banner

E-LAW รอบรู้

Copyright

กลับไปที่ Main Page in English | หน้าหลัก (ไทย) | ดัชนีบทความ | ข้อกฎหมาย |

อเมริกันแสวงหาสิทธิในการเจาะระบบ

โดย นพมาศ ประสิทธิ์มณฑล



เรื่องที่นำเสนอต่อไปนี้เป็นข้อมูลความเครื่องไหวล่าสุด<31/07/02>ของอุตสหกรรมบันเทิงอเมริกัน ที่หาแนวทางป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ของงานที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจของตน เจ้าของลิขสิทธิ์ในอเมริกา ซึ่งได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมบันเทิง ผู้ผลิตภาพยนตร์ และเพลง ที่รู้จักกันว่า the Recording Industry Association of America และ the Motion Picture Association of America ได้ให้การสนับสนุนร่างกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับที่อยู่ในการพิจารณาของสภาผู้แทนสหรัฐอเมริกาในขณะนี้ โดยที่เนื้อหาของร่างกฎหมายดังกล่าว ได้ให้เสรีภาพแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ในการเจาะระบบคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ PCs ซึ่งน่าเชื่อว่าใช้ในการแลกเปลี่ยนไฟล์ในระหว่างเครือข่ายผู้ใช้ด้วยกันเอง ที่เรียกว่าSharing files over peer-to-peer (P2P) ทั้งนี้เจ้าของลิขสิทธ์ในงานเพลงหรืองานอื่นที่อยู่ในรอิเล็กทรอนิกส์ สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกฟ้องร้อง หรือ เกรงว่าจะเป็นการกระทำซึ่งละเมิดกฎหมาย

ร่างกฎหมายนี้ กล่าวโดยย่อว่า " เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่มีความรับผิด ทางอาญาและทางแพ่ง ในกรณีกระทำการยับยั้ง, แทรกแซง, และ ปิดกั้น การแจกจ่ายโดยมิได้รับอนุญาต โดยชอบธรรม, การเล่น, การแสดง งานของเจ้าของสิขสิทธิ์ในสาธารณสถาน ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ ในระบบเครือข่ายการค้าข้อมูล หรือไฟล์ในระหว่างผู้ใช้ด้วยกันเอง (a publicly accessible P2P file-trading network) กล่าวกันโดยทั่วไปว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในการจัดการกับธุรกิจทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนไฟล์เพลง และภาพยนตร์ ในทำนองเดียวกับเนปสเตอร์ ซึ่งเพิ่งล้มละลายไปเมื่อต้นปีจากการต่อสู้คดีละเมิดลิขสิทธิ์กับบริษัทเพลงและภาพยนตร์เจ้าของลิขสิทธิ์ ในงานที่ผู้ใช้บริการนำมาแลกเปลี่ยนกันที่เว๊บของเนปสเตอร์ อย่างไรก็ดี เป้าหมายที่ถูกจับตามองตามร่างกฎหมายดังกล่าว น่าจะเป็น เว๊บแลกเปลี่ยนไฟล์ ที่มาชื่อว่า KaZaA "คาซ่าเอ" ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทSharman Networks สัญชาติออสเตรเลีย แน่นอนว่าไม่อยู่ภายใต้กฎหมายอเมริกัน ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องลำบากไม่น้อยหากจะดำเนินคดีกับบริษัทคาซ่าเอนี้ คงไม่ง่ายเหมือนการจัดการกับเนปสเตอร์

ในขณะที่ คาซ่าเอได้ออกมาตอบโต้ร่างกฎหมายอเมริกันดังกล่าวว่า ร่างกฎหมายนี้เป็นความพยายามที่จะทำให้การกระทำที่ผิดกฎหมาย (การเจาะระบบ หรือ Hacking) เป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย ทั้งที่การกระทำดังกล่าวเป็นการล่วงละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว (privacy) และสิทธิอื่น ๆ ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ (PC users) คาซ่าเอกล่าวต่อไปว่า " เราขอให้ผู้ใช้และผู้สนับสนุนการคิดค้นเทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ ติดต่อกับครองเกรสอเมริกัน และ ประท้วงความพยายามของกลุ่มอุตสาหกรรมบันเทิงกลุ่มนี้ที่ต้องการหาประโยชน์จากข้อยกเว้นของกฎหมาย"

ร่างกฎหมายดังกล่าวได้ถูกเสนอโดย ผู้แทนจากแคลิฟเฟอร์เนียเดโมเครต นาย Howard Berman และผู้แทนจากเนอร์ทแคโรไลน่ารีพับบลิกัน นาย Howard Coble ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวให้การคุ้มกันเจ้าของลิขสิทธิ์ จากข้อกล่าวอ้างใด ๆ ของเจ้าของหรือ ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เจ้าของลิขสิทธิ์ได้ยื่นคำขอต่อการกระทำดังกล่าวต่อพนักงานอัยการภายใน 7 วัน ทั้งนี้เจ้าของลิขสิทธ็ต้องชี้แจงด้วยว่าจะใช้วิธีใดในการเจาะระบบ เป็นต้นว่า ใช้เวิร์ม หรือ การปฎิเสธการให้บริการ แต่ข้อมูลดังกล่าวไม่จำเป็นต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน

