มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิกที่ปุ่ม member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ปุ่ม contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
(midnightuniv@yahoo.com)
ศัพท์คำว่า อุตสาหกรรมวัฒนธรรม(culture industry) ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในหนังสือชื่อ Dialectic of Enlightenment, ซึ่ง Horkheimer และ Adorno ได้พิมพ์ขึ้นในอัมสเตอร์ดัม ในปี 1947. ในฉบับร่างของพวกเขา เขาได้พูดคุยถึงเรื่องเกี่ยวกับ"วัฒนธรรมมวลชน"(mass culture) และพวกเขาแทนคำ"วัฒนธรรมมวลชน"นี้ด้วยคำว่า "อุตสาหกรรมวัฒนธรรม" ทั้งนี้เพื่อที่จะแยกมันออกมาจากบรรดาผู้ที่เห็นด้วย หรือสนับสนุนเรื่องของ"วัฒนธรรมมวลชน"นั่นเอง:
ดังนั้น ความหมายของสองคำนี้
จึงแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
ใน"อุตสาหกรรมวัฒนธรรม"ผู้บริโภคไม่ใช่ราชา ดังที่พวกนั้นจะทำให้เราเชื่อ
มวลชนไม่ใช่ตัวประธานอีกต่อไป แต่เป็นตัวกรรมของมัน
พัฒนาและปฏิบัติการบนวิธีการทำความเข้าใจที่เรียกว่า"ทฤษฎีวิพากษ์"(critical theory). ส่วนสมาชิกคนอื่นๆของ แฟรงค์เฟริทสคูล ประกอบด้วย Max Horkheimer, Walter Benjamin, และ Herbert Marcuse. พวกนักทฤษฎี แฟรงค์เฟริทสคูล ทั้งหมดต่างก็มีส่วนเป็นหนี้บุญคุณอย่างลึกซึ้งต่อผลงานของ Karl Marx. Adorno เองยังได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจาก Hegel, Kant, Heidegger, และ Lukacs.
สำหรับงานเขียนของ Adorno นั้น เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า เป็นงานเขียนที่ยากแก่การทำความเข้าใจ (Adorno's writing is notoriously difficult to understand). ด้วยเหตุนี้ เขาจึงถูกวิจารณ์ต่อเรื่องนี้เป็นครั้งคราว. แต่อย่างไรก็ตาม, จากกรณีดังกล่าว ในรูปแบบงานเขียนของ Adorno ได้มีบทบาทต่อเนื้อหาของบรรดานักรื้อสร้าง(deconstructionists) อย่างเช่น Spivak หรือ Derrida. ด้วยความไม่คุ้นเคยเหล่านั้นเกี่ยวกับงานเขียนของ Adorno จึงได้รับการหยิบยกขึ้นมาในฐานะที่เป็นความท้าทาย นั่นคือ จะต้องอ่านด้วยความระมัดระวัง และจากการทำเช่นนั้นจะได้รับผลตอบแทนเป็นรางวัลคือ ความอุดมสมบูรณ์ในเนื้อหาในเชิงทฤษฎีและในเชิงวิพากษ์อย่างมากมาย
Biography (ประวัติส่วนตัวของอะดอร์โน)
วันที่ 11 กันยายน 1908, Theodor Ludwig Wiesengrund ได้ถือกำเนิดขึ้นใน Frankfurt
am Main. เขาเป็นบุตรของพ่อค้าไวน์ชาวยิว นามว่า Oskar Wiesengrund, ส่วนมารดาของเขาเป็นชาวคาธอลิคจาก
Corsica นามว่า Maria Calvelli-Adorno, Adorno ได้รับเอานามสกุลของมารดามาใช้ในช่วงระหว่างปลายทศวรรษที่
1930 ในขณะที่ถูกเนรเทศจากนาซีเยอรมันนี. Adorno ได้ร่ำเรียนดนตรีและปรัชญาตั้งแต่เยาว์วัย.
แม่ของเขาเป็นนักร้องอาชีพ, และป้าของเขาซึ่งอยู่ด้วยกันกับครอบครัวเป็นนักเล่นเปียโนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง.
