กฎหมายไทยไปไกลแค่ไหนในโลกไซเบอร์สเปซ
โดย นพมาศ ประสิทธิ์มณฑล
"สวัสดีครับ
ผมพบเห็น Web Site ของคุณแล้วสนใจข้อมูลที่คุณมีครับ คือว่า ผมอยากทราบข้อมูลที่เกี่ยวกับคำพิพากษาในศาลใด ๆ ในโลกนี้ครับ ว่ามีศาลใดหรือไม่ มีคำพิพากษาเกี่ยวกับ การโฆษณาค้าขายสินค้าที่เป็นความผิด บนอินเตอร์เน็ตแล้วเป็นความผิด เช่น หากกฎหมายของไทยห้ามขายปืนโดยไม่มีใบอนุญาต แล้วคนไทยเปิดไปพบ เช่นนี้จะเป็นความผิดหรือไม่?
หากมีการตัดสินดังกล่าวไป แนวคำตัดสินเป็นอย่างไร มีรายละเอียดหรือไม่ และสามารถใช้กับศาลไทยได้หรือไม่ สุวิรัช"
31 มกราคม 2545 (เน้น โดยผู้เขียน)
คำถามของท่านผู้อ่านท่านนี้ น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวพันในเรื่องความมีผลบังคับใช้ของกฎหมายของแต่ละประเทศ ในโลกไซเบอร์สเปซ หรือที่บางครั้ง เรียกกันว่า โลกไร้พรมแดน (ทางกายภาพ และ โดยไม่รัฐใดรัฐหนึ่งมีอำนาจเหนือไซเบอร์สเปซ โดยเฉพาะเจาะจง) คงต้องทำความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า การที่หลายท่านกล่าวว่า หรือได้ยินมาว่า ไซเบอร์สเปซ เป็นดินแดนไร้กฎหมาย กล่าวคือ ไม่มีกฎหมายใดสามารถควบคุมความสงบเรียบร้อย หรือควบคุมพฤติกรรมของชาวเน็ต (Netizen) นั้น ผู้เขียนเห็นว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะปัญหาที่แท้จริงในการบังคับใช้กฎหมายในโลกไซเบอร์สเปซนั้น คือ มีกฎหมายของหลายประเทศที่เกี่ยวข้อง ทับซ้อนกันมากมาย จนไม่รู้ว่า ควรใช้กฎหมายของประเทศใดมาปรับใช้กับปัญหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งปัญหานี้เรียกภาษากฎหมายว่า ปัญหาการขัดกันของกฎหมาย/Law of Conflict หรือ Jurisdiction Question or Choice of Laws
หลักกฎหมายขัดกันนั้น เป็นหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศก็จะมีหลักกฎหมายขัดกันที่แตกต่างกันไม่มากก็น้อย แต่แบ่งได้เป็นหลักใหญ่โดยพิจารณาจากหลักกฎหมายขัดกันในกลุ่มประเทศคอมมอนลอว์ เช่น อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย กับหลักของกลุ่มประเทศซิลวิลลอว์ เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส แม้ว่าหลักกฎหมายของสองกลุ่มกฎหมายนี้จะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่อาจกล่าวได้ว่า หลักกฎหมายขัดกัน นั้นมีวัตถุประสงค์เดียวกันที่จะตอบปัญหากฎหมายต่อไปนี้
- ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีนั้นหรือไม่ หรือ คดีอยู่ในเขตอำนาจศาลหรือไม่
- กฎหมายใด หรือกฎหมายของประเทศใดจะเป็นกฎหมายที่ใช้ในการพิจารณาคดี
- หากศาลตัดสินคดีไปแล้ว คำพิพากษาของศาลจะมีผลบังคับในอีก ประเทศหนึ่งหรือไม่
