ทักษิโณมิคส์

โดย อัมมาร สยามวาลา

มติชนรายวัน วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2545

เมื่อพรรคไทยรักไทยเข้ามาบริหารประเทศในเดือนมกราคม พ.ศ.2544 ก็ได้ประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่าจะกู้เศรษฐกิจไทยให้ฟื้นจากสภาวะตกต่ำที่เป็นมาตั้งแต่เกิดวิกฤตในปี พ.ศ.2539-2540 เรื่องนี้มิได้เป็นเรื่องแปลกใหม่ในตัวของมันเอง เพราะไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลในช่วงนั้น ก็ต้องถือว่านี่คือโจทย์ใหญ่ของประเทศ แต่สิ่งที่เป็นเรื่องแปลกใหม่ของรัฐบาลนี้คือแนวทางที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งแกนนำของพรรคประกาศอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นแนวทางที่แปลกแตกต่างออกไป ไม่เฉพาะจากแนวทางของรัฐบาลเก่าและของไอเอ็มเอฟเท่านั้น แต่จากแนวทางอื่นๆ ที่คนอื่นๆ เขาพูดกันมา สมกับคำโฆษณาของพรรคว่า ตนเป็นพวกที่ "คิดใหม่ ทำใหม่" บทความนี้จะประเมินว่า แนวทางคิดใหม่ทำใหม่ที่รัฐบาลไทยรักไทยนำมาบริหารเศรษฐกิจนั้น เป็นแนวทางที่สามารถทำให้เศรษฐกิจฟื้นฟูได้จริงหรือไม่ และที่สำคัญกว่านั้นฟื้นฟูได้อย่างถาวรหรือไม่

ผมขอเกริ่นข้อสรุปแต่เริ่มแรกเลยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยกระเตื้องขึ้นจริง แต่ผมยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความยั่งยืนของการขยายตัวในระยะยาว แต่เนื่องจากแกนนำรัฐบาลชอบอ้างว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเกิดจากการ "คิดใหม่ ทำใหม่" ของตน

โจทย์ย่อยอีกข้อหนึ่งของผมจึงเป็นคำถามว่า ผลสำเร็จเท่าที่มีนั้นเกิดจากสาเหตุเช่นว่านี้หรือจากแนวนโยบายแบบเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรใหม่ คำตอบที่ผมจะพยายามแสดงให้เห็นข้างหน้านี้คือ เท่าที่ประสบผลสำเร็จนั้นก็มาจากแนวเก่าทำเก่า ขณะนี้ยังไม่ประจักษ์ชัดว่า นโยบายส่วนที่เป็นการคิดใหม่ทำใหม่นั้นจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ แต่มีข้อพึงระวังบางประการว่าจะสร้างปัญหาได้ในอนาคต เมื่อคิดใหม่ทำใหม่ก็ย่อมต้องเสี่ยงต่อการมีปัญหาใหม่ได้เสมอ

สิ่งที่ประจักษ์ชัดในช่วงปีที่ผ่านมานี้ก็คือ เศรษฐกิจไทยได้กระเตื้องขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และการกระเตื้องขึ้นนี้ส่วนใหญ่ก็มาจากการขยายตัวของการบริโภคของประชาชน สมกับเจตนารมณ์ที่รัฐบาลมีไว้แต่ต้นที่จะให้การขยายตัวของประเทศขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก(ความจริงแล้ว การส่งออกก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจโลกยังตกต่ำอยู่ ถือว่าเป็นโบนัส) สาเหตุหนึ่งของการขยายตัวในการบริโภคก็คือนโยบายการคลังที่ผ่อนคลาย แต่นโยบายการคลังที่ผ่อนคลายนั้นก็ไม่ใช่ของใหม่ที่มากับรัฐบาลนี้ แต่เป็นนโยบายที่ทำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รัฐบาลประชาธิปัตย์แล้ว เพียงแต่ว่ารัฐบาลนี้ดูจะทุ่มเทมากเป็นพิเศษ

ถ้าพิจารณาแต่เฉพาะตัวเลขจากงบประมาณแผ่นดินแต่เพียงอย่างเดียว การขาดดุลของรัฐบาลก็ดูไม่น่าตกใจเท่าใดและไม่แตกต่างไปจากสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์เท่าใดนัก การขาดดุลในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์นั้นเฉลี่ยประมาณปีละ 2.23 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ตัวเลขของรัฐบาลนี้จะตกร้อยละ 2.38 ต่อปี (ดูตารางที่ 1 ช่องที่สอง)

