เรื่องนี้คุณเขียนเอง
  
From : 
คุณนาคศิริพงศ์ นาคะศิริ (goo_eng@i-kool.com )
 
นามปากกา :  นางเงือก  
To : 
gagabart2@hotmail.com
 
Subject : 
เรื่องสั้น - สิ่งสมมุติ
 
Date : 
29 Nov 2002 19:10:34 GMT
 
     
 

สิ่งสมมุต ??


ในโลกใบกลมกลมใบนี้  มีสิ่งต่าง ๆ ให้เราค้นหา
ให้พบเจอ  ทั้งร้ายและดี

บางคนคิดว่า   ฟ้าได้ลิขิตชีวิตของเขาไว้แล้ว
เขาเพียงแต่เดินตามทางสายนั้นก็เท่านั้นเอง
แต่บางคนกลับคิดว่าชีวิตของเขา  เขาเป็นผู้กำหนดมันเอง
……ว่าจะเป็นเช่นไร
ซึ่งไม่มีใครรู้หรอกว่าจริงๆแล้ว  มันเป็นอย่างไร

บนชั้น  28  ของตึกระฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางใจเมือง
แสงแดดของยามเช้าได้ลอดผ่านช่องผ้าม่านสีฟ้าอ่อน
มันค่อยๆ  สาดผ่านพื้นห้อง  กินบริเวณเรื่อยๆ  จนมากระทบกับร่างของชายหนุ่ม

ความสว่างทำให้เห็นว่าร่างนี้ขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มหนานุ่ม
เขาพยายามยกขอบผืนผ้านั้นขึ้นบังแสงที่ส่องกระทบหน้า
"มันช่างรบกวนการนอนของกูเสียจริง"  เขาคิด
แต่แล้วเขาก็ต้องจำใจตื่น  จากเสียงรบกวนของนาฬิกาปลุกบนหัวเตียง
ที่มาพร้อมๆ กับเสียงจากมือที่กระทบกับแผ่นบานประตูไม้

"ตื่นได้แล้วลูก" เสียงจากหญิงวัยกลางคนดังมาจากด้านนอก
ชายหนุ่มบิดตัวไปมาบนที่นอน  พลางยกมือไปกดปุ่มตัดวงจรของวัตถุที่ส่งเสียง
รบกวนโสตประสาทนั้น  และความคิดแรกของเช้านี้ที่ผ่านมาในหัวของเขาก็คือ
"น่าจะออกไปสูดอากาศหน่อยดีกว่า"
ชายหนุ่มลุกจากที่นอนช้าๆ  เดินผ่านกองหนังสือที่วางเกะกะอยู่บนพื้น
กลิ่นอับภายในห้อง  ส่งให้เขาเร่งฝีเท้า   "เกลียดจริงๆ กลิ่นแบบนี้"   เขาคิด

  เมื่อเดินมาถึงบริเวณระเบียง  เขาก็แหวกม่านเพื่อรับอากาศจากภายนอก
แม้อากาศภายนอกจะเจือปนไปด้วยฝุ่นละออง  แต่ก็ดีกว่ากลิ่นอับภายในห้อง
"สงสัยต้องทำความสะอาดแล้ว"
เขาคิดพลางมองดูห้องสีฟ้าอ่อนที่อยู่เบื้องหลัง  มันเป็นห้องเล็กๆ
ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์  นานาชนิด
จนทำให้ห้องที่เล็กอยู่แล้ว   แทบหาที่ว่าง…..ไม่เจอ

"วันใหม่ของเราได้เริ่มแล้วสินะ"   เขาคิด
แล้วแหงนดูท้องฟ้าที่มีฝูงนกบินออกหากินยามเช้า
พวกมันคงเริ่มชีวิตของวันพร้อมๆกับเขา
"อืม….วันนี้อากาศดีจัง"  ถ้อยคำประโยคแรกที่ออกมาจากปากของชายหนุ่ม
แล้วเขาเดินกลับเข้าห้อง  ผ่านเตียง  แล้วเลี้ยวเข้าห้องน้ำ
เขามองไปที่กระจก  สิ่งที่ปรากฏก็คือ
ภาพเสมือนกลับด้านของ….ผมเอง

