deedi [ deedi_deedi@email.com ]
กราบสวัสดีเพื่อนๆ ผู้สนใจในแก่นของธรรมทุกคนค่ะ :)

เกี่ยวกับ deedi

ดิฉันใช้ชื่อบนอินเทอร์เน็ตว่า deedi (อ่านเอาเองว่า 'ดีดิ') ประวัติชีวิตทางธรรมข้างล่างนี้ เขียนไว้ในกระทู้แนะนำตัว หมายเลขกระทู้ ๑๐๑ ในห้องสนทนาธรรมลานธรรม เมื่อหนึ่งปีกว่า ดิฉันคัดลอกมาให้อ่านทั้งหมดโดยไม่ได้ ต่อเติมหรือแก้ไขอะไรเลย

จึงขอแก้ไขและเพิ่มเติมไว้ตรงนี้นิดหน่อยนะคะ :)

ก) ตอนฝึกทำสมาธิเองครั้งแรกสมัยเด็กๆ นั้น ฝึกเองโดย รู้สึกจะอาศัยอ่านๆ วิธีทำอานาปานสติแบบง่ายๆ จากหนังสือ แล้วก็มาลองทำดูเองก่อนนอนค่ะ

ข) ครูทางธรรมหรือคุณแม่ผู้ให้กำเนิดทางธรรมในชีวิตนี้ คือ คุณแม่สิริ กรินชัยค่ะ ท่านเป็นผู้ให้กำเนิดคอร์สอบรม วิปัสสนากรรมฐาน ชื่อ 'การอบรมวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติสุข' ที่เป็นคอร์ส ที่ถูกจริตดิฉัน (คือ ปฏิบัติแนวนี้แล้วชอบ) คอร์สนี้ใช้ การดูอาการพองยุบตรงท้องเป็นอารมณ์กรรมฐานค่ะ และที่สำคัญที่สุด เน้นที่สุด คือการเจริญสติ การฝึก การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในกายและใจ (หรือพูดให้ละเอียด ก็คือใน กาย เวทนา จิต และ ธรรม) ในทุกขณะจิตที่ตื่นอยู่ (ก็คือ สติปัฏฐานสี่ นั่นเอง)

(ขอทำความเข้าใจตรงนี้ว่า เอกายนมรรค ทางสายเดียว สู่การไปสู่การพ้นทุกข์นั้นมีทางเดียวจริงๆ คือการปฏิบัติ ตัวตามแนวสติปัฏฐานสี่และวิปัสสนากรรมฐาน แต่ว่า รายละเอียดในการปฏิบัตินั้น จะแตกต่างกันออกไป ตามอุปนิสัย ตามเหตุปัจจัยที่แต่ละคนได้สร้างสมมา หรือที่เราได้ยินเรียกกันว่า จริต หรือ ถูกจริต ตรงจริต อะไรทำนองนี้ แต่อย่างไรก็ตามถ้าเราได้ครูที่ดีตรงทาง เป็นสัมมาทิฏฐิ (ซึ่งมีครูในหลายๆ แนว สอนในหลายๆ รายละเอียดที่แตกต่าง หรือ สอนในหลายๆ จริต แตกต่าง กันออกไป แต่หากเป็นแนว เป็นวิธีที่เป็นสัมมาทิฏฐิที่ ตรงทางที่พระพุทธองค์ทรงนำมาเปิดแสดงชี้ไว้แล้ว ก็ล้วน พาไปสู่ที่เดียวกัน คือ ไปสู่การเกิดปํญญาเห็นโลกเห็นธรรม ตามความเป็นจริง อันจะนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้จริงในที่สุด เหมือนกันทุกจริตหรือทุกแนวค่ะ)

ส่วนเนื้อหาทั้งปวงที่พูดในโฮมเพจและห้องสนทนาธรรมนี้นั้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะพูดกว้างๆ พูดลงไปในแก่น ในเนื้อธรรมะ ซึ่งมีอันเดียว เป็นความจริงอันเป็นสากล ไม่ว่าจะใช้คำพูดใดๆ ภาษาใดๆ มาจับก็เหมือนกันตรงกันเสมอในความเป็นจริง แต่หากเป็นการแนะนำวิธีเจริญสติและในการปฏิบัติ ดิฉัน จะแนะนำในแนวทางหรือจริตที่ตัวเองพอทำเป็น พอรู้ นั่นก็คือตามแนวสติปัฏฐาแนสี่และแนว พองยุบค่ะ