เช่น ศาลไทยตัดสินคดีนาย BOB ซึ่งค้าอาวุธปืนทางอินเตอร์เน็ตโดยไม่มีใบอนุญาต ว่า เป็นความผิด และมีโทษทั้งจำทั้งปรับ แต่ปัญหา ก็คือ จำเลยไม่มีภูมิลำเนาทรัพย์สิน อันอาจบังคับคดีได้ในประเทศไทย ถามว่า คำพิพากษาของศาลไทยดังกล่าว จะมีผลบังคับในต่างประเทศซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่หรือไม่ หรือ ศาลแห่งรัฐนิวยอร์ก ที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จะรับบังคับคดีให้ ตามคำพิพากษาของศาลไทยหรือไม่จริงอยู่ว่าหลักกฎหมายขัดกันข้างต้น นั้นเป็นหลักที่ใช้ในการแก้ปัญหากฎหมายระหว่างประเทศ ในทางกายภาพ กล่าวคือ เราทราบแน่ชัดว่า มูลคดีเกิดที่ไหน ความเสียหายเกิดขี้นที่ไหน ทราบที่อยู่ที่ทำการของโจทก์และ จำเลยแน่นอน ในขณะที่ไซเบอร์สเปซ เป็นโลกเสมือนจริง หรือ virtual world ไม่มีใครทราบอาณาเขตแน่นอน ของดินแดนเสมือนจริงแห่งนี้ แม้ผู้สร้างเว๊บไซต์เอง ก็ไม่อาจคาดคิดว่า จะมีคนจากประเทศไหนบ้าง ที่จะดึงข้อมูลจากเว๊บไซต์ที่ตนสร้างมาดู เว้นแต่กรณีที่ผู้สร้างเว๊บไซต์ต้องการจำกัดประเภท หรือจำนวนของผู้เข้าชมจริง ๆ ก็สามารถทำได้และ อาจทราบได้ว่าผู้ชมของตน คือเป็นคนกลุ่มไหน ก็เพราะความไม่สามารถทราบได้ถึงอาณาเขตที่แน่นอนของไซเบอร์สเปซ ปัญหาความไม่แน่นอนถึงความมีผลบังคับใช้ของกฎหมาย จึงเกิดขึ้น ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีกฎหมายใช้บังคับ แล้วก็คงจะพูดไม่ได้ว่า กฎหมายของทุกประเทศในโลกนี้ มีผลใช้บังคับในทุกกรณีที่เกิดขึ้นในไซเบอร์สเปซ ผู้เขียนเห็นว่ากฎหมายภายในของประเทศใดประเทศหนึ่ง จะมีผลใช้บังคับได้ในดินแดนเสมือนจริงนี้แค่ไหน คงต้องพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องเป็นกรณี ๆ ไป ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าหลักดั้งเดิมของกฎหมายขัดกันนั้น ต้องนำมาใช้พิจารณาเทียบเคียง ในการแก้ปัญหาความไม่ชัดเจน การทับซ้อนกันของกฎหมาย ในปัญหาที่เกิดขี้นในไซเบอร์สเปซด้วย
เนื่องจากเรื่องการขัดกันของกฎหมาย ในไซเบอร์สเปซยังใหม่มากสำหรับประเทศไทย ผู้เขียนเอง ต้องยอมรับว่า ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า มีคดีที่เกี่ยวข้องกับกระทำผิด หรือจำเลยที่อยู่ต่างประเทศถูกกล่าวหา ว่ากระทำความผิดตามกฎหมายไทย ขึ้นสู่ศาลไทยบ้างหรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบ เมื่อสองปีที่แล้ว มีกรณีเว๊บไซต์ไทย ของพ่อค้าเชียงใหม่ซึ่งจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ออนไลน์ ปรากฎว่า มีชาวต่างประเทศแอบอ้างตัวเองว่า เป็น เจ้าของเว๊บไทยดังกล่าว แล้วขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลกับทางผู้จดทะเบียนโดเมนเนม หรือ INTERNIC โดยให้โอนเว๊บไซต์มาเป็นของตน อย่างไรก็ตามกรณีนี้ค่อนข้างชัดว่า ศาลไทยน่าจะมีอำนาจในการตัดสินคดี เพราะผู้เสียหาย คือเจ้าของเว๊บไซต์ตัวจริงอยู่ในประเทศไทย และเป็นคนไทย (พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความแพ่ง หรือ ปวพ ตามมาตรา 4(1), 4ตรี, 4ตรี วรรค หนึ่ง และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22(2), 23, 24) ส่วนผลของคดีเป็นอย่างไรนั้น ผู้เขียนมิได้ติดตาม