ขณะที่เขาเป็นวัยรุ่น Adorno ได้ศึกษาปรัชญาของ Kant กับเพื่อนของครอบครัวเขาคนหนึ่ง, Siegfried Kracauer, ผู้ซึ่งต่อมาภายหลังกลายเป็นนักวิจารณ์วัฒนธรรมที่มีชื่อเสียง และเป็นนักทฤษฎีทางด้านภาพยนตร์ใน Weimar เยอรมันนี. Adorno ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแฟรงค์เฟริท ที่นั่นเขาได้เรียนวิชาปรัชญา, สังคมวิทยา จิตวิทยา และดนตรี. ตอนที่เขาอายุ 21 ปี เขาได้เสนองานวิจารณ์เกี่ยวกับ Husserl [Edmund Husserl 1859-1938 นักปรัชญาชาวเยอรมันเชื้อสายกำเนิดออสเตรีย. ผู้นำในการพัฒนาศาสตร์ทางด้าน"ปรากฎการณ์วิทยา"(phenomenology), เขาเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างสำคัญต่อบรรดานักปรัชญาแนว existentialist] ในชื่อว่า "The Transcendence of the Real and the Noematic in Husserl's Phenomenology" ในฐานะวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก. นับจาก 1925-1928, Adorno ได้ศึกษาดนตรีที่เวียนนาภายใต้การดูแลของ Alban Berg โดยหวังที่จะเป็นคีตกวีคนหนึ่ง
ในช่วงระหว่างกลางและปลายทศวรรษที่ 1920, Adorno ได้สร้างเครือข่ายเกี่ยวกับคนที่รู้จักขึ้นมากลุ่มหนึ่ง ซึ่งจะมาร่วมคิดร่วมทำงานกับเขาในช่วงที่เหลือของชีวิต. โดยผ่านเพื่อนของเขา Max Horkheimer, Adorno ได้พบกับสมาชิกหลายคนของสถาบันวิจัยสังคม และผู้นำทางความคิดคนอื่นๆในช่วงวันเวลานั้น ซึ่งประกอบด้วย Leo Lowenthal, Friedrich Pollack, Ernst Bloch, Bertolt Brecht, Kurt Weill, Walter Benjamin, และ Herbert Marcuse. Adorno ไม่ได้เป็นสมาชิกของสถาบันแห่งนี้อย่างเป็นทางการ เขาเพียงเขียนบทความต่างๆเพื่อไปลงตีพิมพ์ในวารสารของสถาบันเท่านั้น. ในปี 1931, Adorno ได้เข้ารับตำแหน่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแฟรงค์เฟริท แต่เขาได้สอนอยู่ที่นั่นเพียง 2 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นก็ถูกบีบให้ลาออกจากมหาวิทยาลัยโดยระบอบการปกครองของนาซี.
สถาบันวิจัยสังคมแห่งแฟรงค์เฟริท ภายใต้การอำนวยการของ Horkheimer ในไม่ช้าก็ต้องระหกระเห็นออกจากเยอรมันนี, แล้วก็ไปตั้งตัวที่เจนีวาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และในท้ายที่สุดก็ไปตั้งที่กรุงนิวยอร์ค. Adorno, ไม่ได้ถูกว่าจ้างอย่างเป็นทางการจากสถาบันฯอีกเช่นเดิม, เขาได้ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง. ต่อมา เขาได้สมัครเข้าทำงานที่อ็อกฟอร์ดในฐานะที่เป็นวิธีการหนึ่งในการออกจากประเทศของตนไป
โดยในปี ค.ศ.1938, Horkheimer ได้จัดให้ Adorno ทำงานชิ้นหนึ่งภายใต้การดูแลของ Paul Lazarsfeld ในโครงการวิทยุที่ Princeton ที่สหรัฐอเมริกา. Adorno ได้ทิ้งยุโรปมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักด้วยแรงกระตุ้นของ Horkheimer. Adorno ได้มีส่วนช่วยเหลือต่อสถาบันวิจัยฯอย่างมากในหลายๆเรื่อง อาทิเช่น งานที่นับว่าเด่นมากที่สุดก็คือ Adorno ได้ร่วมมือกับ Horkheimer ในการเขียนหนังสือชื่อ Dialectic of Enlightenment, หนังสือเล่มนี้ถือว่าเป็นงานคลาสสิคเล่มหนึ่งของทฤษฎีวิพากษ์, และ Adorno ได้พัฒนา the F-scale ขึ้นมา, ซึ่งก็คือเครื่องมือการวิเคราะห์อันหนึ่งเพื่อใช้ในการจำแนกหรือแสดงถึงแบบฉบับบุคลิกภาพต่างๆ ซึ่งตอบโต้กับลัทธฟาส์ซิสม์.