ค) ผู้ที่รวบรวมกระทู้ธรรมะเก่าๆ ในห้องสมุดพันทิพ เก็บไว้ที่ดิฉันกล่าวชื่อไว้ไม่ถูกคนจริงๆ ที่จริงต้องเป็น คุณ morning_glory ค่ะ ต้องกราบขออภัยคุณพัลวัน และคุณ morning_glory ไว้ตรงนี้ด้วยที่เอ่ยอ้างผิด ในครั้งแรกค่ะ

ความคิดที่จะทำโฮมเพจ easydharma นี้ เกิดขึ้นตอนไหน ก็ไม่ทราบ แต่ดิฉันเตรียมๆ งานมาตั้งแต่ประมาณเดือนตุลาคม หรือพฤศจิกายนปีที่แล้ว และได้เริ่มออนไลน์ตั้งแต่ประมาณ เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ (๒๕๔๓) โดยใช้ free host ที่อื่นก่อน แต่ปรากฏว่าใช้งานจริงไม่ได้สมบูรณ์ ก็เลยหา host ใหม่ อยู่หลายเจ้า ในที่สุดประมาณต้นเดือนมิถุนายนก็ตัดสินใจ ใช้ geocitites.com ซึ่งสะดวกและรวดเร็วมาก ใช้งานได้ สมบูรณ์แบบเท่าที่ free host จะให้ได้ ขณะที่เริ่มๆ จะย้าย มา geocities นี้ก็พอดีคุณดังตฤณ จัดการประกวดเรื่องสั้น ขึ้นบนเน็ต โดยใช้ free webboard service ของ d'server ดิฉันเคยเล็งๆ อยากจะมีเว็บบอร์ดด้วยอยู่แล้ว ก็เลยได้โอกาสลองใช้เว็บบอร์ดของ d'server ดู ซึ่งก็ใช้ ได้ดีที่สุดเท่าที่ free host จะเอื้อให้ได้

ดังนั้น จึงขอกราบขอบพระคุณ oocities.com ที่ได้ เอื้อเฟื้อทุกอย่างให้โฮมเพจธรรมะเล็กๆ แห่งนี้เปิดสู่สายตา ของโลกได้ (ดิฉันกำลังจัดทำ easydharma ภาคภาษา อังกฤษ หวังใจว่าจะเป็นมุมเล็กๆ อีกมุมบนเน็ตที่จะได้ ช่วยกันเผยแผ่พระธรรมอันเป็นแก่นของสรรพสิ่งและเป็น สากลที่สุดนี้ ออกไปให้ผู้คนทุกชาติทุกภาษาที่สนใจ ได้มา ลองลิ้มชิมรส ได้มาลองสัมผัสดูค่ะ)

สมุดลงชื่อเยี่ยมชมและแสดงความเห็น - อีเมล์ของคุณ - โฮมเพจของคุณ

ขอกราบขอบพระคุณคุณดังตฤณที่ทำให้ดิฉันได้รู้จัก d'server เว็บบอร์ดของคนไทยและ free service อีกหลายๆ อย่าง (ล่าสุดเมื่อวานเพิ่งไปสมัครใช้สมุดลงชื่อเยี่ยมชม เพื่อพัฒนา easydharma ให้ดียิ่งๆ ขึ้นค่ะ เชิญชวนทุกคนไปลงชื่อ และที่สำคัญอยากรบกวนช่วยกันแสดงความคิดเห็นต่างๆ ในสมุดลงชื่อเยี่ยมชมด้วยนะคะ อีเมล์แอดเดรสที่คุณๆ แจ้งเอาไว้ ดิฉันคิดไว้ว่าจะเก็บรวบรวมไว้เป็นที่เป็นทาง เผื่อไว้ว่าหากต่อๆ ไปความเหมาะสมและโอกาสอำนวย อาจจัดทำเป็นระบบ Mailing List ใช้สำหรับแจ้งข่าวสาร หรือติดต่อเรื่องทางธรรมอื่นๆ ตามสมควรของ easydharma ดังนั้น จึงอยากรบกวนให้ช่วยกรุณาทิ้งๆ เบอร์อีเมล์กันเอา ไว้ด้วยนะคะ จะในสมุดลงชื่อเยี่ยมชมหรือจะในกระทู้แนะนำ ตัวหรือในอนาคตดิฉันอาจทำเป็นสมุดแนะนำตัวไว้ก็ได้ค่ะ (หากจัดทำเสร็จเมื่อไหร่จะแจ้งให้ทราบต่อไปในโฮมเพจ และในห้องสนทนาธรรมนะคะ)

