆก็ดังถึงขนาดนั้น แต่ก็ไม่พอใจนัก ฉันยังไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น 


  เรื่องนี้เล่าให้รับรู้จริงๆอย่างที่เกิดขึ้นจริงๆได้ยากมาก เพราะมักจะลงเอยที่ฉันเป็นโรคจิตเสียร่ำไป ฉันยืนยันได้ว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกมนุษย์ใบนี้ เป็นปรากฏการณ์ที่ปรากฏให้ทราบทั้งทางตาเนื้อหรือกายหยาบและที่ปรากฏต่อจิตใจ
โดยมีการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมและสื่อต่างๆเช่นร่วมกันด้วย 


  ฉันไม่เคยเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ใครทราบอย่างละเอียด เพราะยากจะอธิบาย ทางที่ง่ายกว่า
คือการยอมรับการวินิจฉัยโรคทางจิตอย่างเปิดเผย และบอกว่าทุกสิ่งเป็นอาการที่มาจากโรค และไม่คิดว่าเป็นความจริง
เพราะการอธิบายให้ได้ความอย่างที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้นั้นลำบาก ฉันต้องใช้เวลาหลายปีศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้
กว่าจะพบคำที่สามารถอธิบายได้แม้ว่าคำอธิบายนั้นจะแปลกประหลาดอยู่มากก็ตาม ลองคิดดูว่า
สภาวะแปลกประหลาดที่ดำเนินไปพร้อมๆกับชีวิตปกติสามัญของฉันนั้น จะทำให้ฉันประสบกับความยุ่งยากมากมายอย่างไรบ้าง
ฉันเริ่มต้นจากไม่รู้อะไรเลย และได้แต่เดาเอาเรื่อยๆไปเช่นนั้นเองจนกระทั่งได้รับรู้ทุกอย่างเท่าที่จะเป็นไปได้จาก
ผู้ที่มาเกี่ยวข้องในชีวิตของฉัน ถ้าเป็นหนังฝรั่งและฉันถูกบงการโดยองค์การตำรวจลับหรือมาเฟียที่ไหนสักแห่ง
ยังดูน่าจะเป็นไปได้มากกว่ากรณีที่เกิดขึ้นกับฉัน นี่เป็นความจริงค่ะ

 


  ฉันขมขื่นไม่น้อยกับการที่ต้องถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตมาจนบัดนี้
ทำให้ฉันมักจะใช้โอกาสทางจิตเวชเป็นทางออกอย่างประชดประชัน เมื่อฉันเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา
โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ไหนๆก็ไหนๆ อยากให้ฉันเป็นคนไข้นัก ฉันก็จะเป็นให้ดู
ซึ่งนิสัยไม่ดีเท่าไหร่ แต่เป็นทางออกที่เป็นการให้ค่าชดเชยของฉันในการที่ต้องทำงานยากๆเหล่านี้
จนฉันคิดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ฉวยโอกาสจากการเป็นโรคจิตที่รู้กันดี มาทำให้ชีวิตของฉันต้องเป็นไปเช่นนี้
บางครั้งฉันโกรธมากจริงๆ ฉันโดดเดี่ยวมากในบางครั้งราวกับอยู่เพียงลำพังคนเดียวในโลก 
เป็นตัวประหลาดที่ไม่สามารถพูดเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองได้ รู้สึกซึมเศร้าปวดร้าวจนอยากจะตายก็มี ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย

 

 

  ฉันขอเล่าทั้งหมดที่ประจักษ์มาว่าฉันเห็นอะไรมาบ้างและต้องทำอะไรบ้าง ดังต่อไปนี้นะคะ

 

  เริ่มต้นจาก ฉันเห็นผู้คนมากมายที่มารวมกันอยู่ที่ศิริราช คนเยอะมากจริงๆ และเริ่มรู้สึกว่า ทุกๆคนมาเพื่อฉัน
เขามาทำให้ฉันเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง เป็นการให้โอกาสฉัน ตอนนั้นฉันยังไม่ทราบว่า
คนจำนวนมากมายนั้นมาจากภพอื่นหรือมาจากสวรรค์ เรื่องนี้อยู่นอกเหนือความคิดของฉันในขณะนั้น เพราะฉันก็เหมือน
คนอื่นๆที่ย่อมไม่เคยรู้ว่าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วย ฉันไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงเลือกให้โอกาสฉัน (ท่านว่า มาเอง ไม่ใช่การเลือก)
คิดเอาเองว่าคงจะเป็นเพราะฉันเป็นคนดีหรือเป็นอัจฉริยะอะไรสักอย่างกระมัง เป็นความคิดเด็กๆที่อิงแนวทางที่เคยรู้มา
โดยเคยเห็นรายการฝันที่เป็นจริงเลยคิดว่าอาจจะเป็นเช่นนั้น