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Adorno จะประสบความสำเร็จในวิชาชีพของตนก็ตาม แต่เขาก็ไม่เคยมีความสุขอย่างเต็มที่เลยในสหรัฐอเมริกา. ในปี ค.ศ. 1949 Adorno, Horkheimer และ Pollack ได้หวนคืนกลับสู่แฟรงค์เฟริท เพื่อต้องการที่จะสถาปนาสถาบันวิจัยสังคมฯขึ้นมาอีกครั้ง. ในอีก 20 ปีต่อมา เป็นยุคที่เรียกว่ารุ่งเรืองอย่างน่าพิศวงสำหรับ Adorno. เขาได้เขียนหนังสือต่างๆออกมาอย่างมากมายเป็นโหลๆ รวมกระทั่งความเรียง และบทความต่างๆในหัวข้ออันหลากหลาย. หนังสือ 2 เล่มที่สำคัญในจำนวนนั้นก็คือเรื่อง Negative Dialectics (1966) และ อีกเล่มหนึ่งซึ่งได้รับการตีพิมพ์หลังการมรณกรรมของเขาแล้วคือ Aesthetic Theory (1970).
บรรยากาศในทางการเมืองของมหาวิทยาลัยในช่วงระหว่างทศวรรษที่ 1960 ได้ส่งให้ Adorno ไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี. กลุ่มนักศึกษาที่ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวทางสังคมในช่วงแรกได้อ้าแขนรับงานต่างๆของเขา สำหรับสิ่งซึ่งพวกเขารับรู้ในฐานะที่เป็นการปฏิเสธเกี่ยวกับค่านิยมของชนชั้นกลาง, แต่ได้กลายเป็นความโกรธในเวลาต่อมา เมื่อ Adorno ไม่เต็มใจที่จะให้การสนับสนุนการเข้าร่วมการนั่งประท้วง(sit-ins)และการเดินขบวนต่างๆ.
ในการนำเสนอหนังสือเรื่อง Negative Dialectics (1966), Adorno ได้เผยถึงความไม่ลงรอยเกี่ยวกับทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับปฏิบัติการทางการเมือง. เขาอ้างว่า "การปฏิบัติการจะต้องเป็นการขานรับต่อสิ่งที่ถูกต้อง และจะต้องมีการตีความร่วมสมัยเกี่ยวกับประสบการณ์". การตีความดังกล่าวที่ Adorno พูดยังคงได้รับการเฝ้าคอยเสมอ. บรรดานักศึกษาต่างประณามทฤษฎีต่างๆของเขาในฐานะที่เป็นทฤษฎีที่ไร้ประสิทธิภาพและล้าสมัย; นักศึกษาต่างพากันก่อกวนการบรรยายของเขา และสร้างความขายหน้าให้กับเขาด้วยการมอบดอกไม้และเข้าไปจูบแก้มเขาในระหว่างการบรรยาย. การก่อกวนและขัดขวางด้วยวิธีการเหล่านี้ต่อหน้าสาธารณชน เป็นมูลเหตุแห่งความขึ้งเครียดต่อ Adorno ไปจนกระทั่งบั้นปลายของชีวิต. เขาได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจในปี 1969.
A Few Key Terms in Adorno
(ศัพท์ที่สำคัญบางคำในงานเขียนของอะดอร์โน)
AESTHETIC THEORY: (ทฤษฎีสุนทรียภาพ)
Adorno ยืนยันถึง
"สิทธิพิเศษหรือความสำคัญของวัตถุในงานศิลปะ(object in art - รูปธรรมที่ปรากฎในงานศิลปะ)"
หรือสิ่งที่ได้รับการเรียกว่า a materialist aesthetic (สุนทรียภาพในเชิงวัตถุ)
ซึ่งอันนี้เป็นไปในทางตรงข้ามกับสุนทรียภาพแนวอุดมคติของ Kant เลยทีเดียว. Kant
ได้ให้ความสำคัญต่ออัตตะ(subject)เหนือกว่าวัตถุ(Jarvis 99). สำหรับ Kant, ประสบการณ์เกี่ยวกับศิลปะคือผลิตผลอันหนึ่งของการรับรู้ของอัตตะ(subject).