และหากคุณมีโฮมเพจธรรมะส่วนตัวหรือโฮมเพจใดๆ จะแนะนำ ก็กรุณาแนะนำกันมาได้เสมอนะคะ เพื่อประโยชน์อันกว้างขวาง ต่อๆ ไปค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณ d'server ที่ตอนนี้ทำให้เกิดห้องสนทนา- สบายๆ สไตล์ธรรมปฏิบัติ และเกิดสมุดลงชื่อเยี่ยม easydharma ขึ้นมาแล้ว

ปวารณาตัว

ดิฉันอยากจะขอปวารณาตัวไว้ตรงนี้ หากคุณผู้ใดสงสัย อยาก ได้คำแนะนำเพิ่มเติม อยากสนทนาธรรมใดๆ เพิ่มเติม อยาก ปรึกษาหารือปัญหาชีวิตปัญหาธรรมใดๆ ก็ตาม ด้วยการนำ แก่นของธรรมะมาใช้แก้ไขหรือช่วยตอบช่วยคลี่คลายปัญหา คุณสามารถติดต่อดิฉันได้ทุกเมื่อ หากต้องการเปิดเผยข้อมูล เป็นวิทยาทาน เป็นธรรมทานกับเพื่อนผู้เข้ามาอ่านคนอื่นๆ ก็สามารถตั้งเป็นกระทู้ถามไว้ในห้องสนทนาธรรมได้เสมอ หรือหากต้องการสนทนาเป็นการส่วนตัว ก็สามารถติดต่อกับ ดิฉันมาทางอีเมล์ได้เสมอ อย่าได้เกรงใจนะคะ ดิฉันจะยินดี มากๆ ที่จะได้พูดคุยสนทนากันเพื่อหาทางออกในทุกๆ เรื่อง ทั้งเรื่องทางโลกและเรื่องวิธีการในการปฏิบัติธรรม - เผื่อ จะได้มีทางออกเป็นอีกทางเลือกให้คุณได้ใช้ประกอบการ พิจารณาในการแก้ปัญหาหรือแก้ข้อสงสัยใดๆ ก็ตามค่ะ บางครั้งดิฉันอาจตอบเมล์ช้าไปบ้าง ก็ต้องขออภัยไว้ตรงนี้ ต่อไปนี้ ดิฉันจะพยายามเข้ามาพัฒนาโฮมเพจและห้อง สนทนาธรรมนี้ให้สม่ำเสมอยิ่งขึ้น และจะพยายามแบ่ง เวลาสำหรับการตอบปัญหาทางธรรมทั้งในกระทู้และ ทางอีเมล์ให้มากขึ้นและสม่ำเสมอเป็นประจำยิ่งๆ ขึ้นค่ะ

บอกกล่าวไว้ล่วงหน้า

ขออนุญาตแจ้งไว้ตรงนี้ด้วยว่า ดิฉันจะไม่หายไปจาก easydharma โดยไม่แจ้งล่วงหน้าแน่นอน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากใดๆ ในโลกล้วนไม่แน่นอน จึงขอบอกกล่าวไว้ตรงนี้ ว่าถ้าหากดิฉันหายไปโดยไม่ได้บอกกล่าว แสดงว่า อาจมีเหตุที่เป็นอุปสรรคกระทันหัน อาทิ ป่วยไข้ไม่สบาย หรือเหตุรุนแรงอื่นใดกระทันหัน หรืองานยุ่งมากๆ หรืออาจจากโลกนี้ไปแล้ว (ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน ความตายเป็นของแน่นอน การพูดถึงความตาย ระลึกถึง ความตายเอาไว้เสมอๆ จึงเป็นสิ่งไม่น่ากลัวอะไร) อย่าง กระทันหันก็ได้

แนะนำตัว

ข้างล่างนี้ เป็นคำแนะนำตัวทางธรรมที่คัดลอกมาให้อ่านกัน ตรงนี้ค่ะ

คำแนะนำตัว

ความคิดเห็นที่ 12 : (deedi) กราบสวัสดีเพื่อนทางธรรมพร้อมทั้งเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ต้องขออภัยล่วงหน้านะคะ ดิฉันเขียนอะไรสั้นๆ ไม่ค่อยจะเป็น เขียนแล้วก็ยาวทุกที