เมื่อแต่งตัวเสร็จ  ผมส่องกระจกอีกครั้ง  เพื่อดูว่าเรียบร้อยหรือยัง
เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดี ก็ก้าวเท้าออกจากห้องน้ำ  เดินผ่านกองหนังสือ
เอื้อมมือไปสัมผัสลูกบิดประตู  แล้วหมุนก้อนโลหะกลมนั้น
เมื่อประตูถูกเปิดออก  หญิงวัยกลางคนนั้นรับรู้ได้ว่าลูกของตนเสร็จธุระส่วนตัวแล้ว

  จึงส่งเสียงเรียกให้บุตรชายมากินข้าวก่อนไปทำงาน   "ครับแม่"  ผมตอบกลับไป

อาหารทุกๆมื้อนะครับ  แม่ของผมน่ะจะตั้งใจทำสุดฝีมือของเธอเลยทีเดียว
       ผมกินข้าวไปดูข่าวตอนเช้าไป   ผมชอบนะ  ชอบที่จะดูข่าวทุกๆเช้า
บางคนว่า "จะเครียดแต่เช้าเลยเหรอ"
  มันเป็นความเคยชินที่ทำให้ผมขาดมันไม่ได้  ขอดู  ขอฟัง  สักนิดก็ยังดี
พอกินเสร็จ  ผมก็เอื้อมหยิบเป้คู่ใจ  แล้วสะพายพร้อมกล่าวลาแม่

ผมกดลิฟต์ให้ลงไปชั้น 1  ระหว่างที่ลิฟต์ค่อยๆ  เคลื่อนลง
ผมยืนมองเงาตัวเองที่ปรากฏอยู่บนผนังลิฟต์เบื้องหน้า  แล้วก็
เกิดความคิดว่า "ผมมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไร"

ระยะทางที่ลิฟต์เคลื่อนตัวกว่า  27 ชั้น  ลงสู่เบื้องล่าง
ผมพยายามหาคำตอบ จากคำถามโลกแตกที่ว่านี้  ผมคิดแล้วคิดอีก
แต่ช่วงเวลาเพียงชั่วครู่นั้นไม่อาจเพียงพอ  เมื่อเสียงกริ๊งดังขึ้น
มันก็บอกกับตัวผมว่า  บัดนี้ผมลงสู่ชั้น 1  แล้ว
ผมละจากห้องแห่งความคิด  แล้วเดินออกจากลิฟต์
"พักไว้ก่อนแล้วกัน"  ผมบอกกับตัวเองเช่นนั้น

ตอนเด็กๆ  ผมเคยสงสัยในหลายๆ  สิ่ง   แต่ด้วยวิทยาศาสตร์  มันสามารถอธิบาย
เรื่องเหล่านั้นให้ผมเข้าใจถึงความเป็นไปของมัน
จนผมนึกสงสัยว่า  หากในวันหนึ่งวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้ว

เสน่ห์ของความลึกลับที่ชวนให้เราค้นหาจะยังมีอีกหรือ?
นับแต่นั้นมาหากผมสงสัยในเรื่องไหน  ผมพยายามไม่ถามใคร
แต่ผมจะเก็บไว้  แล้วหาคำตอบของมันด้วยตัวของ…ผมเอง


เมื่อผมเดินออกจากอาคารหลังใหญ่ที่ซึ่งกลืนชีวิตของผมกว่าครึ่งชีวิตที่ผ่านมา
ผมก็เจอกับความรีบเร่ง  ความวุ่นวายที่อยู่เบื้องหน้า
บนฟุตบาทซึ่งคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย  หลากหลายอาชีพ
ขอทาน  นักเรียน  แม่ค้า  นักธุรกิจ  ไฮโซ ไฮซ้อ  แม้แต่หมาทั้งหลาย
ทุกตัวตนแตกต่างกัน  แต่ทุกๆ เช้าต่างก็ต้องใช้เส้นทางสายนี้ในการดำเนินชีวิต