ส่วน Adorno มองว่า "วัตถุทางศิลปะ" และ"ประสบการณ์ทางสุนทรีย์"เกี่ยวกับ"วัตถุทางศิลปะ",
มันได้บรรจุเอา"เนื้อหาที่แท้จริง"เอาไว้(a truth-content).
"เนื้อหาที่แท้จริง" หรือ "a truth-content" คือเนื้อหาของการรับรู้(cognitive content) "ซึ่งจะไม่ถูกทำให้หมดไปโดยเจตนารมณ์อัตวิสัย(subjective intentions - ในที่นี้หมายถึงเจตนาของศิลปิน)ซึ่งเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา หรือโดยการโต้ตอบอัตวิสัย(subjective responses - ในที่นี้หมายถึงผู้ดูแต่ละคน)ของผู้ชื่นชมงานศิลปะ", และนั่นอาจจะได้รับการเผยตัวออกมาโดยผ่านวิธีการวิเคราะห์ (Jarvis 98).
ในทางตรงข้าม Kant คิดว่า "ความงาม"เป็นเรื่องของ"ประสบการณ์อัตวิสัย"(subjective experience - ประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคน), Adorno เสนอว่า "ความงาม"ขึ้นอยู่ระหว่าง"อัตวิสัยและวัตถุวิสัย"(แนวคิดแบบสัมพัทธนิยม). ความงามได้ถูกบรรจุลงไปในการรับรู้(cognitive) หรือ เนื้อหาที่แท้(truth content)ของผลงานศิลปะ
ดังที่ Adorno เขียนเอาไว้ในหนังสือเรื่อง Aesthetic Theory: "ความงามทั้งมวลได้เผยตัวของมันเองออกมาต่อการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง". ผลงานต่างๆทางศิลปะนั้น, ไม่ใช่เป็นเพียงวัตถุต่างๆที่เฉื่อยชาไร้ชีวิตชีวา, ทว่ามันได้ถูกให้คุณค่าหรือถูกรู้โดยอัตตะ(หรือผู้ดูแต่ละคน); นั่นคือ แน่นอน พวกเขาเองนั้นมีช่วงเวลาหนึ่งที่เป็นอัตวิสัย เพราะตัวของพวกเขาเองมีการรับรู้"(Jarvis 96). มันเป็นการปันส่วนประสบการณ์ระหว่างวัตถุกับอัตตะ(the shared experience of object and subject), การวิเคราะห์ที่เชื่อมโยงกัน ทำให้"ความงามได้รับการเผยตัวออกมา.
CONSTELLATION (กลุ่มโครงร่าง)
Adorno ได้ยืมศัพท์คำนี้มาจาก Benjamin. มันบ่งชี้ถึงกลุ่มก้อนที่อยู่เคียงข้างกัน
(มากกว่าที่จะหมายถึงกลุ่มก้อนที่มารวมๆกัน)ขององค์ประกอบการเปลี่ยนแปลง ที่ต่อต้านการลดทอนลงไปสู่การเป็นตัวหารร่วมใน
แกนหลักสำคัญ ซึ่งเป็นหลักการที่เกิดขึ้นมาแรกสุด (Jay 14-15).
แนวความคิดอันนี้สามารถมองเห็นได้ในสไตล์งานเขียนของ
Adorno. Adorno ได้ประกาศถึงหลักการวิภาษวิธีเชิงนิเสธ, ซึ่งแนวความคิดต่างๆเกี่ยวกับเรื่องนี้
จะไม่ถูกลดทอนลงมาสู่ความเข้าใจในลักษณะที่เป็นหมวดหมู่. โดยการรักษาหรือคงไว้ซึ่งความแตกต่างในทางตรงข้าม
และความแตกต่างที่เข้ากันไม่ได้ของข้อถกเถียงต่างๆ รวมถึงการสังเกตุการณ์ในงานของเขา.
Adorno ธำรงรักษาแรงดึงกันระหว่างสิ่งสากลและสิ่งเฉพาะ, ระหว่างสารัตถนิยม (essentialism)
กับ นามนิยม (nominalism)เอาไว้.