ที่จริงไม่อยากแนะนำตัวเลย เพราะว่ายังรู้สึกอยากอยู่เงียบๆ อยากให้ รู้จักกันเพียงจากแนวความคิด ทว่าเนื่องจากเริ่มเข้ามารับความรู้ เริ่ม เข้ามาร่วมฟังความคิดเห็น เริ่มเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นอยู่ พอสมควร จึงเห็นว่าไม่ยุติธรรมและคงเสียมารยาทมากเพราะ ดูเหมือนทุกท่านจะแนะนำตัวกันทั้งนั้น ก็เลยต้องร่วมวงไพบูลย์ กับพวกเราด้วยซักหน่อย ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ

ชื่อที่ใช้เพื่อการสื่อสารในการสนทนาธรรมทั้งในห้องสมุดและตรงนี้ คือ deedi ค่ะ ไม่มีความหมายใดๆ ไม่ตั้งใจให้มีความหมายใดๆ เลย ครั้งแรกที่จะต้องลงชื่อก็นึกชื่อนี้ขึ้นมา ก็ชอบ สงสัยเพราะชื่อนี้คุ้นหู อยู่แล้วเพราะดูการ์ตูนกับหลานตัวเล็กห้าขวบ ดีดีเป็นพี่สาวของ เด็กซ์เตอร์ แต่ไม่ทราบ จำไม่ได้แน่นอนว่า ดีดี สะกดภาษาอังกฤษ อย่างไร เหมือนที่ดิฉันใช้หรือไม่ แต่ดิฉันอ่านในใจว่าสำหรับของ ตัวเองว่า ดีดิ ไม่ใช่ ดีดี และไม่ได้คิดว่าเกี่ยวอะไรกับคำวิเศษณ์ที่แปลว่า "ดี ความดี" หรืออะไรทั้งนั้นค่ะ ยังมีชื่ออื่นที่ใช้ในห้องสมุดอีกตอนนี้ หนึ่งชื่อ เพราะจะใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ อารมณ์และเรื่อง ที่ต้องการจะสื่อค่ะ

เมื่อเด็กๆ จำได้ว่าเคยแปลกใจตัวเองว่าทำไมไม่ค่อยชอบตบยุง จำได้ว่า ชอบวิชาศีลธรรมมาก เมื่อโตพอเรียกว่าเป็นวัยรุ่นวัยวุ่นวัยสับสน ก็ได้ เข้าร่วมวงสับสนกับเค้าด้วย ตอนนั้นนับถือศาสนาอื่น อยู่ๆ ก็ตัดสินใจ ด้วยตัวเอง เปลี่ยนเป็นพุทธศาสนิกชน เนื่องด้วยไม่ชอบเชื่ออะไรง่ายๆ ชอบได้ฟังเหตุผลและคำอธิบาย วันหนึ่งบังเอิญไปเจอคำสอนของ พระพุทธองค์ที่ทรงบอกว่า อย่าเชื่อเพียงเพราะ …ฯลฯ… (ยาว ไม่ขอ quote มานะคะ พวกเราก็คงเคยๆ เห็นกันอยู่แล้ว) รวมทั้งอย่าด่วนเชื่อ แม้แต่คำสอนของพระพุทธองค์เองก็เถอะ ต้องพิจารณา ต้องพิสูจน์ ด้วยตนเองก่อน อะไรทำนองนี้ เฮ้อ…อย่างนี้สิถูกจริต ใช่เลย! ก็เลยเริ่มภาคหนึ่งของความเป็นพุทธศาสนิกชนค่ะ

นับแต่นั้นมาหลายๆๆๆ ปี จนกระทั่งก่อนสองปีที่แล้ว ดิฉันก็เป็น พุทธศาสนิกชนแต่เปลือก ไม่ได้รู้อะไรเลย ไม่สนใจด้วย พร้อมๆ กันก็ สงสัยว่าทำไมหนอ เราถึงเกิดมาเป็นคนไทย เราไม่ชอบกรุงเทพฯ อากาศร้อน เราไม่ชอบอากาศร้อน สงสัยจริงๆ ไม่เข้าใจ ก็สงสัยเรื่อยมา