 และแน่นอน   ไม่เว้นแม้แต่ผม

ผมก้าวลงจากบันได  เดินลงไปสู่ความวุ่นวายนั้น
บัดนี้ผมได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมัน  แรงถาโถมของคนที่เดินขวักไขว่ไปมา
เบียดร่างของผมให้ไปตามแรงนั้นชนกันบ้าง  เหยียบเท้ากันบ้าง
แต่ทุกคนต่างรู้ว่า  ยากนักที่จะมีเสียงขอโทษ
มันเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วในเมืองหลวงที่น้ำใจหายากเช่นนี้

ผมเดินไปสักพักก็ถึงป้ายรถเมล์  จุดศูนย์รวมผู้คนอีกจุดหนึ่ง
สภาพที่ผู้คนต่างยื้อแย่งกัน  เพื่อที่จะได้ขึ้นก่อน
การรอคอยหรือแม้แต่เด็กน้อยถือกระเป๋าใบโตที่น่าคิดว่า
 หากนำกระเป๋ามาชั่งแล้ว  บางทีมันอาจจะหนักกว่าคนถือก็เป็นได้

รถเมล์สายที่ผมรอคอยมาถึงแล้ว  แม้ในรถจะเต็มไปด้วยผู้คน
ที่ขึ้นไปคุณอาจได้เมียกลับมาบ้านด้วยฟรีๆ คนหนึ่ง  แต่ผมก็ต้องขึ้น
เพราะเวลาที่มีจำกัดในการเดินทาง  ผมก็เป็นคนคนหนึ่งที่บ้านกับที่ทำงาน
ห่างไกลคนละซีกโลก  แต่ทำไงได้ล่ะ  เพราะเงินเป็นปัจจัยที่สำคัญในชีวิตไปเสียแล้ว

งานสมัยนี้น่ะหายากจะตายไป  แต่ผมเลือกได้เหรอ
ทุกวันนี้สังคมเมืองมันเป็นระบบทุนนิยมไปเสียแล้ว
นายทุนมีอำนาจในการต่อรอง  ผมมันก็เป็นเพียงน็อตตัวหนึ่ง
เป็นตัวหนึ่งที่ทำให้กลไกของระบบดำเนินไป  เขาพร้อมที่จะไขน็อตตัวนี้ทิ้ง
แล้วหาน็อตตัวใหม่ได้ไม่ยากหรอก  มีน็อตอีกนับพันนับหมื่นตัวที่รอให้เขาเลือกใช้

ดังนั้นผมจึงต้องรักษาสภาพให้ดีอยู่เสมอ  ให้เขาพอใจที่จะใช้น็อตตัวนี้ต่อไป

และแล้วพาหนะทรงสี่เหลี่ยมก็พาผมมาถึงจุดหมาย  ผมก้าวลงทางประตูเดิมที่เคยขึ้นมา

กลับไปสู่ความวุ่นวาย  ผมเดินทะลุผ่านความวุ่นวายนั้น
เข้าสู่อาคารหลังใหญ่  ชีวิตอีกครึ่งของวันของผมอยู่ที่นี่
  อากาศภายนอกกับภายในนี้ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
เหงื่อไคลตามตัวได้ถูกไอเย็นดูดซับจนแห้ง  รอให้ขัดออกเมื่อยามอาบน้ำ
เสียงดังหึ่งๆ ของเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่  เสียงการสนทนาของผู้คน
แสงสีทองเรื่อๆ  ช่วยสร้างบรรยากาศให้ภายในอาคารดูหรูหรา
  ทั้งที่จริงแล้วความสับสนวุ่นวายในนี้  ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับภายนอกเลย

ผมมองไปที่นาฬิกาเรือนใหญ่ข้างหน้า  "ตายจริง  ผมมาสายเหรอนี่"
ผมรีบวิ่งตรงไปยังลิฟต์  ประตูจะปิดแล้ว  อีกนิดเดียวเท่านั้น
"ขอให้ทันเถอะ" ผมคิด  แต่เพียงเสี้ยววินาทีประตูก็ปิดลง
และตอนนี้ตัวผมก็เข้าไปอยู่ในลิฟต์แล้ว  สภาพแออัดในนี้ทำให้จิตใจผมที่แย่อยู่แล้ว

แย่ลงกว่าเดิม  ผมบอกให้คนข้างหน้าช่วยกันกดไปที่ชั้น11 ให้ที  แต่เขากลับทำเฉย

ผมฉุน  ผมเลยปลีกตัวออกมากดเองและผมก็ได้รู้ว่า  เขาเป็นคนหูตึง
โดยสังเกตจากเครื่องช่วยฟังที่เขาถืออยู่  ทำไมเขาไม่ใส่มันไว้ล่ะผมคิด
แต่ผมก็ต้องละความสนใจจากเรื่องนี้  เมื่อลิฟต์มาถึงชั้น11 พอดี
ผมก้าวออกจากลิฟต์  แล้วเดินตามทางที่เดินอยู่ทุกวันเข้าไปในที่ทำงาน
ทุกคนทักทายผมและผมก็ทักทายพวกเขาเช่นกัน  แต่ก็มีเสียงแข็งกร้าวมาทางด้านหลัง


"คุณมาสายอีกแล้วนะ"  เจ้านายผมเองคือเจ้าของเสียงนั้น
 ผมทำได้เพียงกล่าวคำขอโทษและบอกว่าจะไม่มาสายอีก

กริ๊ง…กริ๊ง….กริ๊ง….
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากโต๊ะของผม   ผมวางเป้แล้วรับสาย
"เจ๊เฮียงเหรอ  เอาแก๊ส 1 ถัง  ส่งที่เดิม"  เสียงหญิงสาวมาตามสาย
"เอ่อ….ขอโทษครับคุณคงโทรมาผิดเบอร์แล้วละครับ"  ผมตอบไป
"ใช่สิ….เบอร์นี้แหละ  อย่ามาอำเลย  ไปเรียกเจ๊เฮียงมาคุยกับฉันหน่อย"
เสียงนั้นยังคงมั่นใจว่าตัวเองโทร มาถูกเบอร์แล้ว
"ผมไม่ได้อำนะ  ที่นี่บริษัทไฟแนนซ์ นะครับคุณ"  ผมบอกไปงัวๆ
"ก็บอกว่าอย่าอำกันไง    ไม่เข้าใจเหรอ    ฉันไม่มีเวลาพอที่จะมาเล่นกับคุณหลอกนะ"

เธอเถียงกลับ  จนผมเริ่มท้อใจ   "ครับๆ  แล้วจะไปส่งให้นะ"
ผมขี้เกียจมานั่งเถียงกับคนที่พูดไม่รู้เรื่องอีก  เลยตัดบทเออออเป็นร้านแก๊สไป

"โธ่…แม่ล้อเล่นน่ะลูก  เป็นไงไปทันไหม  สายอีกหรือเปล่า"
เอาอีกแล้ว  แม่ผมผู้มีฉายาเจ้าแม่ร้อยเสียง  ผมเองก็น่าจะจำเสียงของแม่ได้นะ
"ครับ  สายอีกแล้วครับแม่"
 "แม่ว่าเราน่าจะย้ายมาทำงานใกล้ๆบ้านนะ  จะได้ไม่ต้องรีบร้อนไปทำงานแบบนี้"
 แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเป็นห่วง
"ครับแล้วผมจะลองๆ มองหาดูละกัน"