[หมายเหตุ
: นามนิยม (nominalism) คือ ทัศนะที่เชื่อว่า สิ่งสากลไม่มีอยู่จริง มีแต่สิ่งเฉพาะ(particular)
คำที่อ้างถึงสิ่งสากลเป็นเพียงคำพูด ไม่มีสิ่งเป็นจริงรองรับ]
CRITICAL THEORY (ทฤษฎีวิพากษ์)
สำหรับศัพท์คำนี้เป็นการอธิบายถึงรากฐานทางปรัชญาหรือวิธีการที่อยู่ข้างใต้แบบฉบับของวิธีปฏิบัติทางสังคมวิทยาโดย
Adorno และสมาชิกคนอื่นๆของ แฟรงค์เฟริทสคูล.
ทฤษฎีวิพากษ์ได้รับการวางพื้นฐานอยู่บนความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมในฐานะที่เป็นแก่นแท้ของหลักวิภาษวิธี, และความเชื่อมั่นที่ว่า "การสอนเกี่ยวกับสังคม สามารถที่จะได้รับการพัฒนาขึ้นได้ ในความเชื่อมโยงแบบบูรณาการของสาขาวิชาต่างๆอย่างกวดขันเท่านั้น; กล่าวคือ ความสัมพันธ์กันทั้ง เศรษฐศาสตร์, จิตวิทยา, ประวัติศาสตร์ และปรัชญา(O'Connor 7). บางที มันจะเป็นการง่ายที่จะทำความเข้าใจว่า ทฤษฎีวิพากษ์คืออะไร โดยการพูดถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกันกับมัน(articulating its opposite).
ในช่วงระหว่างทศวรรษที่หกสิบ ทฤษฎีสังคมวิทยาที่มีอิทธิพลในช่วงนั้นมีอยู่ด้วยกันสองทฤษฎีคือ, ทฤษฎีวิพากษ์(critical theory) กับ เหตุผลนิยมเชิงวิพากษ์(critical rationalism). มันเป็นการเผชิญหน้ากันโดยตรงในสิ่งที่ได้รับการเรียกว่า "การโต้แย้งกันในเชิงปฏิฐาน"(วิทยาศาสตร์).
หนังสือของ Adorno เรื่อง The Positivist Dispute in German Sociology (การโต้เถียงกันในเชิงปฏิฐาน(วิทยาศาสตร์)ในสังคมวิทยาเยอรมัน) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการอภิปรายถกเถียงกันถึงเรื่องนี้. ในทางตรงข้าม เหตุผลนิยมเชิงวิพากษ์(critical rationalism) มองสังคมต่างๆในฐานะที่เป็นการรวมตัวกันอันหนึ่งของปัจเจกชนที่กำหนดตัวเองอย่างอิสระ (อิสระชนที่มารวมตัวกัน - a collection of autonomously determined individuals), ส่วน ทฤษฎีวิพากษ์(critical theory) มองสังคมในฐานะที่เป็น ทั้งหมดในลักษณะวิภาษวิธี ซึ่งปัเจกชนแต่ละคน"ถูกกำหนดโดยการประนีประนอมของมันภายในความเป็นทั้งหมด"( a dialectical totality in which each individual "is determined by its mediation within that totality") (O'Connor 174).
ทฤษฎีทั้งสองนี้ทางด้านสังคมวิทยา ไม่ได้เห็นพ้องต้องกันในการนำเอาเทคนิควิธีการวิจัยเชิงประสบการณ์(empirical research techniques)มาใช้. นักเหตุผลนิยมเชิงวิพากษ์เชื่อว่า การจำแนกเอกลักษณ์และการวิเคราะห์ความคิดเห็นต่างๆของปัจเจกบุคคลทั้งหลายภายในสังคม จะนำไปสู่ความเข้าใจอันหนึ่งเกี่ยวกับสังคม. ส่วนบรรดานักทฤษฎีวิพากษ์เชื่อว่า เทคนิควิธีการวิจัยเชิงประสบการณ์(การสังเกตุ)ไม่สามารถที่จะให้ความเข้าใจได้ในสังคมได้อย่างแท้จริง เพราะมันจะเป็นเพียงการสะท้อนถึงอุดมการณ์ต่างๆที่สังคมกำหนดหรือยัดเยียดต่อปัจเจกชนทั้งหลาย. ปัจเจกชนไม่อาจที่จะเลือกอุดมการณ์ได้; เพราะอุดมการณ์ได้ถูกแพร่กระจายเข้าไปสู่ปัจเจกชนทั้งหลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นไปอย่างธรรมชาติ ในสังคมที่พวกเขาเติบโตขึ้น.