วันหนึ่งเมื่อสามปีที่แล้ว ดิฉันต้องสูญเสียญาติผู้ใหญ่ผู้เป็นที่รักยิ่ง รักที่สุด รักเหลือเกิน ทั้งที่ทำใจมาเกินสิบปี เพราะท่านก็แก่ตั้งแต่ เราเด็กๆ แล้ว ก็ทำใจมานานแล้วว่าวันหนึ่งจะต้องสูญเสียท่านไป แต่พอเวลามาถึงจริงๆ ที่ว่าทำใจๆ ไว้นั้นก็เปล่าเลย ดิฉันร้องไห้ แบบไร้สติสุดๆ ร้องเป็นวันๆ เมื่อเวลาผ่าน เมื่อเริ่มสงบลงบ้าง ก็ถามตัวเอง ถามฟ้า ถามแม่น้ำเจ้าพระยา ว่าท่านไปอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ดิฉันจะได้พบท่านอีก ความตายคืออะไร เป็นอย่างไร จะได้พบกันอีกหรือไม่ สารพัดจะคิด มองไปในฟ้า หาว่าท่าน ไปอยู่ไหน ชีวิตคืออะไร ทำไมต้องเกิดมาแล้วจะต้องเกิด อีกหรือเปล่า สวรรค์มีจริงไหม ต้องหาคำตอบให้ได้

ด้วยจุดนั้น ดิฉันหาหนังสือทุกประเภทที่คิดว่าอาจมีคำตอบที่ต้องการ มาอ่าน คำสอนจากศาสนาต่างๆ ปรัชญา วิทยาศาสตร์ แควนตัม- เมคคานิค (อ่านไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ แต่ก็พยายามสุดๆ) หนังสือเกี่ยวกับ ความตาย ชีวิตหลังความตาย ศึกษาหนังสือของปราชญ์ทั้งสมัยใหม่ สมัยเก่า บทความต่างๆ หนังสือกองเป็นตั้งเลย เที่ยวไปขอยืมเขา มาอ่านไปหมด บางเล่มก็แค่ scan บางเล่มก็อ่านเอาจริงๆ จังๆ อ่านไปอ่านมา หนังสือก็ค่อยๆ แคบแนวลงมาเอง แปลกนะ… อ่านไปอ่านมา ทำไมเหลือแต่หนังสือทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น (สงสัยถูกจริตจริงๆ ด้วย) ความสงสัยหลายๆ เรื่องเริ่มคลี่คลาย (ในระดับสุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา)

เริ่มเห็นคำว่าสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ฟังว่ายกจิต ขึ้นสู่วิปัสสนาก็รู้สึกว่าวิปัสสนานี่คงยากน่าดู แต่สนใจจังเลย เพราะ ท่านว่าด้วยวิปัสสนาเท่านั้น ทางสายเอก ทางสายเดียวที่จะพาไปสู่ ความพ้นทุกข์พบสันติสุขอย่างแท้จริงได้ จิตก็รู้สึกจะมีแว่บ ตั้งปรารถนาอยากจะได้พบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเหลือเกิน คงอยากพ้นทุกข์ แค่นั้นแล้วก็ลืมไปเลยค่ะ

จากนั้นก็อ่านอีก อ่านอีก อ่านไปพบเรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วก็เกิดนึก อยากหัดทำสมาธิขึ้นมา จำได้ว่าเมื่อสมัยเด็ก (จำอายุไม่ได้ คงสิบกว่าๆ) เคยนอนทำสมาธิไม่กี่ครั้ง ดีเหลือเกิน สุขมาก (พอจำได้เลาๆ) แต่ คืนหนึ่งอยู่ดีๆ รู้สึกตัวจะลอย ก็เลยตกใจ ออกจากสมาธิและเลิกทำ มานับแต่นั้น

ก็เลยเริ่มอีกที ฝึกทำเอง ก็ดีสงบ สุข แต่วันหนึ่งไปอ่านหนังสือ เกี่ยวกับสมาธิ อภินิหารจิตอะไรทำนองนั้น ก็เอามาทำตาม ตามไปดูนิมิตเป็นครั้งแรก เกิดเรื่องเลยค่ะ เกือบแย่กว่าจะแก้ได้ รายละเอียดไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่เล่าดีกว่านะคะ ไม่เกี่ยวกับการ พยายามทำตัวให้หลุดพ้นสักหน่อย

