.......................................   ..,,,,,,............
 

แรงบันดาลใจ อดีตและ อนาคต

คนเราสร้างพลังในการดำรงชีวิตอยู่ด้วยการไล่ตามความฝันของตัวเอง จากความฝันหนึ่งสู่อีกความฝันหนึ่ง ผันแปรเปลี่ยนไปตามช่วงวัย และตามความเข้าใจที่มีต่อโลก
ไม่ว่าในชั่วชีวิตหนึ่ง คนหนึ่งคนจะทำตามที่ฝันได้สำเร็จมากน้อยเพียงไร นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับว่า คนๆนั้นจะทำความฝันเพื่อผู้อื่นด้วยหรือไม่


ผมเองก็เป็นคนๆหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตอยู่กับการไล่ตามความฝันของตัวเองเฉกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่ฝันของผมนั้นบางครั้ง กลับถูกนิยามว่าบ้าบิ่นและไร้สติ จากคนที่รู้จัก
เส้นทางเดินสู่ความฝันของผมนั้นจะเป็นอย่างไร และในโลกแห่งความเป็นจริงจะมีเศษเสี้ยวของความฝันของผมปรากฏอยู่มากน้อยแค่ไหน บางที ถ้าผมได้พูดถึงมันให้คนที่ตามรอยฝันเดียวกันได้ฟัง น่าจะช่วยให้คนๆนั้นเข้าใจความฝันและตัวตนของเขาได้ถ่องแท้ขึ้น

ย้อนเวลากลับไปสิบห้าปี ตอนนั้นผมทำงานเป็นนักออกแบบ
อยู่กรุงเทพ มีชีวิตเหมือนกับมนุษย์เงินเดือนทั่วๆไป เช้าขึ้นมาก็ไปทำงาน เย็นก็กลับบ้าน วันพิเศษหน่อยก็สังสรรค์กับเพื่อนหลังเลิกงาน
ผมจำไม่ได้ว่าความรู้สึกเบื่อวิถีชีวิตแบบนี้มันเริ่มต้นมาอย่างไร ตอนนั้นผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า ชีวิตเช่นที่กำลังเป็นไปอยู่นี้ เป็นสิ่งที่เรามีความสุขกับมันหรือไม่
วันหนึ่งเพื่อนที่รู้ใจเอาหนังสือหลายเล่มมาให้อ่าน เป็นหนังสือเกี่ยวกับ ความหมายของชีวิต อนาคตของโลกที่มีผลจากการกระทำของมนุษย์ เกษตรธรรมชาติ ฯลฯ
และแล้วฟางเส้นสุดท้ายที่ยึดผมเอาไว้กับชีวิตคนเมืองก็ขาดลง หลังจากความคิดตกผลึกและคิดได้ว่าโลกใบนี้ยังมีอีกหนึ่งทางเลือกให้ค้นหา ผมมุ่งหน้าสู่วิถีธรรมชาติ ไปทำสวนทำไร่ที่ชนบททางภาคเหนือของประเทศในทันทีโอกาสมาถึง