อย่างไรก็ตาม เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการขัดขวาง หรือแทรกแซงระบบการทำงานโดยทั่วไปของการทำงาน ของเครื่องคอมพิวเตอร์เป้าหมาย เว้นเสียแต่ว่า อาจจะมีความจำเป็นที่สมเหตุผล ในการป้องกันงานอันมีลิขสิทธิ์ของตน ซึ่งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นช่องโหว่ของกฎหมาย ที่ทำให้เกิดการขัดขวางระบบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลโดยทั่วไป เพราะระบบการทำงานนั้นรวมถึง ฮาร์แวร์ อันได้แก่ ชิฟในการประมวลผล (processor chip) อาจก่อให้เกิดการโจมตีอินเทอร์เน็ตเราท์เตอร์ (Internet routers) รวมถึงการลบไฟล์ของผู้ใช้ ซึ่งใช้โปรแกรมการแลกเปลี่ยนไฟล์

นอกจากนี้เจ้าของคอมพิวเตอร์ที่ถูกเจาะระบบโดยการกระทำของเจ้าของลิขสิทธิ์ดังกล่าว ไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ หากว่าความเสียหายไม่เกิน $US50 สำหรับความเสียหายที่เกินกว่า $US 250 ผู้เสียหายต้องอุทธรณ์ต่อ พนักงานอัยการภายใน 120วัน เพื่อวินิจฉัยว่าคำร้องของผู้เสียหายมีมูลที่จะยื่นฟ้องต่อศาลสรัฐอเมริกาต่อไป อย่างไรก็ตาม พนักงานอัยการสามารถไม่อนุญาตให้เจ้าของลิขสิทธิ์ใช้สิทธิในการเจาะระบบเช่นว่านั้น หากว่าการกระทำดังกล่าวปราศจากเหตุผล ที่เห็นได้ว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้น

ความจริงแล้วไม่น่าแปลกใจอะไร ที่กลุ่มอุตสหกรรมบันเทิงอเมริกันกลุ่มนี้จะสนับสนุนร่างกฎหมายในลักษณะที่ปกป้องผลประโยชน์อย่างสุดโต่ง โดยลืมที่จะพิจารณาถึงสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกชนอื่นๆ เพราะเป็นที่รู้กันว่าอุตสาหกรรมบันเทิงอย่าง Holywood ทำเงินเข้าสหรัฐอเมริกันปีละนับหมี่นหมื่นล้านดอลล่าห์ ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นการเอาอกเอาใจภาคธุรกิจบันเทิงเป็นพิเศษอย่างที่ให้อำนาจพนักงานอัยการเท่านั้นในการพิจารณาอนุญาตการเจาะระบบของเจ้าของลิขสิทธิ์ ทั้งที่อย่างน้อยควรที่จะเป็นอำนาจของศาลในการที่จะออกหมาย หรือให้อนุญาตในการกระทำอันหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดต่อสิทธิส่วนบุคคล ทั้งนี้รวมถึงสิทธิอื่นภายใต้รัฐธรรมนูญของสหรัฐเองด้วย

ถ้าร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านครองเกรสอเมริกันจริง ๆ ก็น่าพิจารณาปฎิกริยาของประเทศอื่น ในเรื่องการละเมิดต่อสิทธิส่วนบุคคล ที่เป็นไปได้ว่าจะต่อต้านการออกกฎหมายในลักษณะดังกล่าว จริงอยู่ว่าตามกฎหมายอเมริกันที่ว่า บริษัทเพลงอเมริกันมีสิทธิตามกฎหมายเจาะระบบลูกค้าชาวอเมริกันของเนปสเตอร์ อาจไม่มีความผิดตามร่างกฎหมายดังกล่าว แต่ท่านลองพิจารณาดูว่า ถ้าบริษัทอเมริกันไปแฮคระบบลูกค้าชาวเยอรมันของคาซ่าเอซึ่งเป็นออสซี่ เรื่องคงยุ่งน่าดู ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศทางยุโปมีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection) ที่ค่อนข้างจะเข้มงวดกับภาคธุรกิจในการจัดการกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการทางอินเทอร์เน็ต การอนุญาตให้เจาะระบบตามกฎหมายอเมริกันอาจเป็นความผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญาของประเทศอื่น ๆก็ได้ อย่างที่กล่าวเสมอว่า ไซเบอร์สเปซไม่มีเขตแดนที่แน่นอน การร่างกฎหมาย การออกกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายจึงกลายเป็นเรื่องยาก รัฐบาลของหลายประเทศทำได้ดีที่สุด ก็คือ รักษาผลประโยชน์ของประเทศ และการให้ความคุ้มครองภาคธุรกิจและผู้บริโภคของประเทศตนให้ดีที่สุด อย่างที่รัฐบาลอเมริกันกำลังทำอยู่นั้นเอง



Date Created: 07-Aug-2002
Last Modified: 07-Aug-2002
Author: Noppramart Prasitmonthon
Email: nop_elaw@hotmail.com
© Copyright นพมาศ ประสิทธิ์มณฑล 2001-2002

กลับไปที่หน้าแรก
กลับไปหน้าดัชนีบทความ