ตารางที่ 1

การใช้จ่ายเกินรายได้ของรัฐบาลคิดเป็นร้อยละของรายได้ประชาชาติ
ปีงบประมาณ การขาดดุลงบประมาณ การใช้จ่ายนอกงบประมาณ* รวม อัตราการขยายตัว
2541 2.34 0.30 2.74 910.5
2542 2.42 1.84  4.26 4.4
2543 2.11 1.41 3.52 4.6
2544  2.17 0.82 2.99 1.8
เฉลี่ย 2541-2544 2.25 1.20 3.43 -
2545 2.38 1.64 4.04 >0.5

หมายเหตุ * เท่ากับการใช้จ่ายจากเงินกู้ต่างประเทศบวกด้วยเงินกู้จากธนาคารออมสินเพื่อกองทุนหมู่บ้าน

ที่มา: สำนักงบประมาณและสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ตัวเลขเงินที่กู้จากธนาคารออมสินได้จากธนาคารแห่งประเทศไทย ตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

แต่ตัวเลขนี้จะไม่รวมเงินนอกงบประมาณบางรายการ รายการแรกก็คือการใช้จ่ายของรัฐบาล อันเกิดจากเงินที่กู้ยืมมาจากต่างประเทศ (ซึ่งตามประเพณีปฏิบัติแล้วจะอยู่นอกงบประมาณ) ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ส่วนนี้จะเท่ากับร้อยละ 1.2 ของรายได้ประชาชาติต่อปี(เฉลี่ยปีงบประมาณ 2541 ถึง 2544) แต่เริ่มตั้งแต่ปลายๆ สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ไทยเลิกกู้เงินจากต่างประเทศ และหันมากู้ในประเทศแทน ในปีงบประมาณ 2545 ซึ่งเป็นปีแรกที่รัฐบาลไทยรักไทยเป็นผู้กำหนดงบประมาณ ส่วนของการใช้จ่ายที่ใช้เงินกู้จากต่างประเทศได้ตกลงเหลือเพียงร้อยละ 0.4 ของรายได้ประชาชาติต่อปี

ปกติแล้ว การใช้จ่ายจากเงินที่กู้ภายในประเทศจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณแผ่นดิน กระนั้นก็ตามรัฐบาลชุดนี้ก็ยังพยายามซุกบางส่วนที่กู้จากในประเทศโดยไม่ให้ปรากฏในงบประมาณ ส่วนหนึ่งที่พอจะประมาณการได้คือ เงินกองทุนหมู่บ้านนั้นเป็นการใช้จ่ายออกไปของรัฐบาลกลาง แต่กระทรวงการคลังก็ใช้วิธีกู้เงินจากธนาคารออมสิน โดยมีสัญญาว่าจะจ่ายคืนภายในระยะเวลา 8 ปี เงินดังกล่าวที่ได้ใช้ไปนั้นตกประมาณ 65,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2545 หรือร้อยละ 1.2 ของรายได้ประชาชาติ

ดังนั้น เมื่อรวมรายการนอกงบประมาณที่เป็นการใช้จ่ายอย่างแน่นอนเข้าไปกับการขาดดุลในงบประมาณแผ่นดินแล้วก็จะเห็นว่า การอัดฉีดเงินเพิ่มเข้าไปในเศรษฐกิจโดยภาครัฐจะเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 3.43 ของรายได้ประชาชาติในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ และร้อยละ 4.04 ในปีงบประมาณ 2545 ในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย แต่ตัวเลขเฉลี่ยในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์นั้นอาจซ่อนการเปลี่ยนแปลงสูง โดยเฉพาะในปีงบประมาณ 2542 นั้น การอัดฉีดจากภาครัฐได้เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 4.26 ของรายได้ประชาชาติ สูงกว่าในยุครัฐบาลไทยรักไทยด้วยซ้ำ

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงปลายๆ รัฐบาลประชาธิปัตย์ รัฐบาลก็ได้ชะลอการขาดดุลในรูปแบบต่างๆ ลง ส่วนหนึ่งก็เพราะตายใจว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นอยู่ ซึ่งก็เป็นความจริง แต่ทว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงนั้นอาศัยการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นตัวหลัก เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มโน้มต่ำลง ซึ่งบังเอิญเป็นเวลาเดียวกันกับที่พรรคไทยรักไทยเข้ามาบริหารประเทศ(โดยยังต้องอาศัยงบประมาณที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ตั้งไว้เป็นหลัก) อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจก็กลับลดลงมาเหลือแค่ร้อยละ 1.8 ดังนั้น รัฐบาลนี้ก็มีเหตุผลที่จะต้องออกแรงกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นอีกด้วยการเพิ่มการขาดดุล