ผมได้ที่ดินแปลงหนึ่ง เป็นที่เนินเขาเกือบติดชายป่า ในตอนที่ผมมาอยู่ใหม่ๆ ที่ดินของผมแทบไม่มีอะไรเลยนอกจากทุ่งหญ้าและวัชพืชพื้นเมืองอื่นๆ จากนั้นผมก็เริ่มสร้างกระท่อมมุงคาและปลูกต้นไม้ ผมตั้งใจจะทำสวนเกษตรแบบธรรมชาติและคิดว่า ผมจะมีความสุขถ้าใช้แบบเรียบง่ายและรายได้จากสวนก็นี้จะน่าพอสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ
เวลาที่ผ่านไปพิสูจน์ได้อย่างน้อยสิ่งที่ผมคิดไว้สิ่งหนึ่งเป็นเรื่องจริง
ผมได้พบกับช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต เป็นความทรงจำที่ไม่เคยลืมเมื่อครั้งที่ผมใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในบ้านหลังเล็ก ทำสวนปลูกต้นไม้ปลูกผักเอาไว้กิน เมื่อถึงหน้าหนาวตอนเย็นก็ก่อไฟต้มน้ำอาบ ตกค่ำก็จุดตะเกียงอ่านหนังสือ ฯลฯ
ช่วงเวลานั้นช่วงหนึ่งผมได้บันทึกไดอารี่เก็บเอาไว้ เมื่อถึงตอนนี้ที่ได้อ่านมันอีก ผมรู้สึกว่าตัวตนของผมได้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ผมคิดว่าสัมผัสถึงธรรมชาติอย่างที่เคยมีในครั้งนั้นได้ห่างหายไปจากตัวผมคนปัจจุบันเสียแล้ว คงเป็นเพราะวัยที่มากขึ้นและภาวะแวดล้อมที่บีบคั้นทางเศรษฐกิจที่ทำให้ผมเปลี่ยนไป

10 ก.ค 35.... กลิ่นกลุ่นใอฝนหอมชื่น เอนกายแกว่งไกวเปลญวน พร้อมโอวันตินควันฉุยๆหลังมื้อเที่ยงง่ายๆที่เพิ่งผ่านไปพร้อมสายฝน พักกายพักใจอยู่ตรงนี้.........สบายใจดี
หญ้ารูซี่ที่เพิ่งปลูกหลังจากที่ได้น้ำฉ่ำมาหลายวัน พร้อมใจออกอวดใบเรียวเขียวใสกล่นพื้น
ตรงข้ามกับข้าวโพดหวานเม็ดน้อยที่หมดโอกาชูช่อแตกใบ เจ้าหนูตัวร้าย! คุ้ยขุดเอามาเป็นอาหารโอชะตั้งแต่ยังไม่ทันงอก
อนิจจา...แล้วนี้เราจะเอาข้าวโพดฝักหวานอวบจากที่ไหนกันไปฝากสาวที่ต้องตา


11 ก.ค เมื่อคืนมีฝนตกจั่ก..จั่ก กระทบใบคา เหมือนบทเพลงเห่กล่อมให้นอนฝันดี พอรุ่งเช้าก็พบกับภาพสวย
สายหมอกโรยตัวต่ำจูงมือกันรายรอบภูสีหม่น เหมือนขบวนละครสัตว์ มีช้าง หมี กวาง เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ คอยเสียงปรบมือของเด็กๆ แล้วพรุ่งนี้คณะละครสัตว์จะผ่านมาแถวนี้อีกมั้ยนะ
หญ้างอกเอาๆ ส่วนใหญ่เปลี่ยนจากเมล็ดเป็นต้นอ่อนได้ทันก่อนฝูงมดง่ามมาเยือน ถ้าเราเป็นเม็ดหญ้ามาเจอมดฝูงใหญ่ขนาดนี้...เราคงช๊อค มากันดำพรึดไปหมด
เม็ดถั่วฝักยาวที่พึ่งลงแปลงเมื่อ 3-4 วันก่อน ก็โป่งดินผลิใบเลี้ยงเรียบร้อย คงต้องรอลุ้นระยะต่อไปว่าจะรอดจากปากแมลงได้ซักกี่ต้น


12 ก.ค ... วันนี้คือวันของผีเสื้อ....บินร่อนท้าสายลมอยู่เต็มทุ่ง มองดูไกลๆคล้ายกับดอกหญ้าที่ปลิวฟุ้งตามลมกรรโชก
เมฆฝนดูจะห่างจากเราไปแล้ว เมฆอยู่สูงเหลือเกิน ยังไม่มีทีท่าว่าฝนจะตกในวันนี้ แม้ว่านาบางแปลงเริ่มไถและปักดำรอท่าฝนกันบ้างแล้ว