คราวนี้กลัวๆ แต่ก็รู้ว่าทางนี้ดี แต่ก็หยุดไป แต่หัวใจก็บอกมาตลอด คงทุกวันทุกคืนว่าอยากเรียนวิธีที่ถูกต้อง ใจบอกว่าเราอยากทำสมาธิ อีก ไม่อยากหยุดอยู่แค่นี้ ไม่นานแค่ประมาณสองเดือน อยู่ๆ ก็มีทาง ได้ไปฝึกทั้งๆ ที่ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้หรือเรื่องวัดวาเลย ครูบาอาจารย์ท่านเรียกการฝึกนี้ว่าวิปัสสนากรรมฐาน ก็ลืมไปแล้วล่ะ เรื่องวิปัสสนาแล้วคราวนี้ก็ไม่ได้สนใจอะไรด้วย นึกแต่ว่าไม่เป็นไร เราต้องหาครูดีตรงที่เราเชื่อถือวางใจให้สอนเราได้ ครูบาอาจารย์ ท่านนี้คิดว่าเชื่อถือได้ ลองดูแล้วกัน ตั้งใจว่าจะไปเอาหลักการทำสมาธิ เท่านั้นเอง เพื่อจะสามารถมาปฏิบัติต่อได้ด้วยตนเองโดยไม่มีปัญหา อย่างที่แล้วมา

เมื่อไปปฏิบัติ ตั้งใจเรียนรู้ว่าฉันจะต้องเอาหลักการทำสมาธิกลับไป ให้ได้ ภายในไม่กี่วันก็ต้องตกใจ ตื่นใจ ถามตัวเองว่านี่เราจะมาเอาแค่ หลักการทำสมาธิแต่นี่เรากลับมาได้อะไรกันนี่ ได้เกินจากที่ตั้งความ ปรารถนาตั้งเยอะ นี่อย่างไร วิปัสสนากรรมฐานและมหาสติปัฏฐาน สูตร ทางสายเอกและทางสายเดียวที่แต่ละคนต้องเดินเอง ไปสู่ ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ไปสู่การลด ละและเลิกจากกิเลสตัณหา อุปาทานทั้งปวง นี่มันอะไรกัน ดิฉันอุทานในใจอย่างนั้นจริงๆ

รายละเอียดต่อไปจะไม่เล่านะคะ ยาวเยิ่นเย้อ เอาเป็นว่าดิฉันนำเอา กลับมาปฏิบัติเองที่บ้านตลอดเวลาอีกประมาณหนึ่งปีจากนั้น พร้อมๆ กันก็ศึกษาและไปเข้าอบรม ไปเรียนสารพัดศาสตร์ เพราะยังไม่อยากด่วนเชื่อว่าวิปัสสนากรรมฐานและสติปัฏฐานสี่ ที่เราฝึกมาเป็นคำตอบสุดยอดของชีวิตตัวเอง ก็เรียนโน่นเรียนนี่ เกี่ยวกับศาสตร์ทางจิต ยิ่งเรียนก็ยิ่งเป็นการย้ำให้เห็นว่าเรามา ถูกทางแล้ว ทางสายนี้ใช่แน่แล้ว หลังจากหนึ่งปีก็เลิกไปเรียนวิชาอื่น เพราะวิชาของพระพุทธองค์วิชานี้ครอบคลุมคำตอบไว้หมดแล้ว ทั้งเรื่องโลกเรื่องธรรม อยากรู้อยากแก้ปัญหาอะไรใช้วิชานี้ ก็ตอบก็คลี่คลายไปได้หมดด้วยสติและด้วยการใช้ปัญญา (ที่ยังกะพร่องกะแพร่งอยู่เลยจนเดี๋ยวนี้)

ทำไมดิฉันถึงแน่ใจว่าทางสายนี้ ใช่แน่แล้ว (สำหรับตัวเองนะคะ)

๑. เพราะดิฉันได้พิสูจน์ด้วยการศึกษาวิชาเกี่ยวกับจิตอีกหลายวิชา และไม่เจออะไรจะยิ่งกว่าหรือจะครอบคลุมไปได้หมดและรอการพิสูจน์ เช่นวิชาของพระพุทธเจ้าเลย