นอกจากการใช้จ่ายตามที่ลำดับไว้ในตารางที่ 1 รัฐบาลนี้ได้ใช้สถาบันการเงินของรัฐเสริมกำลังมาตรการการคลังอีกอย่างกว้างขวาง ซึ่งมีโอกาสสร้างภาระต่อผู้เสียภาษีได้ในอนาคต อาทิ

การให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรพักชำระหนี้สินของเกษตรกร วงเงินที่เกษตรกรเลือกใช้สิทธิการพักชำระหนี้ประมาณกว่า 50,000 ล้านบาท

การตั้งสถาบันการเงินใหม่เพื่อปล่อยกู้แก่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง และการกระตุ้นให้สถาบันการเงินปล่อยกู้แก่ธุรกิจประเภทนี้มากขึ้น ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะตั้งเป้าไว้สูง แต่ปรากฏว่าในขณะนี้ยังมีผู้มาใช้บริการค่อนข้างจำกัด

การผลักดันให้สถาบันการเงินของรัฐเพิ่มปริมาณเงินกู้ให้มากขึ้น ในขั้นนี้ยังไม่สามารถประเมินว่าที่ให้กู้ออกไปนั้นรวมเป็นวงเงินเท่าใด เพราะข้อมูลสินเชื่อที่ปล่อยออกจากธนาคารของรัฐถูกกระทบกระเทือนจากการโอนหนี้เสียไปยังบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.) และยังไม่สามารถแยกผลกระทบจากการโอนดังกล่าวออกจากการเปลี่ยนแปลงในสินเชื่อปกติได้

มาตรการเหล่านี้สร้างความเสี่ยงให้กับการคลังในอนาคต ผมจะขอกลับมากล่าวถึงปัจจัยเสี่ยงนี้อีกข้างหน้า แต่ในขั้นนี้ คงไม่มีใครเถียงได้ว่ามาตรการทั้งหมดนี้รวมทั้งมาตรการการคลังที่กล่าวมาแล้ว ย่อมจะส่งแรงกระตุ้นให้กับเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ผลที่เกิดขึ้นก็สมความปรารถนา ก็คืออัตราการขยายตัวในปีนี้อาจเพิ่มเกินร้อยละ 5 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดตั้งแต่เกิดวิกฤตเป็นต้นมา ทั้งๆ ที่สภาพเศรษฐกิจโลกกำลังตกต่ำลง นับได้ว่าเป็นผลสำเร็จชิ้นหนึ่งของรัฐบาลนี้ แต่เป็นผลสำเร็จที่เกิดจากทฤษฎีเก่าๆ ของเคนส์ ซึ่งรัฐบาลเก่าก็ได้นำมาใช้เช่นกัน มิได้เกิดจากการ "คิดใหม่ ทำใหม่" แต่ประการใด

พึงสังเกตด้วยว่า แรงกระตุ้นที่ทำให้เศรษฐกิจโตขึ้นในปีนี้ในอัตราที่สูงมิได้เกิดจากการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลแต่ถ่ายเดียว แต่จากแรงกระตุ้นจากอีกสองแหล่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับการเพิ่มการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลไทยรักไทยด้วย

แรงกระตุ้นแรกได้แก่ อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ของประเทศไทย(ซึ่งเป็นแนวโน้มที่รัฐบาลนี้พยายามต่อต้าน จนกระทั่งเราต้องสูญเสียผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไปคนหนึ่ง) อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำนี้มิได้กระตุ้นการลงทุนก็จริงอยู่ แต่ก็มีผลกระทบต่อการบริโภคของประชาชน โดยเฉพาะเมื่อรวมกับการที่สถาบันการเงินเกือบจะทุกราย ต่างหันมาให้ความสนใจกับการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้บริโภคแทนผู้ประกอบการ ด้วยเหตุนี้ ตัวผลักดันเศรษฐกิจในปีนี้โดยหลักๆ จึงเป็นอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ถาวร หรือที่จะอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ เช่น รถยนต์ ที่อยู่อาศัย เป็นต้น