13 ก.ค ...กลางวันมีฝนตกลงมา คนกลัวฝนอย่างเราหนีเข้ามานั่งเขียนบันทึกอยู่ในใต้ถุนเรือน แต่เจ้าแมลงปอกลับตากปีกเปียกฝน แน่วนิ่งอยู่ที่กิ่งตายของไผ่ไร่อย่างไม่สะทกสะท้านเม็ดฝน....มันคงดีใจที่สายฝนปรายลงมา


22.ก.ค....สายฝนโรยเม็ดอยู่ตลอดวัน แหงนหน้ามองฟ้าก็เห็นแต่สีเทาๆ ดูราบเรียบเต็มฟ้าไปทั้งผืน ปราศจากเมฆฝนโดยสิ้นเชิง
เปาะแปะๆ....เสียงน้ำฝนหล่นกระทบใบคาขณะที่นั่งอาบน้ำอุ่นๆอย่างสบายอารมณ์ สายฝนทำให้แมกไม้และเทือกภูดูเหน็บหนาว ไอเย็นเยียบของหมอกลอยปกคลุมอยู่ทั่วไป
ภาพเบื้องหน้าเราขณะนี้.....ดูสงบนิ่งและสวยงาม
ทั่วสวนเต็มไปด้วยต้นถั่วดำ งอกงามอยู่กับกระจุกหญ้าที่เราหยอดเมล็ดลงปลูกพร้อมกัน....สวนข้างๆก็ไถแล้วเหมือนกัน...ทำแปลงปลูกพืชที่เป็นเครื่องเทศเอาไว้เปรียบเทียบกับแปลงที่หว่านโดยใช้ดินเหนียวหุ้มเมล็ด อันไหนจะงอกงามดีกว่ากันนะ


26 ก.ค......นั่งมองผ่าความมืดออกไปจากในบ้าน ฟ้าดูสลัวตัดกับชาย "คา" สีเข้ม ที่โดนลมพัดไหว
ดูสิ...ธรรมชาติอยู่ใกล้ตัวเราแค่นี้เอง
ดินยังไม่ได้แดดมาหลายวันแล้ว เป็นการดีที่เรารีบลงกล้าไม้ในช่วงนี้
.....บอกกับฟ้าขอฝนอีกหน่อยได้ไหม ฟ้าไม่ตอบกระไร
ไม่มีแดดไม่มีฝนตลอดวัน.....


27 ก.ค.... อ่านจดหมายของ "ป๋อม" ที่มีมาถึงด้วยแสงตะเกียง ก็ให้นึกขึ้นมาว่า ถ้าเจ้าตัวคนเขียนรู้ว่าจดหมายของเธอถูกบรรจงอ่านซ้ำๆด้วยแสงสวยของตะเกียงวอมแวมอยู่อย่างนี้ เธอคงปลื้มอยู่ไม่น้อย
เริ่มลงปลูกไร่กระถินยักษ์แล้ว...เป้นความกรุณาของแรมโบ้อ๋อยที่อุตส่าห์เป็นภาระหาซื้อให้ หลายวันมานี่ได้กินแต่ข้าวต้มเป็นอาหารมื้อเย็น จะได้เร็วขึ้นมาอีกนิด..ขืนทำข้าวสวยมีหวังหิวตาย


30 ก.ค....ฝนตกถี่ขึ้น บางวันก็ตกทั้งเช้า กลางวัน เย็น อย่างเช่นวันนี้ ที่พิเศษกว่าทุกวันก็คือมีลมแรงพัดต้นไม้ไกวตัวโอนเอน ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่หน้าบ้านก็ลู่ลมจนน่ากลัวจะหักโค่น
ธรรมชาติบางครั้งก็สวยงาม บางครั้งก็น่ากลัว..
แม่ลงไปกรุงเทพเมื่อวาน ..หว่านข้าวคลุมแปลงแล้ววันนี้ เครือเถาที่เราปล่อยทิ้งเอาไว้ เริ่มพันเกะกะแข็งขา


