จดหมายระหว่างทาง(FL)...ตอนที่ 3

 

พ่อจ๋า...

           
อย่างที่พ่อเคยบ่นสมัยอยู่กรุงเทพฯ ด้วยกันล่ะจ้า ว่าขึ้นรถแล้วไม่ควรหลับ ต้องอยู่เป็นเพื่อนคนขับ แล้วหนูก็หลับทุกที (แหะๆ) คราวนี้ก็ไม่ต่างกัน หนูหลับเกือบตลอดการเดินทางจากแอตแลนตาไปฟลอริดา

            ที่ใช้คำว่าเกือบเพราะช่วงที่ทอนย่ารู้สึกว่าตัวเองขับรถไม่ไหวแล้ว และให้ซันนี่มาขับแทน ทุกคน (ยกเว้นทอนย่าที่จำเป็นต้องนอนพัก) ตื่นกันหมด ด้วยรู้ว่าแม้ซันนี่จะมีใบอนุญาตขับรถของทางมหาวิทยาลัย แต่เจ้าตัวไม่เคยขับรถแวนมาก่อนในชีวิต งานนี้อีกหกชีวิตในรถกุลีกุจอช่วยกันทำหน้าที่เป็นคนดูรถดูถนนหนทางกันยกใหญ่ เพื่อให้มั่นใจว่าซันนี่จะประคองรถแวนของเราตามรถคันหน้าไปได้อย่างราบรื่น

            เจฟซึ่งเป็นคนขับรถคันหน้าก็ช่างกระไรเลย มานึกอยากทำตัวเป็นครูสอนขับที่ดีอะไรกันตอนนี้ก็ไม่รู้ เพราะเจฟเล่นขับโดยใช้ความเร็วปกติ (ที่เร็วสำหรับคนไม่คุ้นกับรถใหญ่) แล้วก็ขับเข้าเลนโน้นออกเลนนี้ เปลี่ยนเลนเป็นว่าเล่นเพื่อให้ซันนี่ได้ฝึกฝน ไม่รู้เลยหรือไงนะว่าคนที่อยู่บนรถใจหายใจคว่ำกันขนาดไหน โชคดีที่เป็นถนนซึ่งไม่ค่อยมีรถมากนัก ไม่อย่างนั้นได้มีลุ้นกว่านี้แน่นอน

           
ทอนย่าเปลี่ยนกลับมาเป็นคนขับเมื่อเข้าเขตที่รถเยอะ หนูเลยได้หลับต่อ หลับไปสักพักก็ต้องพยายามถ่างตาให้ตื่นเข้าไว้ เพราะได้ยินว่าอีกไม่นานก็จะเข้าเขตฟลอริดาแล้ว ทุกคนในรถตั้งตารอดูป้ายยินดีต้อนรับเข้าสู่ฟลอริดา และแล้วเราก็ได้เห็นเจ้าป้ายที่ว่าตอนเวลาประมาณห้าโมงเย็น แปลว่าเราอยู่บนถนนกันมาประมาณเจ็ดชั่วโมงแล้วล่ะพ่อจ๋า

            ทอนย่าซึ่งเป็นคนขับบอกว่าอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็จะเข้าแจ็กสันวิลล์และเข้าที่พักกันเสียที จากนั้นก็จะเป็นการเดินชายหาดที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของพวกเรานัก แล้วค่อยเป็นโปรแกรมอาหารเย็น

           
พวกเราเข้าที่พักเกือบหกโมงเย็น มีเจ้าหน้าที่ขององค์กรที่เรามาเป็นอาสาสมัครสร้างบ้านให้รอต้อนรับและพาพวกเราชมสถานที่ ห้องนอนเป็นห้องเรียนไบเบิลของเด็กตามเคย แต่คราวนี้ได้สามห้อง ห้องแรกมีโซฟาตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างอยู่หกตัว ห้องต่อมามีโต๊ะขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง พร้อมด้วยเก้าอี้นั่งหลายตัว และโต๊ะปิงปอง ส่วนห้องสุดท้ายมีแต่เก้าอี้เฉยๆ

            ตกลงกันว่าสาวๆ จะนอนห้องที่มีโซฟา ส่วนหนุ่มๆ นอนห้องที่มีเก้าอี้ โดยเจฟขอโซฟาตัวนึงไปใช้นอนในห้องหนุ่มๆ เพราะไม่สามารถทนกับการนอนโดยใช้ถุงนอนได้  ส่วนห้องที่มีโต๊ะกลางห้องพร้อมด้วยโต๊ะปิงปองจะเอาไว้เป็นที่เก็บกระเป๋าของบรรดาสาวๆ เพราะแค่เอาตัวพร้อมถุงนอนของสิบเอ็ดสาวเข้าไปรวมกันในห้องที่มีโซฟาอยู่แล้วห้าตัว ห้องก็เต็มหมดแล้ว (ไม่ใช่เพราะพวกเราตัวใหญ่นะพ่อจ๋า แต่เพราะถุงนอนมันกินพื้นที่ต่างหาก)

            ส่วนห้องที่สำคัญที่สุดที่พวกเราเป็นกังวลกัน จนต้องแอบวิ่งไปดูแม้ว่าคุณเจ้าหน้าที่จะไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ก็คือห้องน้ำ ไปถึงแล้วก็โล่งใจไปตามๆ กัน เพราะมีห้องน้ำให้สองห้อง ส่วนห้องอาบน้ำแม้ว่าจะมีห้องเดียวแต่มีประตูให้เรียบร้อย ถึงจะเป็นประตูขาวขุ่นมองเห็นข้างในได้รางๆ ทั้งยังไม่มีล็อกก็เถอะ แค่มีประตูพวกเราก็ดีใจมากๆ แล้ว