อย่างไรก็ตาม ปัญหากฎหมายข้างต้นนั้น ศาลต่างประเทศได้มีการพิจารณาคดี ที่เกี่ยวข้องกับความมีผลของกฎหมายต่อการกระทำบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจไปละเมิดกฎหมายของประเทศใดประเทศหนึ่ง ไว้แล้วเหมือนกัน ซึ่งผู้เขียนจะเลือกย่อเฉพาะคดีที่สำคัญ กล่าว เป็นคดีที่ใช้ศึกษาในแวดวงนักกฎหมาย IT ในต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคดีที่เกิดขึ้นในอเมริกา แต่ก็มิได้หมายความว่า ไม่มีคดีประเภทนี้ เกิดในประเทศอื่น คดีต่างประเทศที่เกี่ยวกับไซเบอร์สเปซเหล่านี้ อาจจะมีอิทธิพลต่อแนวการตัดสินของคดีศาลไทยไม่มากก็น้อย รวมทั้งอาจเป็นแนวทางในการปรับปรุง และ ออกกฎหมายอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีประสิทธิภาพในการใช้ในสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นโลกเสมือนจริงได้ดียิ่งขึ้น
ตัวอย่างคดีในสหรัฐอเมริกา : ที่เกี่ยวกับการมีผลบังคับใช้ของกฎหมายและการมีอำนาจของศาลในการพิจารณาคดี ที่กี่ยวกับการกระทำบนอินเทอร์เน็ต
Naxos Resources (U.S.A) Ltd. Southam Inc. No. CV 96-2314 WJR (MCx)(S.D. Cal. Aug. 16, 1996) คดีนี้ศาลพิจารณาเขตอำนาจศาล ในคดีหมิ่นประมาท ในกรณีของสิ่งพิมพ์ออนไลน์ ซึ่งทำการเผยแพร่ที่ Vankcouver Sun แต่โจทก์โต้แย้งว่า ตนสามารถดูบทความที่หมิ่นประมาทตนดังกล่าวได้ ทางเว๊บไซต์ของจำเลย โดยผ่านทางWestlaw และ Lexis ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลแคลิฟอร์เนีย ศาลได้วางหลักว่า "เพียงแค่การส่งข้อมูลผ่านโดยเครื่องมือสื่อสารระหว่างรัฐ ไม่เพียงพอที่จะพิจารณาได้ว่า ก่อให้เกิดอำนาจการในการพิจารณาโดยทั่วไป เหนือตัวผู้ส่งข้อมูล" อย่างไรก็ตาม ศาลได้ชี้ว่า หากว่า ผู้ส่งข้อมูลได้กระทำการอันมีเจตนา หรือเล็งเห็นผลถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ในรัฐเจ้าของศาล โดยที่ ผู้ส่งข้อมูลได้รู้และ เจตนาที่ให้ผลของการกระทำเกิดขึ้นในเขตอำนาจศาล ดังนี้แล้วศาลย่อมมีเขตอำนาจในการพิจารณาดดี
McDonough v Fallon McElligot, Inc., No. 95-4037, 1996 U.S. Dist Lexist 15139; 40 U.S.P.Q2D(BNA) 128(S.D. Cal. Aug. 5 1996) ศาลกล่าวว่า เพียงแค่การมีเว๊บเพจที่สามารถดูข้อมูลได้ในรัฐเจ้า ของศาล ไม่เป็นการเพียงพอที่จะพิจารณาว่า ศาลมีเขตอำนาจ โดยหลัก Personal Jurisdiction ในกรณีที่คดีมิได้เกี่ยวข้องกับเว๊บไซต์
State of Minnesota v Granite Gate Resorts, Inc., No. C6-95-7227 ศาลกล่าวว่า การกระทำทางอินเทอร์เน็ตของจำเลย เพียงพอที่จะพิจารณาว่า ศาลแห่งมินนาซอลต้ามีเขตอำนาจในการพิจารณาคดี เรื่องมีอยู่ว่า จำเลยมีสำนักทำการอยู่ที่ Nevada โดยประกอบกิจการเป็น ISP (Internet Service Provider) หรือ ผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ต จำเลยได้จัดทำเว๊บเพจเพื่อการโฆษณาการพนันออนไลน์ โดยใช้ชื่อว่า WagerNet ให้กับบริษัท Belize ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการให้บริการการพนันกีฬาระหว่างประเทศ โดยในจะมีที่เก็บข้อมูล