  คนจำนวนมากนี้ มีบางส่วนเป็นนักแสดงที่ฉันได้เห็นในโทรทัศน์ ซึ่งความสามารถในการแปลงของเทวดาเป็นเรื่อง
ธรรมดาในปัจจุบัน แต่ตอนนั้นฉันก็คิดว่าเขาเป็นมนุษย์จริงๆ แปลกที่ไปเกณฑ์มาจากไหน ทำไมมากมายเช่นนี้
(ฉันเพิ่งมาทราบภายหลังว่า มีดวงวิญญาณมากมายนักในปรภพ เทพหรือโอปปาติกะก็มากมายเรือนหมื่นเรือนแสน )
ฉันแอบคิดเล่นๆว่าอาจจะมาจากแฟนคลับแห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งอยากให้คนไทยที่มีวัยรุ่นอยู่ด้วยไม่น้อยมาบำเพ็ญกุศล
คือช่วยเหลือให้ฉันมีชีวิตที่ดีขึ้นและสมปรารถนา เพราะโปรแกรมการฝึกฝนของฉันนั้น เหมือนการฝึกให้เป็นเด็กดีเชียวล่ะค่ะ
น่าจะเป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรมกันด้วย ช่วงที่มีเหตุการณ์ที่ฉันเป็นตัวเอกนั้น ตึงเครียดมาก แต่ก็พยายามวางเฉย ไม่พูด
อยากจะให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ สมกับที่มวลมนุษยชาติให้โอกาสฉัน คิดเช่นนั้นจริงๆ  (ก็น่ารักดีนะคะ)
 เรื่องคนมากมายนี้เป็นที่สังเกตของเพื่อนร่วมห้องของฉันเช่นกัน ฉันถึงกับคิดว่าฉันอาจจะถูกสอนให้เป็นดาราโดยท่านมุ้ย
วันต่อมาท่านมุ้ยก็มาปรากฏตัวในรถยนตร์คันหนึ่งจริงๆ ฉันก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสีย แต่ตื่นเต้น(จริงๆเทพท่านแปลงมา)
การที่ท่านเข้ามาในเหตุการณ์ช่วงนั้น เป็นการชุมนุมเทพครั้งใหญ่กระมัง ร่วมมือกันในโลกนี้เพื่อจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่บางอย่าง
ที่ฉันไม่รู้ความจริงมาจนบัดนี้ว่าคืออะไร
และมาทำให้ชีวิตของเราทั้งหมดมีการเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างหลายด้าน
ภายใต้ปาฏิหารย์นั้น(ทุกๆคนที่อยู่ใกล้ชิดฉันล้วนรู้ทั้งนั้น) แต่สำหรับคนส่วนใหญ่เป้นลิขิตชะตาเดิมของเขา เขาไม่ได้เป็นอย่างฉัน
ฉันเท่านั้นที่ต้องเลือกหลายสิ่งเหลือเกิน



  บางครั้งฉันรู้สึกกดดันมาก และคาดว่าเขาคงมีกล้องหรือทีวีวงจรปิดซ่อนเอาไว้เพื่อจับภาพฉันที่ในหอพักและในห้องนอน
วันนั้นเวลาประมาณเที่ยงคืนที่ฉันเดินอาดๆไปที่ตึกอำนวยการเพื่อสืบหาว่า ใครมายุ่งกับฉัน พร้อมจะอาละวาดเต็มที่
แต่ตึกก็ปิดเงียบสงัด ฉันจึงเปลี่ยนใจไปเซเว่นอีลีเว่นหน้าโรงพยาบาลเพื่อหาอะไรกินคลายเครียด
ฉันแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นชายหนุ่มและชายวัยกลางคนต้นๆเดินไปมาในร้านเต็มไปหมด ราวกับมาให้การดูแลฉัน
ฉันคิดเอาเองว่าเป็นคนที่อาศัยอยู่แถวนั้นซึ่งดูฉันในโทรทัศน์วงจรปิด เห็นอาการเครียดของฉันแล้วจึงออกมาดูแล
ตอนนั้นไม่ใช่เวลาที่ควรจะมีคนมากถึงเพียงนั้น ต่อมาฉันจึงทราบว่าเป็นท่านเทพทั้งนั้นค่ะ ท่านดูแลฉันอยู่ตลอดเวลาจริงๆด้วย
นี่ตอบจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลาเกือบสิบปี เมื่อรู้แล้วระลึกย้อนไปจึงได้คำตอบในหลายเรื่อง