NEGATIVE DIALECTICS (หลักวิภาษวิธีเชิงนิเสธ)
Adorno เชื่อว่า แบบมาตรฐานเกี่ยวกับความเข้าใจมนุษย์คือเอกลักษณ์ทางความคิด(identity
thinking) ซึ่งหมายความว่า วัตถุที่เป็นสิ่งเฉพาะ(a particular object)ถูกเข้าใจในเทอมต่างๆของแนวคิดที่เป็นสากล(universal
concept)อันหนึ่ง.
ความหมายของวัตถุชิ้นหนึ่งได้ถูกจับคว้าเอาไว้(หรือถูกทำความเข้าใจ) เมื่อมันถูกจัดเป็นหมวดหมู่, จำแนกหมวดหมู่ภายใต้หัวเรื่องแนวคิดทั่วไปอันหนึ่ง. ในทางตรงข้ามกับ"เอกลักษณ์ทางความคิด"(identity thinking), Adorno ได้วางหลักวิภาษวิธีเชิงนิเสธ(negative dialectics), หรือ "การไม่มีเอกลักษณ์ทางความคิด"(non-identity thinking).
เขาค้นหาเพื่อที่จะเผยให้เห็นถึงความผิดพลาดเกี่ยวกับข้ออ้างต่างๆของเอกลักษณ์ทางความคิด(identity thinking) โดยการประกาศถึง"ความสำนึกเชิงวิพากษ์"(critical consciousness) ซึ่งเข้าใจว่า แนวความคิดอันหนึ่งไม่สามารถที่จะเป็นเช่นเดียวกันกับวัตถุที่แท้ของมันได้. นักวิจารณ์จะ"ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างแนวความคิดและวัตถุ, ระหว่างสิ่งของต่างๆที่ถูกบ่งถึงโดยแนวความคิด และ ความเป็นจริงของตัววัตถุเอง (Held 215).
ความสำนึกเกี่ยวกับการไม่มีเอกลักษณ์ทางความคิด(ไม่เป็นสิ่งเดียวกันกับความคิด) ได้มาประนีประนอม สิ่งเฉพาะ(particular) กับสิ่งสากล(universal) โดยไม่มีการลดทอนคุณภาพใดๆในการจำแนกหมวดหมู่ต่างๆ
UTOPIA (ยูโธเปีย)
แนวคิดเกี่ยวกับ"ยูโธเปีย" เป็นตัวแทนหรือหมายถึง"ศักยภาพ". ในผลงานของ Adorno,
เป้าหมายอันยืนยงของยูโธเปีย ต้องการที่จะต่อต้าน การชำระสะสางเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของประสบการณ์ใหม่ๆอย่างแท้จริง(Jarvis
222). อันนี้คือหลักฐานในการสนทนาเกี่ยวกับ"ยูโธเปีย"ในความสัมพันธ์กับศิลปะที่เขียนเอาไว้ในหนังสือเรื่อง
Aesthetic Theory
สิ่งที่เป็นเรื่อง"ใหม่"ก็คือ "การทำให้ศักยภาพเป็นรูปธรรมขึ้นมา"เพียงเท่านั้น โดยการแสดงของมันบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของ"ศักยภาพอื่นๆที่ไม่ได้รับการตระหนักหรือสำนึกกัน". Adorno ได้ใช้การอุปมาอุปมัยถึงเด็กคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าเปียโน "กำลังค้นหาคอร์ดดนตรีที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน. คอร์ดดนตรีอันนี้, อย่างไรก็ตาม, มันอยู่ที่นั่นอยู่แล้วตลอดเวลา; การรวมตัวกันที่เป็นไปได้ถูกจำกัด และทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ แล้วสามารถที่จะถูกนำออกมาเล่นได้ และมันมีอยู่แล้วบนคีย์บอร์ดอย่างไม่ต้องสงสัย. ความใหม่ คือความปรารถนาเพื่อความใหม่, ไม่ใช่ใหม่ในตัวมันเอง" (Hullot-Kentor 32).