หรือ เซอฟเวอร์ของตัวเองตั้งอยู่ที่ Belize โฆษณาดังกล่าวได้ทำการเชิญชวน ให้ผู้ที่สนใจจะเล่นการพนันออกนไลน์ติดต่อเพื่อทราบข้อมูลเพื่อเติมจากจำเลย ทั้งโฆษณาดังกล่าวได้มีคำเตือนให้ผู้ชมทำการปรึกษาเจ้าหน้าที่ราชการในท้องถิ่น ในประเด็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับการพนันทางโทรศัพท์ กับผู้จัดให้เล่นการพนันต่างประเทศ ก่อนที่ผู้ชมนั้นจะลงทะเบียนเพื่อเล่นการพนันออนไลน์ต่อไป นอกจากนี้โฆษณายังกล่าวด้วยว่า การให้บริการการเล่นการพนันจะให้บริการในไม่ช้า หากว่าการพนันอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวถูกกฎหมาย ผู้ที่จะเป็นลูกค้าอาจลงทะเบียนได้โดยการส่งอีเมล์ โดยการให้ชื่อ ที่อยู่ทางไปรษณีย์ และที่อยู่อีเมล์
อย่างไรก็ตามคดีนี้เกิดขึ้นที่รัฐมินนาซอลต้า กฎหมายแห่งรัฐห้ามมิให้มีส่งต่อการพนันระหว่างรัฐทั้งข้อมูลอันเกี่ยวกับการพนัน การพนันเพื่อธุรกิจการพนัน การพนันผ่านทางอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการสื่อสารตามสาย ทั้งนี้รวมถึงสายโทรศัพท์ ศาลชี้ว่า โฆษณาการพนันบนเว๊บเพจดังกล่าวอาจจะดำเนินต่อไปเรี่อย ๆ และมันก็จะเข้าถึงตลาดระดับชาติและเข้าถึงรัฐมินนาซอลต้าด้วย ทั้งนี้เห็นได้จาก การที่จำเลยทำรายการที่อยู่อีเมล์ของผู้ที่จะเป็นลูกค้า ก็ถือได้ว่าเป็นการเพียงพอแล้วที่จะทำให้ศาลมินนาซอลต้ามีอำนาจในการพิจารณาคดีดังกล่าว
อาจกล่าวได้ว่า คดีมินนาซอลต้า เป็นคดีบรรทัดฐาน ของหลายคดีต่อมา ในเรื่องปัญหาการมีอำนาจในการพิจารณาคดีของศาล อันเกี่ยวเนื่องกับการกระทำบนอินเทอร์เน็ต เช่น คดี Inset Systems, Inc. v Instruction Set Inct. 937 F. Supp. 161 (D. Conn. 1996) ศาลกล่าวว่า โฆษณาทางเว๊บเพจสามารถที่จะก่อให้เกิดอำนาจในการพิจารณาคดี อย่างไรก็ตาม ก็มีบางคดีที่ ศาลกล่าวว่า เพียงแค่การโฆษณาทางเว๊บเพจไม่เพียงที่จะก่อให้ศาลมีอำนาจในการพิจารณาคดี ดังเช่น ในคดี Bensusan Restaurant Corp. v King No. 96 Civ 3992 (SHS) (S.D.N.Y. Sept., 9, 1996)
คดีที่น่าจะเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และผู้สนใจในกฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องของ Jurisdiction น่าจะทำการศึกษาต่อ ก็คงจะเป็น คดี ระหว่าง LA LIGUE CONTRE LE RACISME ET L'ANISEMITISME, a French Association, etal. หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า LICRA ET UEJF กับ Yahoo! Inc. and YAHOO FRANCE เรื่องย่อๆ มีอยู่ว่า Yahoo! ได้จัดให้มีการประมูล และแสดงรูปภาพสินค้าที่นำมาประมูล อันเกี่ยวกับนาซี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ยาฮูเองได้ทำการแจ้งแก่ผู้เข้าประมูลว่า ต้องปฎิบัติตามนโยบายของทางบริษัท และ ยาฮูเองจะไมเสนอสินค้าให้แก่ผู้ซื้อ ที่ประเทศที่การขายสินค้าดังกล่าวอาจเป็นการละเมิดกฎหมายของประเทศผู้ซื้อ