แรงกระตุ้นตัวที่สองนั้นก็เกิดในกลุ่มสินค้าเดียวกันอีก ทั้งนี้เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ได้ชะลอการซื้อสินค้าถาวรเหล่านี้ เพราะไม่มีความมั่นใจในเศรษฐกิจ การชะลอนี้จะมีขีดจำกัดของมัน ถึงจุดหนึ่งจะอัดอั้นต่อไปไม่ได้ เมื่อเริ่มซื้อก็จะมีแรงทับถมจากการชะลอการซื้อในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา จึงทำให้การขยายตัวในปีนี้มีความรุนแรงเป็นพิเศษ

แรงกระตุ้นสองตัวนี้เป็นสาเหตุที่การขยายตัวในอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ทัดเทียมกัน หรือ "ฝนตกไม่ทั่วฟ้า" อย่างที่คุณโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารของธนาคารกรุงเทพ กล่าวไว้

เมื่อการบริโภคขยายตัวด้วยปัจจัยเหล่านี้ ก็จะต้องตั้งคำถามว่าจะเป็นการขยายตัวที่ยั่งยืนหรือไม่ ส่วนที่ขยายตัวจากแรงอัดอั้นนั้นคงจะไม่ถาวรแน่นอน ในไม่ช้าแรงอัดอั้นดังกล่าวก็จะหมดสิ้นไป ส่วนที่เกิดจากการที่ดอกเบี้ยต่ำนั้นดูเผินๆ อาจจะถาวรกว่า เพราะมองไปข้างหน้ายังไม่เห็นแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น(แต่ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นก็ยังมีอยู่) กระนั้นก็ตาม ขณะนี้มีกระแสที่ค่อนข้างแรงจากสถาบันการเงินต่างๆ ที่จะปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้บริโภค ถึงจุดๆ หนึ่งผู้บริโภคก็จะเริ่มมีหนี้สินเกินควร และจะเริ่มจำกัดการกู้ยืมลง

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลอาจมีความจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายการคลังประคับประคองเศรษฐกิจไปอีกตราบเท่าที่การลงทุนโดยคนไทยยังไม่ฟื้นขึ้น และขณะนี้ถึงแม้ว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ดี ก็ยังไม่เห็นแนวโน้มว่าการลงทุนจะเพิ่มขึ้น

เพื่อกระตุ้นการลงทุน รัฐบาลไทยรักไทยใช้มาตรการสองด้าน สำหรับนายทุนขนาดใหญ่มากรายที่ประสบความหายนะจากการลดค่าเงินบาท และไม่อยู่ในฐานะที่จะกู้เงินมาลงทุนต่อไปได้ รัฐบาลก็ได้ใช้บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยเป็นเครื่องมือในการลดหนี้ให้ ขณะเดียวกันธนาคารของรัฐก็ได้ขานรับนโยบายของรัฐ โดยการโฆษณาว่าจะให้เหล่าลูกหนี้เอ็นพีแอลทั้งหลาย "คืนสู่เหย้า" โดยจะปล่อยสินเชื่อให้คนเหล่านี้ ยกเว้นการโฆษณาหาลูกค้าเอ็นพีแอลนี้แล้ว รัฐบาลดูจะดำเนินนโยบายส่วนนี้ไปอย่างเงียบๆ ทั้งๆ ที่วงเงินต่อรายที่มีการยกหนี้นั้นคิดกันเป็นหลักพันล้านหรือหมื่นล้านบาท

แต่ส่วนที่เป็นข่าวอยู่เนืองๆ ก็คือนโยบายของรัฐที่พุ่งเป้าไปยัง "รากหญ้า" นโยบายส่วนนี้อาศัยหลากหลายมาตรการ เช่น การปล่อยสินเชื่อและสร้างองค์กรใหม่ๆ มาเพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดย่อมและขนาดกลาง โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ของเล่นสุดท้ายที่รัฐบาลคิดจะนำมาใช้ก็คือ ความคิดที่จะแปรสินทรัพย์ของคนจนให้เป็นทุน โดยให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่างๆ อย่างเป็นทางการ เพื่อสามารถนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์เพื่อค้ำประกันเงินกู้ได้ ตามแนวข้อเสนอของนายเออร์นาน เดอ โซโต พรรคไทยรักไทยดูจะภูมิใจในมาตรการเหล่านี้มาก และถือว่าเป็นจุดขายใหญ่ของพรรคและเป็นนวัตกรรมหลักของรัฐบาลนี้