"ยูโธเปีย" คือการปฏิเสธเกี่ยวกับสิ่งที่มีอยู่, ดังนั้น "ยูโธเปียที่แท้"จึงขึ้นอยู่กับยูโธเปีย ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แล้ว. เมื่อยูโธเปียได้ถูกจับหรือคว้ามาได้ มันก็จะไม่เป็นยูโธเปียอีกต่อไป
Bibliography
หนังสือบางเล่มและความเรียงบางเรื่องที่รวมรวมไว้แล้วในฉบับภาษาอังกฤษ
SOME BOOKS AND ESSAY COLLECTIONS AVAILABLE IN ENGLISH
Aesthetic Theory. Trans.
Robert Hullot-Kentor. Minneapolis: University of Minnesota Press, 1997.
Aesthetics and Politics. Ed. Ronald Taylor. London: New Left Books, 1977.
Against Epistemology: A Metacritique. Studies in Husserl and the Phenomenological
Antimonies. Trans. Willis
Domingo. Oxford: Basil Blackwell, 1982.
Aspects of Sociology. Trans. John Viertel. Boston: Beacon Press, 1972.
Critical Models: Interventions and Catchwords. Trans. Henry W. Pickford. New York: Columbia University Press, 1998.
The Culture Industry: Selected Essays on Mass Culture. Ed. J.M. Bernstein. London: Routledge, 1991.
Dialectic of Enlightenment. Trans. John Cumming. New York: Continuum, 1972.
The Essential Frankfurt School Reader. Eds. Andrew Arato and Eike Gebhardt. Oxford: Basil Blackwell, 1978.
Hegel: Three Studies. Trans. Shierry Weber Nicholson. Cambridge: MIT Press, 1993.
In Search of Wagner. Trans. Rodney Livingstone. London: New Left Books, 1981.
Introduction to the Sociology of Music. Trans. E.B. Ashton. New York: Seabury Press, 1976.
The Jargon of Authenticity. Trans. Knut Tarnowski and Frederic Will. London: Routledge, 1973.
Kierkegaard: Construction of the Aesthetic. Trans. Robert Hullot-Kentor. Minneapolis: University of Minnesota Press, 1989.
Minima Moralia. Trans. E.F.N. Jephcott. London: New Left Books, 1974.
Negative Dialectics. Trans. E.B. Ashton. London: Routledge, 1973.
Notes to Literature. Trans. Shierry Weber Nicholson. 2 vols. New York: Columbia University Press, 1991-92.
Philosophy of Modern Music. Trans. Anne G. Mitchell and Wesley V. Blomster. London: Sheed and Ward, 1973.
The Positivist Dispute in German Sociology. Trans. Glyn Adey and David Frisby. London: Heinemann, 1976.
Prisms. Trans. Samuel and Shierry Weber. Cambridge: MIT Press, 1981.
Quasi una Fantasia: Essays on Modern Music. Trans. Rodney Livingstone. London: Verso, 1992.
The Adorno Reader. Ed. Brian O'Connor. Oxford: Blackwell Publishers Ltd, 2000. Contains a good beginner's bibliography.
The Stars Down to Earth and other Essays on the Irrational in Culture. Ed. Stephen Crook. London: Routledge, 1994.
SUGGESTED CRITICAL INTRODUCTIONS
Held, David. Introduction to Critical Theory: Horkheimer to Habermas. Berkeley: University of California Press, 1980.
Jarvis, Simon. Adorno: A Critical Introduction. New York: Routledge, 1998. Contains a good beginner's bibliography.
Jay, Martin. Adorno. Cambridge: Harvard University Press, 1984.
Rose, Gillian. The Melancholy Science: An Introduction to the Thought of Theodor W. Adorno. New York: Columbia University Press, 1978.
Works Cited
Adorno, Theodor. Aesthetic Theory. Trans. Robert Hullot-Kentor. Minneapolis: University of Minnesota Press, 1997.
Held, David. Introduction to Critical Theory: Horkheimer to Habermas. Berkeley: University of California Press, 1980.
Jarvis, Simon. Adorno: A Critical Introduction. New York: Routledge, 1998.
Jay, Martin. Adorno. Cambridge: Harvard University Press, 1984.
O'Connor, Brian, ed. The Adorno Reader. Oxford: Blackwell Publishers Ltd, 2000.