๒. เพราะนอกจากรอการพิสูจน์แล้วยังทนต่อการพิสูจน์เสียด้วย ก็ดิฉันเห็นว่าครูบาอาจารย์ท่านก็สอนแต่วิธีปฏิบัติ ไม่เคยบอกว่า คุณต้องเจอนั่น เห็นนี่ ไม่เคยบอกว่าคุณจะเจออาการนั้นนี้ แต่ทำไม คนปฏิบัติกันตั้งหลายคน อาการเหมือนๆ กันเลย ความรู้ พัฒนาการที่เกิดก็ยังเป็นไปในทางเดียวกันอีก ก็ไม่ได้พูดกันสักคำ หน้ายังไม่เห็นกันเลยถึงจะอยู่ด้วยกันตั้งหลายวัน ต่างก็ปฏิบัติ สำรวมกาย วาจา ใจ ของตนไป ตั้งหน้าตั้งใจปฏิบัติไป

๓. เพราะเมื่อกลับมาปฏิบัติเองที่บ้าน ก็อ่านค้นคว้ามากมาย เพื่อสอบทาน ทำไมถึงไปตรงกับที่ท่านพูดไว้ล่ะ สิ่งที่เรียนรู้ สิ่งที่ได้ จากการปฏิบัติ ตรงเป๊ะ ยังกับอ่านตำรามาพูดแน่ะว่าปฏิบัติแล้วเป็น อย่างไรบ้าง ยังกับไม่ใช่ปฏิบัติแล้วมาพูด อะไรทำนองนั้น

นับแต่วันแรกที่ปฏิบัติมาจนถึงวันนี้ก็สองปีกับอีกสองเดือนแล้วค่ะ ดิฉันกล้าคิดแล้วว่า สำหรับตัวเองแล้วเส้นทางนี้แหละที่จะเพียร พยายามเดินต่อไป อยากจะรีบเดินด้วยซ้ำเพราะไม่ทราบว่าจะตายวัน ตายพรุ่งแต่ก็ต้องปล่อยวางเพราะไม่อย่างนั้นก็กิเลสชัดๆ ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่จะได้เกิดมาเจอพระพุทธศาสนาอีก ยังกลัวว่าถึงจะได้เกิดมา ในแผ่นดินพุทธแต่เกิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ เกิดเจอะเจอครูบาอาจารย์ ไม่รู้จริงพาเราหลงทางไปจะทำอย่างไร กลัว กลัว กลัวและกลัวค่ะ และตอนนี้ก็ได้รู้คำตอบแล้วว่าทำไมเราไม่อยากตบยุง สงสัยเคย ถือศีลมาบ้างนะเนี่ย แล้วก็ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมต้องมาอยู่ใน กรุงเทพฯ อันแสนร้อน อึดอัด อบอ้าว ก็เพราะที่นี่มีคำตอบน่ะสิ เพราะที่นี่นี่เองที่พระพุทธศาสนาประดิษฐานรอการเข้ามาพิสูจน์อยู่

เอาเป็นอันสรุปดีกว่านะคะ รู้ว่าตัวเองยังต้องเดินทางอีกไกลมาก แต่ก็ไม่ท้อ (มีเบื่อ มีขี้เกียจ ทุกวันเลยแต่ก็ต้อง "พากเพียร" เข้าไว้ค่ะ) พอดีเมื่อประมาณสิบวันที่แล้วเกิดสนใจอยากอ่านความคิดเกี่ยวกับ พระพุทธศาสนาที่กำลังมีปัญหากันเหลือเกิน ก็เลยเข้ามาดูในพันทิพ พบห้องสมุด ไม่ได้คาดหวังอะไร

ปรากฏว่าได้เจอกระทู้หลายๆ กระทู้ น่าสนใจมาก เมื่อเข้าไปอ่านกระทู้ ก็ได้พบผู้รู้ในแนวการปฏิบัติ ได้พบความเมตตา ได้พบความพยายาม ที่จะเรียนรู้เสาะแสวงหาธรรมที่แท้ ได้พบการพยายามแบ่งปัน สาระธรรม ได้พบการแสดงความคิดเห็นอย่างใจกว้าง ได้พบว่าต่างคนที่เข้าไปเขียนเข้าไปคุยก็มาจากต่างที่ต่างพื้นฐาน ต่างอุบายในการปฏิบัติและได้พบว่าในท่ามกลางการช่วยเหลือ หรือแลกเปลี่ยนความคิดกันนั้น มีอย่างหนึ่งที่ไม่แตกต่างก็คือ ทุกคนสนใจเกี่ยวกับธรรมะแท้ แก่นแห่งพระพุทธศาสนา สนใจอยากรู้อยากแบ่งปันธรรมะในแง่มุมต่างๆ ทุกคนสนใจ เรื่องการพ้นทุกข์ สนใจเรื่องการหมดสิ้นกิเลสและหยุดการ เวียนว่ายตายเกิดอันทุกข์ทรมาณและมืดมิดไปด้วยความไม่รู้ ในระนาบและแง่มุมที่หลากหลายกันไป