แล้วบทบันทึกธรรมชาติของผมก็ได้ปิดหน้าลง เมื่อผมมีเวลาให้กับความรู้สึกของตัวเองน้อยลงเกินกว่าจะกลั่นเป็นตัวหนังสือได้
วันเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง ในที่สุดผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียวในสวนอีกต่อไป ผมได้อยู่กินกับสาวที่อยู่ละแวกบ้าน และ "เรา"ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายอาศัยอยู่ในสวนต่อไปอีกหลายปี จนกระทั่งลูกสาวของเราได้เกิดขึ้นมา เราจึงต้องย้ายออกมาอยู่ที่บ้านนอกสวน
นี่เป็นเวลาที่ผมต้นชีวิตใหม่เริ่มความฝันอันใหม่ที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


ผมอาจจะจัดอยู่ในกลุ่มที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็น "กบฏสังคม" ผมมักจะมีแนวความคิดที่แปลกแยกออกไปจากแนวทางที่เป็นกระแสสังคม ที่คนอื่นๆส่วนมากยอมรับและยินดีที่จะยึดมาเป็นสาระของชีวิต


เรื่องการศึกษาในโรงเรียนก็เป็นสิ่งที่ผมมีข้อโต้แย้งและปฏิเสธในวิธีการจัดการศึกษา กล่าวโดยสรุปผมสอนลูกของผมเองแบบโฮมสคูล แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ2-3ปีในชั้นอนุบาล แต่ผมเชื่อว่าผมไม่พลาดที่จะมีโอกาสได้ปลูกฝังทัศนคติในการเป็นคนดี และได้ใช้เวลาในช่วงเวลาทอง(1-5 ขวบ)อย่างคุ้มค่าที่สุดในการให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูก

วันนี้ลูกสาวของผมอยู่ชั้น ป.4 แล้ว ตอนที่ผมกับลูกทำโฮมสคูลด้วยกัน มักจะมีคนแนะนำด้วยความห่วงใยในประเด็นที่เด็กจะเรียนไม่ทันเพื่อน ไม่ก็เข้าสังคมไม่เป็น และอื่นๆอีกมากมาย
ถ้าผมไม่เข้าข้างลูกตัวเองเกินไป ผมต้องบอกว่าทฤษฏีดังกล่าวเป็นเรื่องเหลวไหล อย่างน้อยก็กับครอบครัวของผมที่การสอนแบบโฮมสคูลไม่ได้มีข้อบ่งชี้ใดๆเลยว่า จะเป็นไปในแนวโน้มดังกล่าว โดยดูได้จากการที่ลูกสาวของผมสอบได้ที่หนึ่งของห้องมาตลอด อีกทั้งมักจะถูกเลือกจากครูให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนในการทำกิจกรรมต่างๆ และลูกสาวของผมกลายเป็นขวัญใจของเด็กรุ่นน้องเพราะชอบเล่านิทานให้ฟัง
ถ้าจะมีคนถามว่า "ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะยังสอนลูกแบบโฮมสคูลอยู่อีกไหม" ผมจะบอกว่า "แน่นอนครับ สอนอยู่แล้ว และถ้าเป็นไปได้เราจะเรียนกันแบบโฮมสคูลให้นานที่สุดที่เราจะทำได้"


เมื่อพูดถึงการทำมาหากิน ผมนึกอยู่เสมอว่าถ้าเป็นไปได้อยากจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมในขณะเดียวกันก็ก็สามารถมีรายได้ดูแลครอบครัวได้
สิ่งที่ผมคิดเอาไว้ก็คือชุมชนทวนกระแส เป็นความคิดที่ผมอยากจะทำให้เป็นรูปธรรม สิ่งที่ยากสำหรับผมก็คือการหาเพื่อนร่วมแนวความคิดเดียวกัน