แปลและเรียบเรียงจากข้อมูล http://www.emory.edu/ENGLISH/Bahri/Adorno.html (สนใจต้นฉบับเรื่องนี้ กรุณาคลิกเข้าไปดูใน URL ที่ให้ไว้นี้ - สมเกียรติ ตั้งนโม)
หลังจากที่นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน ได้ทราบถึงอัตชีวประวัติของ"เธียวดอร์ อะดอร์โน" และ"ศัพท์สำคัญ"ที่เขาได้นำมาใช้ในงานเขียนของตัวเองแล้ว ต่อจากนี้ไป จะได้นำเสนองานแปลและเรียบเรียงเกี่ยวกับเรื่อง "อุตสาหกรรมวัฒนธรรม"(The Culture Industry) ที่เขียนโดย Theodor W. Adorno มานำเสนอ เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ อุตสาหกรรมวัฒนธรรม ที่โลกสมัยใหม่ได้สร้างขึ้น และพวกเราทั้งหลาย ต่างตกอยู่ภายใต้บรรยากาศของการครอบงำโดยวัฒนธรรมเหล่านี้
งานเขียนต่อไปข้างหน้า ได้เขียนขึ้นมาประมาณ 60 ปีแล้ว ซึ่งจะให้ภาพกับเราอย่างค่อนข้างชัดเจน และถือกันว่าความเรียงเรื่องดังกล่าว เป็นงานชิ้นแรกๆที่ได้มีการวิเคราะห์สื่อหรือวัฒนธรรมมวลชนได้อย่างชัดเจน ก่อนที่บรรดานักวิพากษ์วัฒนธรรมคนอื่นๆจะได้ทำอย่างเดียวกันนี้ตามมา
ข้อชี้แจงเพิ่มเติมในที่นี้คือ ผู้แปลและเรียบเรียงได้นำเอาบทนำของผู้ที่ใช้นามว่า SIEGFRIED มาขึ้นต้น เพื่อให้เห็นภาพรวมเกี่ยวกับงานเขียนชิ้นนี้ของอะดอร์โนอย่างกว้างๆ จากนั้นจึงจะเข้าสู่งานเขียนเรื่อง "อุตสาหกรรมวัฒนธรรม" ต้นฉบับ. แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากต้นฉบับมีความยาวกว่า 30 หน้ากระดาษ A4 และมีการใช้ภาษาที่ค่อนข้างซับซ้อน ลึกลงไปเป็นชั้นๆ ซึ่งอาจนำพาผู้อ่านไปสู่ความยุ่งยากสับสน ในการทำความเข้าใจ. ด้วยเหตุนี้ จึงได้แปลและเรียบเรียงงานชิ้นนี้แต่เพียงบางส่วน ซึ่งยาวประมาณ 13 หน้ากระดาษ A4
(ผู้สนใจต้นฉบับภาษาอังกฤษ โดยไม่มีการตัดทอน กรุณาคลิกไปอ่านได้ที่ http://www.ddc.net/ygg/etext/adorno.htm)
คลิกไปอ่านหน้าถัดไป (ต่อ ตอนที่ 2)
กลับไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา
e-mail : midnightuniv@yahoo.com
Theodor Adorno : Introduction
Theodor Adorno เป็นนักปรัชญา, นักวิจารณ์, และนักทฤษฎี ผู้ซึ่งได้ให้กำเนิดผลงานมากมายในด้านต่างๆของสังคมและวัฒนธรรม. ความสนใจของเขาเรียงลำดับจากปรัชญาคลาสสิค, จิตวิทยา, ดนตรี ไปจนกระทั่งถึงเรื่องของสังคมวิทยา. เขาเขียนเรื่องต่างๆอย่างค่อนข้างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อที่เกี่ยวกับเรื่องของบีโธเฟน, การต่อต้านยิว, และรวมไปถึงเรื่องราวและการวิจารณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์
Adorno เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของ"แฟรงค์เฟริทสคูล", สำหรับชื่อ แฟรงค์เฟริทสคูล เป็นชื่อที่ไม่เป็นทางการของกลุ่มนักคิดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้รับการว่าจ้างโดย สถาบันวิจัยสังคมในเมืองแฟรงค์เฟริท ประเทศเยอรมันนี. บรรดาปัญญาชนเหล่านี้ ...