            หนูกำลังกลุ้มอยู่เลยว่าถ้าห้องอาบน้ำเป็นแบบห้องอาบน้ำชายในโบสถ์ที่แอตแลนตา (คือไม่มีที่บังตาอะไรเลย) จะทำใจอาบน้ำได้ยังไง ครั้นจะไม่อาบน้ำก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะต้องอยู่ที่นี่ทั้งอาทิตย์แถมเนื้อตัวยังต้องมอมแมมจากการไปออกแรงสร้างบ้านอีก โชคดีนะเนี่ยที่ห้องอาบน้ำมีประตู ปัญหาเรื่องนี้เลยหมดไป แต่ปัญหาใหม่ก็คือ ทำอย่างไรถึงจะจัดคิวสาวๆ ในกลุ่มทั้งสิบเอ็ดคนให้อาบน้ำเสร็จภายในเวลาที่มีจำกัดได้ นี่แหละปัญหาใหญ่มากๆ เลยล่ะพ่อจ๋า

           
ตอนที่ขนข้าวของลงจากรถนี่เห็นความแตกต่างระหว่างนักเรียนอเมริกันและนักเรียนต่างชาติชัดเจนเลย เรื่องมันมีอยู่ว่าตอนประชุมกันก่อนมา เจฟนั่นแหละบอกพวกเราทุกคนว่าพื้นที่ในรถแวนมีน้อย เพราะฉะนั้นให้เอามาแค่เป้สะพายหลังหนึ่งใบ กับกระเป๋าขนาดถือขึ้นเครื่องบินได้อีกหนึ่งใบ เด็กนักเรียนต่างชาติอย่างเราๆ เอามาตามนั้น และสามารถใส่ของที่ต้องการมาได้หมด ส่วนเด็กอเมริกัน นอกจากจะเอาเป้สะพายหลังมาแล้ว แต่ละคนยังมาพร้อมกระเป๋าเดินทางใบค่อนข้างใหญ่ด้วย (กระเป๋าของสตีฟกับเบคกานี่ ใหญ่เป็นสามเท่าของกระเป๋าหนูเลยล่ะพ่อจ๋า)

            ระหว่างที่เด็กนักเรียนต่างชาติอย่างพวกหนูทำหน้าตะลึงเมื่อเห็นกระเป๋าใบใหญ่ที่พวกเขาขนกันมา เด็กนักเรียนอเมริกันก็ทำหน้าตาทึ่งในความสามารถทางการจัดกระเป๋าของเด็กนักเรียนต่างชาติ เมื่อเห็นกระเป๋าใบที่เล็กกว่าของพวกเขามากซึ่งพวกเรานำมา แหม...อุตส่าห์ทำตามคำแนะนำของท่านหัวหน้ากลุ่มอย่างเคร่งครัด ใครจะไปรู้ล่ะว่าพวกอเมริกันรวมทั้งตัวเจฟเองจะไม่ทำอย่างนั้นสักหน่อย

           
หลังจากเอาของเข้าที่พักแล้วทุกคนก็มุ่งหน้าไปยังชายหาด ที่อยู่ห่างจากที่พักเพียงแค่สองช่วงตึกเท่านั้น แต่ละคนตื่นเต้นกันมากเพราะเมืองที่เราอยู่ไม่มีทะเล และอยู่ห่างจากเมืองที่มีทะเลหลายชั่วโมงขับรถอยู่ แต่หนูไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะเพิ่งไปตระเวนชายฝั่งโอเรกอนมาเมื่อตอนปีใหม่ อีกอย่างกรุงเทพฯ ของเราทะเลก็ใกล้จะตาย ขับรถแค่สองชั่วโมงกว่าก็ถึงพัทยาแล้ว ไม่เหมือนที่นี่ต้องขับรถมากว่าสิบห้าชั่วโมงถึงจะได้เจอทะเล

          ไม่แปลกใจเลยที่แต่ละคน โดยเฉพาะฝรั่งทั้งหลายดีใจกับการเห็นทะเลเอามากๆ อย่างไรก็ตามกว่าเราจะไปถึงชายหาดก็มืดแล้ว พวกเราเลยทำได้แค่เพียงเดินลุยน้ำในระดับที่ไม่ลึกไปกว่าครึ่งแข้ง (ไม่กล้าไปไกลกว่านั้นล่ะจ้า มืดตึ๊ดตื๋อเลย) แล้วก็ถ่ายรูปกันท่ามกลางความมืด โดยหวังว่าแฟลชกล้องจะช่วยให้เห็นพวกเราในรูปได้ (แต่พอล้างอัดรูปมาแล้วก็พบว่ามันช่วยไม่ได้ เสียฟิล์มกับค่าล้างรูปไปเปล่าๆ)

 หลังจากชื่นชมทะเลอยู่พักใหญ่ ก็ถึงเวลาที่ต้องไปหาอาหารเย็นมาใส่ท้องกันเสียที ก็อาหารมื้อล่าสุดที่ตกถึงท้องนะมันก็เมื่อกว่าห้าชั่วโมงที่แล้วนะ แต่เอ๊ะ...รู้สึกว่าคราวนี้ชายหนุ่มที่เป็นต้นเสียงในการร่ำร้องหาอาหารทุกมื้ออย่างสตีฟจะเงียบไป ดูท่าทางจะติดใจทะเลจนลืมหิวล่ะสิ

รักพ่อค่ะ...

เพนนี

 



 

ตอนที่ 2 เพนนีกับพีนัท ตอนที่ 4