  ฉันได้ฝึกฝนจากเริ่มต้นชีวิตในวัยเด็กๆเชียวค่ะ ฉันสื่อสารโดยท่านมักจะมาดลจิตให้ฉันทำสิ่งต่างๆในแต่ละวัน ฉันจำได้ว่า
เรียนหนังสือจากโทรทัศน์และเห็นหญิงชายวัยรุ่นที่สวยงามมีเสน่ห์มากในรายการหนึ่งราวกับเป็นโมเดลของความรักแรกรุ่น
ที่ไม่น่าเกลียดเลย ฉันวุ่นวายมากกับความรักในยุคนั้น โดยเฉพาะกับเพื่อนชายคนแรกที่ขณะนั้นเรียนสูตินรีเวชอยู่ที่รามาธิบดี
เมื่อฉันกดดันมากก็ส่งจดหมายทางอากาศให้เขา และยึดเขาเป็นที่พึ่งที่ระลึกเพราะไม่รู้เรื่องอะไรเลย มีเขาเป็นเพื่อนที่ฉันไว้
้วางใจว่า จะไม่ทำร้ายฉันและคอยเป็นห่วงฉันอยู่ตลอดเวลา เพราะความคิดเช่นนั้นฉันจึงผ่านช่วงวิกฤติเหล่านั้นมาได้
ดีที่ฉันมีความรู้สึกที่ดีมากกว่า เพราะเชื่อว่าขากำลังช่วยเหลือฝึกสอนให้ฉันอยู่ ทำให้อารมณ์ของฉันเป็นปกติ
มองจากภายนอกจะไม่รู้เลยว่าฉันเป็นอะไรอยู่ภายใน ต้องอาศัยสติที่มั่นคงมาก ที่แทบไม่น่าเชื่อว่าฉันจะทำได้เอง

 

   และในที่สุดเหตุการณ์เหล่านั้นก็ผ่านไป มันเกิดขึ้นช่วงเวลาสั้นๆเพียง2เดือนคือมีนาคมและเมษายน 2536 
ฉันไปหาอาจารย์จิตเวชอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อคิดว่าอาจจะเป็นโรคจิต (โดยมีสติสัมปชัญญะดี)ท่านจึงว่าเป็นจากความเครียดที่จะ
สอบบอร์ด ไม่ใช่โรคจิต เป็นเพียงอาการทางจิตชนิดหนึ่งและให้ยามารับประทาน พร้อมทั้งให้ฉันหยุดพักอยู่ 1 เดือน
หลังจากนั้นเดือนพฤษภาคม ทุกอย่างกลับเป็นปกติ ไม่มีการสื่อสารแปลกๆแต่อย่างใด ฉันโล่งใจที่สุดที่มันจบลงได้
ฉันเข้าสอบบอร์ดและสอบได้ แถมยังทำคะแนนสัมภาษณ์ได้ดีจนอาจารย์ที่สอบท่านชม มีเพื่อนสองคนที่สอบไม่ผ่าน
จึงแปลกใจอยู่เพราะถ้าเป็นโรคจิตจะสามารถสอบหินๆพวกนี้ได้อย่างไร แต่ใจจริงฉันเชื่อเรื่องเหนือโลกที่เกิดขึ้นมากกว่า
แม้ทางโลกจะถือเป็นอาการทางจิตก็ตาม


  ในที่สุดฉันก็พาตัวเองฝ่าวิกฤติการณ์มาจนได้ แต่ปรากฏการณ์แปลกมหัศจรรย์เหล่านี้ยังคงติดตามฉันมาถึงอุดรธานี
และกล่าวได้ว่า จนกระทั่งถึงบัดนี้ ดังที่ฉันจะเขียนต่อไปในตอนที่2ค่ะ





 

จบตอนที่1

ตอนที่ 2 คือ My story 2

 

 

 


                                     >>Home :: Varieties :: story2 :: story3