อย่างไรก็ตาม โจทก์ในคดีนี้คือ องค์กรไม่แสวงหากำไรของฝรั่งเศสได้นำคดี ฟ้องต่อศาลในปารีสว่า การประมูลขายของที่ระลีกของนาซี โดยยาฮู เป็นการละเมิดกฎหมายอาญาของฝรั่งเศส ที่ห้ามการขาย หรือ นำออกแสดงซึ่งของนาซี ขณะที่ยาฮูจำเลยอ้างว่า การกระทำของตนไม่เป็นความผิดตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า The First Amendment อันให้ความคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความ คิดเห็น และการแสดงออกทางการเมือง หากจะกล่าวว่าการประมูลของที่ระลึกนาซี เป็นการแสดงออกซึ่งเสรีภาพทางความคิดเห็น และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอเมริกัน
ข้อโต้แย้งของยาฮูที่ว่า ศาลฝรั่งเศสไม่มีอำนาจในการพิจารณคดีดังกล่าว น่าสนใจทีเดียว ยาฮูกล่าวว่า ตนในฐานะ ISP มีที่ทำการแห่งใหญ่อยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ใช้ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต หรือ Uniform Resource Locator ("URL") ว่า http://www. yahoo.com ซึ่งลงท้ายด้วย ".com" นั้นถือว่าปราศจาก ความเกี่ยวพันกับประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ หากแต่จะเรียกอีกอย่าง ว่า ยาฮูแห่งสหรัฐอเมริกา โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในการสื่อสารกับผู้ใช้กลุ่มเป้าหมาย ผู้ซึ่งใช้บริการผ่านเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่ และทำการภายใต้กฎหมายของสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดี ยาฮูได้มีบริษัทลูก (Subsidiary Corporations) ทำการอยู่ในประเทศอื่น ๆ ด้วยกว่า 20 ประเทศ เป็นต้นว่า Yahoo! France, Yahoo! India, Yahoo! Spain ซึ่งเว๊บไซต์สาขาเหล่านี้ ได้มีโฮสของประเทศตัวเอง ที่สามารถเห็นได้จากตัวอักษรสองตัว ที่เติมของหน้า หรือ ต่อท้ายที่ URL ของที่อยู่เว๊บไซต์ เช่น Yahoo! France จะปรากฎดังนี้ http://www.yahoo.fr ขณะที่ Yahoo! Korea จะเป็น http://www.yahoo.kr โดยที่เว๊บไซต์สาขาของยาฮูจะใช้ภาษาท้องถิ่น ในการสื่อสารกับกลุ่มผู้ใช้ในประเทศของตน และอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายของประเทศของเว๊บสาขา
ผู้เขียนขอสรุปผลคดีของคดียาฮู กับองค์กร LICRA ของฝรั่งเศสนี้ย่อ ๆ ก่อนที่เราจะนำหลัก หรือข้อพิจารณาใด ๆ จากคดีไป ตอบปัญหาของท่านผู้อ่านข้างต้น คดีนี้ต้องแบ่งเป็นสองภาค คือ ภาคแรกองค์กร LICRA เป็นโจทก์ ฟ้องยาฮู ที่ศาลฝรั่งเศส โดยศาลสูงของปารีสตัดสินให้ยาฮูหาทางป้องกันมิให้ ประชาชนในฝรั่งเศสเข้าร่วมการประมูลของที่ระลึกของนาซี รวมทั้งประกาศขอขมาชาวยิวในการกระทำดังกล่าวของยาฮู ในเว๊บไซต์ของยาฮู ภาคสองยาฮูนำคดีดังกล่าวมีฟ้องต่อศาลรัฐแคลิฟอร์เนีย ว่า คำพิพากษาของศาลฝรั่งเศสไม่มีผลบังคับต่อยาฮูในอเมริกา ทั้งนี้เพราะศาลฝรั่งเศสไม่มีอำนาจเหนือคดี ด้วยข้อโต้แย้งต่าง ๆ ที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น ปรากฎว่า คดีนี้ยาฮูชนะคดี ผลก็คือ ยาฮูไม่ต้องปฎิบัติตามคำพิพากษาของศาลฝรั่งเศส