ประทับใจสุดๆ จริงๆ ค่ะ ชื่นใจ อิ่มเอมด้วย ตามอ่านกระทู้ที่สนใจ ทั้งหมด (สงสัยเดือนนี้ค่าอินเทอร์เน็ตอานแน่ๆ เลย :>) แล้วก็ได้ ตามไปในรวมกระทู้ธรรมะรู้สึกจะที่คุณพัลวันรวบรวมไว้ (ถ้าจำผิด ขออภัยนะคะ) ยิ่งตามก็ยิ่งเจอของดีๆ ได้เห็นความคิดของคุณสันตินันท์ ที่ทำเอาสะดุ้งเลยค่ะ แค่อ่านความคิดข้อธรรมอันแรกก็จำชื่อได้ไม่ลืม เลยค่ะ ช่างนำธรรมออกมาแสดงได้อย่างบริสุทธิ์ แตกฉานด้วยความรู้ ที่เกิดจากปัญญาในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแท้ๆ ได้เห็นจิตที่สงบเย็น ได้สัมผัสว่าต้องมีประสบการณ์มากมายในการปฏิบัติธรรมเพื่อการ พ้นจากทุกข์จากคำที่สั้นกระชับแต่ได้ใจความเต็มเปี่ยมทุกครั้ง ฯลฯ (ขออภัย ไม่ได้บังอาจวิพากษ์วิจารณ์อะไรนะคะ ดิฉันรู้น้อย พูดอย่างที่ รู้สึกจริงๆ เท่านั้น) แล้วก็คุณ rising_sun คุณดังตฤณ คุณ morning_glory คุณบัวใต้น้ำ คุณนิดนึง คุณมะเหมี่ยว คุณวันวิสาข์ คุณทองคำขาวและใครต่อใคร ขอโทษด้วยจาระนัย ไม่หมดจริงๆ

จากนั้นก็ตามไปเรื่อยๆ ตามไปจนเจอทางนฤพาน จนเจอทางเข้า ลานธรรมจากทางนฤพานเจอไซท์เกี่ยวกับสติปัฏฐานและก็แน่ละ ตอนนี้ก็มาอยู่ตรงนี้อีกที่นึงแล้ว

แฮ่ะ… กำลังรอทางนฤพานตอนต่อไปด้วยค่ะ เขียนได้ยังไงนี่ amazing จริงๆ คุณดังตฤณรู้สึกจะบอกว่าเคยเขียนเรื่องอื่นไว้อีก สมัยเด็กๆ ไม่เอามาแบ่งกันอ่านบ้างหรือคะ

หมู่นี้ดิฉันขยันเข้ามาบ่อย พบอะไรดีๆ ก็จะคัดลอกมาฝากพวกเรากัน ช่วงนี้ค่อนข้างมีเวลาค่ะ

มีอีกนิดนึงค่ะขอใส่ไว้ตรงนี้เลย เพราะว่าดิฉันก็พบที่นี่โดยประตู จากห้องสมุด ก็เห็นด้วยกับคุณ filmman (ถ้าเขียนผิดขออภัยค่ะ) ว่าพวกเราอย่าทิ้งห้องสมุดกันนะคะ คงมีคนใหม่ๆ เปิดเข้ามาเสมอ

พบกันอีกตามกระทู้ต่างๆ นะคะ ขอให้พวกเราทุกคนได้เจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม ตามที่ใจปรารถนายิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ

จากคุณ : deedi [ 19 ก.ค. 2542 / 20:41:35 น. ] [ IP Address : 208.147.5.34 ]

TopOfPage
MainPage

เจริญในธรรม
deedi- ผู้จัดทำ easydharma
( ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ )
| deedi_deedi@email.com |