ความจริงแล้ว ความพยายามที่จะกระตุ้นธุรกิจขนาดย่อมและขนาดกลางนั้นมีมาแต่นานแล้ว และได้มีการศึกษา และรายงานวิจัยออกมาแล้วหลายปึ๊ง งานเหล่านี้ล้วนก็จะมีข้อสรุปว่า ปัญหาของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางนั้นมีมากมาย ปัญหาเรื่องขาดแคลนสินเชื่อเป็นแต่เพียงปัญหาหนึ่ง และมิใช่เป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดด้วย แต่ทุกครั้งที่ผ่านมา สิ่งที่มักจะได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลก็คือ การเปิดโครงการสินเชื่อใหม่ขึ้น การให้สินเชื่อดูจะเป็นกิจกรรมเดียวที่รัฐบาลไทย(ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน)ทำเป็น ส่วนการแก้ปัญหาอื่นๆ ของธุรกิจขนาดย่อม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านการตลาด ด้านทรัพยากรมนุษย์ ทางด้านบริหารจัดการนั้น ไม่ควรหวังที่จะให้เหล่ามนุษย์เงินเดือนที่นั่งโต๊ะทำงานตามสถานราชการให้คำแนะนำและความสว่างแก่ผู้ประกอบการได้สำเร็จ

ในกรณีที่ธุรกิจเหล่านี้เป็นธุรกิจที่ตั้งขึ้นใหม่ การอาศัยสินเชื่อจะยิ่งเป็นของอันตราย เพราะเหตุว่า  ธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่นั้นเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง และมีอัตราการตายสูงตามมาด้วย การที่สนับสนุนให้ธุรกิจเหล่านี้กู้เงินมาใช้ในกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ก็ย่อมเป็นการสร้างปัญหาให้สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้

รัฐบาลนี้ก็ดูจะพยายามทำงานด้านนี้หลายด้านในลักษณะบูรณาการ แต่ก็ยังมีการทุ่มเทสินเชื่อ (รวมทั้งการแปรสินทรัพย์เป็นทุนตามแนวของนายเดอโซโต) เป็นมาตรการหลักอยู่ นอกจากนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อบางส่วนของรัฐบาลพยายามที่จะผลักดันให้มีการปกป้องธุรกิจขนาดย่อมในกิจการค้าปลีก นายกรัฐมนตรีก็ให้ระงับเรื่องไว้ โดยให้เหตุผลที่น่าสนใจว่า ไม่อยากให้เสียบรรยากาศการลงทุน(โดยธุรกิจขนาดใหญ่)

รวมความแล้ว รัฐบาลชุดนี้กำลังสนับสนุนการก่อหนี้ขึ้นในทุกระดับ โดยรัฐบาลเองด้วยมาตรการขาดดุลงบประมาณ และในระดับรากหญ้าโดยให้กู้ไปลงทุนในธุรกิจใหม่ พวกเดียวที่รัฐบาลกำลังให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจังในทางกลับกันคือ เหล่าคนรวยที่กำลังได้รับการลดหนี้จากบรรษัทบริหารสินทรัพย์

การก่อหนี้นั้นในตัวมันเองไม่เสียหายอะไร ตราบใดที่อัตราการก่อหนี้นั้นไม่อยู่ในระดับสูงเกินไป อย่างน้อยก็ไม่สูงเกินกว่า อัตราการขยายตัวของรายได้ ซึ่งหมายความว่าลักษณะการลงทุนนั้น จะต้องให้ผลตอบแทนมากพอ การที่ผู้ลงทุนต่างๆ ในประเทศไทย(ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจใหญ่ กลางหรือเล็ก) จะเลือกเฟ้นลงทุนในโครงการที่มีผลตอบแทนดีนั้น หาได้ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐแต่อย่างเดียวไม่