ในปัญหาที่ว่า ศาลของแต่ละจะมีอำนาจพิจาณาคดีหรือไม่ หรือกฎหมายของแต่ละประเทศจะมีผลเพียงใด ในไซเบอร์สเปซนั้น
ผู้เขียนขอสรุปหลักการกว้าง จากคดีข้างต้นว่า ศาลอาจจะพิจารณาจากเจตนาของ เจ้าของเว๊บไซต์ และความเสียหายที่เกิดขึ้น อันเนื่องมาจากเว๊บไซต์ เช่น เว๊บไซต์นั้นอาจมีข้อความที่เป็นการหมิ่นประมาทบุคคลในประเทศใดประเทศหนึ่ง คำถามต่อมา ก็คือแล้ว ศาลจะพิสูจน์เจตนาของผู้ทำเว๊บไซต์ได้อย่างไร ตรงนี้ขอให้พิจารณาจากข้อโต้แย้งของยาฮู ที่พยายามจะบอกศาลว่า การบริการของยาฮูนั้น มีเจตนาให้บริการคนในอเมริกาเป็นหลัก แม้ว่าคนทั่วโลกสามารถเข้าชมเว๊บไซต์ของ ยาฮูดอทคอมได้ ทั้งนี้โดยพยายามอธิบายเจตนาของตน โดยยกตัวอย่าง เช่น
- การใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาในการสื่อสาร
- URL ซึ่งเป็น .com
- ที่ตั้งของเซิร์ฟเวอร์ และที่ทำการทางกายภาพตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา
- การติดตั้งคำเตือน หรือDisclaimer ว่าจะไม่ให้บริการ หากการบริการของยาฮูอาจเป็นการละเมิดกฎหมายของลูกค้า
องค์ประกอบที่ใช้ในการพิสูจน์เจตนาของเจ้าของเว๊บไซต์ข้างต้นนี้ เป็นความพยายามที่จะจำกัดขอบเขตความรับผิด ของตนภายใต้กฎหมายของประเทศตนเอง ตรงนี้ก็คงอธิบาย ได้ว่าทำไมเว๊บไซต์จำเป็นต้องมี ข้อความปฏิเสธความรับผิด หรือ Disclaimer แต่ที่น่าสนใจก็คือ คำกล่าวอ้างของเจ้าของเว๊บไซต์ จะฟังขึ้นหรือไม่ หากว่าการให้บริการออนไลน์ รับบริการลูกค้าประเภทใครก็ได้ โดยไม่สนใจว่ากฎหมายของบประเทศลูกค้า จะถือว่าการให้บริการดังกล่าวเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ตรงนี้ผู้เขียนเห็นว่า ศาลอาจพิจารณาว่า ความพยายามในการจำกัดอาณาเขตการให้บริการของเจ้าของเว๊บไซต์ฟังไม่ขึ้น
ในทางตรงกันข้าม การที่จะกำหนดให้เจ้าของเว๊บไซต์ ซึ่งให้บริการบนอินเทอร์เน็ต ต้องตรวจสอบประวัติลูกค้า และบังคับให้ผู้ให้บริการออนไลน์เหล่านี้ รู้ข้อกฎหมายของประเทศอื่น ๆ ด้วยก็คงเป็นภาระอย่างใหญ่หลวง และคงเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อผู้ทำการค้าบนอินเทอร์เน็ต เราก็คงต้องจับตาดูการพัฒนาหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ใช้กับการกระทำบนอินเทอร์เน็ตนี้ต่อไป
สุดท้าย ผู้เขียนขอตอบคำของท่านผู้อ่านข้างต้นว่า แล้วข้อพิจารณาของศาลไทยจะเป็นอย่างไร โดยใช้ตัวอย่างที่คุณให้มา ก็คือ การโฆษณาขายปืนทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งต้องมีใบอนุญาตค้าอาวุธปืน ตาม พรบ อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด? พ ศ 2490 แล้วคนไทยไปเปิดพบเว๊บไซต์นี้เข้า ดังนี้แล้ว เว๊บไซต์ดังกล่าวทำการค้าอาวุธปืนโดยละเมิดกฎหมายไทยหรือไม่
เราคงต้องเริ่มพิจารณาก่อนว่า จะถือได้หรือไม่ว่า โฆษณาทางอินเทอร์เน็ตดังกล่าว เป็นการเข้ามาค้าอาวุธปืนในประเทศไทย ผู้เขียนเห็นว่า คำตอบเป็นไปได้สองกรณี กรณีที่หนึ่งถ้าคนไทยดังกล่าวแค่เปิดพบ แต่มิได้มีการทำการติดต่อ ซื้อขายกับเว๊บไซต์ ก็คงถือไม่ได้ว่า เจ้าของเว๊บทำการค้าปืนโดยไม่มีใบอนุญาตอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมายไทย
กรณีที่สอง แล้วคนไทยดังกล่าว ได้ทำการติดต่อซื้อปืนตามโฆษณา ตรงนี้คงต้องพิจารณาว่า แล้วสัญญาซื้อขายปืนมันเกิดที่ไหนหล่ะ ถ้าคำถามนี้เป็นการทำธุรกรรมทางแพ่งและพาณิชย์ เราคงต้องพิจารณา การเกิดของสัญญาซื้อขายออนไลน์นี้ ตาม พรบ ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ ศ 2545 มาตรา 21 แต่เรื่องที่คุณถาม ไม่ใช่เรื่องระหว่างเอกชนกับเอกชน เพราะ อย่าลืมว่า เรากำลังพิจารณาความผิด ของเว๊บไซต์ ตาม พรบ อาวุธปืน ซี่งเป็นเรื่องของนิติสัมพันธ์ของเอกชน นั้นคือ เจ้าของเว๊บไซต์ กับนายทะเบียน ตาม พรบ อาวุธปืน อันเป็นไปตาม กฎหมายมหาชนอันมีลักษณะระหว่างประเทศ ตรงนี้เกิดความไม่ชัดเจนของการบังคับใช้กฎหมายกับการกระทำบนอินเทอร์เน็ตขึ้นมาแล้ว เพราะปัญหาว่า พรบ อาวุธปืน ไม่ได้กล่าวว่าให้รวมถึง การค้าอาวุธปืนทางอินเทอร์เน็ตด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตีความกฎหมายที่มีลักษณะทางอาญาต้องตีความอย่างเคร่งครัด ดังนี้แล้ว ผู้โฆษณาที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศ แต่โฆษณาขายปืนทางเว๊บไซต์ดังกล่าว อาจไม่ถูกพิจารณาว่า ทำการค้าปืนโดยไม่มีใบอนุญาต
แล้วถ้าผู้โฆษณาอยู่ในประเทศไทย แต่ไม่ได้เปิดร้านค้าปืนให้เห็นชัด ๆ หล่ะ เพียงแต่โฆษณาขายปืนทางอินเทอร์เน็ต จะละเมิด พรบ อาวุธปืน ไหม ในกรณีนี้ ผู้เขียนขอให้ท่านเปรียบเทียบคดี ของออสเตรเลีย ที่มีข้อเท็จจริงใกล้เคียงกับ คำถามของท่านผู้อ่านท่านนี้ ตามกฎหมายของออสเตรเลียนั้น ผู้ค้าไวน์ หรือสุรา ต้องได้รับใบอนุญาต ปรากฎว่า บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งทำการอยู่ทางตอนใต้ของออสเตรเลีย ได้จัดทำเว๊บไซต์เพื่อรับรายการสั่งซื้อไวน์จากลูกค้าทางอินเทอร์เน็ต ข้อเท็จจริงปรากฏว่า บริษัทแห่งนี้ไม่มีใบอนุญาตให้ทำการค้าไวน์แต่อย่างใด ศาลเห็นว่า การกระทำของบริษัทดังกล่าว เป็นการเลี่ยงกฎหมาย โดยศาลอธิบายว่า ถ้าอนุญาตให้การขายไวน์ ทางอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องมีใบอนุญาตตามที่กฎหมายกำหนด การรับรายการสั่งซื้อไวน์ทางโทรศัพท์ และทางโทรสาร ก็ไม่ต้อมีใบอนุญาตเช่นกัน ซึ่งตรงนี้ขัดต่อเจตนารมย์ของกฎหมายทต้องการควบคุมการจำหน่ายสิ่งมึนเมา
โดยเทียบเคียงกับคดีออสเตรเลียคดีนี้ ผู้เขียนเห็นว่า ผู้โฆษณาซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยรายนี้ ขายปืนเพื่อการค้าทางอินเทอร์เน็ต โดยไม่มีใบอนุญาต ย่อมเป็นการละเมิดต่อ พรบ อาวุธปืน ฯ อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าติดตามว่า ศาลไทยจะตีความกรณีที่ กฎหมายกำหนดให้ธุรกิจบางประเภท ต้องมีใบอนุญาต เช่น การค้าปีนต้องมีใบอนุญาต ศาลจะรวมถึงการประกอบกิจการบนอินเทอร์เน็ตด้วยหรือไม่
กลับไปที่หน้าแรก กลับไปหน้าดัชนีบทความ |