จริงอยู่ รัฐบาลนี้มีซีอีโอที่มิได้เป็นมนุษย์เงินเดือน และที่เข้าใจธุรกิจและการลงทุนเป็นอย่างดี แต่ก็มิได้หมายความว่าท่านจะให้คำแนะนำได้เป็นรายๆ ไปว่าควรจะลงทุนในกิจการใดบ้าง ในที่สุดแล้วผู้ที่จะตัดสินใจลงทุนก็จะต้องตัดสินใจเสี่ยงเอง การใช้คำว่า "เสี่ยง" นั้นหมายความว่าถ้าการลงทุนนั้นได้ผลดีเกินคาด ผู้ลงทุนก็มีสิทธิเก็บเอาผลกำไรส่วนเกิน(เหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณก่อนที่ท่านจะลงมาเล่นการเมือง) แต่ถ้าการลงทุนนั้นไม่ให้ผล ผู้ลงทุนก็ต้องยอมรับความเสียหายที่เกิดขึ้น นี่คือวินัยที่สำคัญมากส่วนหนึ่งของระบบนายทุน และวินัยนี้ยิ่งมีความจำเป็น เมื่อผู้ลงทุนมิได้ใช้เงินของตนเอง แต่ใช้เงินของผู้อื่นมาลงทุน ไม่ว่าแหล่งเงินเหล่านี้จะมาจากผู้ฝากเงินในธนาคาร จากผู้เสียภาษีอากร หรือแม้กระทั่งจากนักลงทุนในตลาดหุ้น

บทเรียนที่คนไทยทุกคน(ทั้งรวยและจน) ควรจะได้จากวิกฤตเศรษฐกิจก็คือ การทำธุรกิจ(ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก) อย่างไม่รอบคอบระมัดระวัง โดยอาศัยเงินกู้เป็นตัวจักรนั้นจะนำมาซึ่งความหายนะต่อตนเอง และต่อประเทศชาติ ที่ความหายนะนั้นมิได้ตกเฉพาะกับผู้ลงทุนแต่กับผู้เสียภาษีทั้งประเทศก็เพราะระบบกฎหมาย และระบบธนาคารของเรามิได้สร้างวินัยเท่าที่ควรกับเหล่านักลงทุน

แนวนโยบายของรัฐบาลนี้มิได้ช่วยให้มีวินัยดังกล่าวแต่อย่างใด แต่วินัยน้อยนิดที่มีอยู่นั้น กำลังถูกกัดกร่อนให้ลดลงด้วยมาตรการต่างๆ อาทิ การสนับสนุนให้ธนาคารของรัฐให้กู้ตามเป้าหมายโดยไม่มีการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่ผู้กู้จะต้องเผชิญในอนาคต เป็นต้น

ถ้าพูดเช่นนี้ให้ท่านนายกรัฐมนตรีพหูสูตของเราฟัง และถ้าท่านยอมฟัง ก็จะได้รับการบริภาษกลับมาว่า การมองแบบนี้เป็นการมองจากประสบการณ์เก่าๆ เป็นการมองของคนที่ไม่รู้จักอนาคตศาสตร์ ที่ไม่เคยอ่านมหาครูที่ชื่อ บิล เกตส์ ที่ร่ำรวยได้เพราะเป็นมนุษย์ผูกขาด แต่ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลนี้มิได้มีวิสัยทัศน์ไกลไปกว่าการยกหนี้เก่าให้แก่คนรวย และการโปรยหนี้ใหม่ให้แก่คนในระดับรากหญ้า นโยบายนี้มาจากพรรคที่เคยหาเสียงว่า ภาระหนี้ของคนในระดับรากหญ้านั้นมีมากมายจนจำเป็นต้องมีการพักชำระหนี้ให้

ไม่ว่าจะมอง พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร คงจะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ท่านเป็นคนกล้าเสี่ยง กล้าทำ (ถ้าท่านไม่กล้าเสี่ยงในอดีต ท่านคงไม่ร่ำรวยมหาศาลเช่นนี้)  แต่ผมในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งอยากตั้งข้อสังเกตไว้ประการหนึ่งคือ ถ้าตัวท่านเองเสี่ยงเงินของท่าน หรืออนาคตทางการเมืองของท่าน ก็เป็นสิทธิของท่าน

แต่ควรหรือไม่ที่เราจะยอมให้ท่านฉุดให้คนไทยทั้งหลาย(โดยเฉพาะคนไทยในระดับรากหญ้าที่ท่านชอบกล่าวอ้างถึงอยู่เนืองๆ) ต้องรับความเสี่ยงใหม่ๆ ทั้งด้วยความสมัครใจ โดยการร่วมโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลได้ตั้งขึ้นมาด้วยความขยันหมั่นเพียร หรือโดยไม่สมัครใจเหมือนกับที่โดนมาแล้วในห้าปีที่ผ่านมา

 

กลับหน้าแรก