ผมกับแม่  เราอยู่ด้วยกันเพียงลำพังสองคนมาสัก 10 ปีได้แล้วตั้งแต่พ่อหายสาบสูญไป

แม่บอกว่า  วันนั้นพ่อออกไปทำงานตั้งแต่เช้า  พอกลับมาตอนเย็นก็มีสีหน้าไม่ค่อยดี

พ่อไม่ได้พูดจาอะไรกับแม่  แล้วก็ถือถุงขยะลงไปทิ้ง
พ่อหายไปนานมาก  แม่ห่วงจนต้องลงไปตามและก็พบเพียง
……ถุงขยะที่วางอยู่ใกล้ๆ  กับถังขยะ
แม่ตามหาพ่อไปทั่ว  ถามคนนี้  ถามคนโน้น  แต่ก็ไม่มีใครเห็นพ่อเลย
  แม่ไปแจ้งความ…แต่เรื่องก็เงียบไป  ศาลสั่งให้พ่อเป็นบุคคลสาบสูญ
ที่ผมเสียใจจนมาถึงทุกวันนี้ก็คือ  เย็นวันนั้น  ผมมัวเล่นบอลอยู่กับเพื่อนจนเย็น

โดยที่ลืมไปว่าวันนั้นจะเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่เราจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน

และหน้าที่คนทิ้งขยะก็คือผมเอง  ถ้าหากผมรีบกลับบ้านและเป็นคนลงไปทิ้งขยะ
พ่อคงจะไม่หายตัวไป  และวันนี้เราคงได้อยู่พร้อมหน้ากัน
  แล้วหยดน้ำใสๆก็ไหลลงอาบสองแก้ม  ผมรีบเอามือซับมันก่อนที่คนอื่นจะมาเห็น
ผมไม่อยากให้ใครมาเห็นตอนผมอ่อนแอ  "ผมต้องเข้มแข็ง"  ผมคิดเช่นนั้น
ผมนั่งมองตัวเลขบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ตัวเลขช่างเยอะเหลือเกิน
 ผมหลับตาเพื่อพักสมอง  หน้าที่ของผมในบริษัทก็คือหัวหน้าแผนกบัญชี
"มันยิ่งใหญ่นะ" ผมคิด    มันเหมือนเราเป็นผู้กำหนดโชคชะตาของบริษัท
หากมีการผิดพลาดขึ้นมา  บริษัทอาจถึงกับเจ๊งได้
 ทุกบรรทัด  ทุกตัวเลข  ผมจึงต้องตรวจทานให้ดี
หากผิดพลาดนิดเดียว  มันอาจหมายถึงการที่ผมต้องไปเดินเตะฝุ่นหางานใหม่ทำ

"กริ๊ง….กริ๊ง"  เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมยกหูขึ้น
 "หงุ่นเหรอ  ตอนนี้อยู่ไหนล่ะ"
ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า  เขาโทรมาผิดหรือแม่ผมโทรมาอำอีก
"แม่อย่าอำกันน่า  ผมต้องทำงานนะ"  ผมตัดสินใจเลือกอย่างหลัง
"ใครเป็นแม่คุณ" เสียงนั้นตอบกลับ  เอ๊ะหรือว่าจะเป็นคนอื่นโทรมาผิดจริงๆ
"ขอโทษครับ  คุณโทรมาผิดที่แล้วล่ะครับ  ที่นี่บริษัทไฟแนนท์ครับ"
 ผมตอบไปอย่างสุภาพ  เสียงเธอกล่าวขอโทษกลับมา "เหรอค่ะ!   ขอโทษค่ะ"
 "ไม่เป็นไรครับ" ผมตอบพร้อมวางสายลง
วันๆหนึ่งจะมีโทรศัพท์แบบนี้เข้ามาหลายหน  จนผมจะสติแตกอยู่แล้ว
ผมเคยทำเรื่องขอให้เปลี่ยนเบอร์  แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็คือ…
"คุณก็ทนๆ ไปเถอะ  ขอเลขหมายใหม่มันแพงนะ  หรือว่าคุณจะออกเองล่ะ"
ถ้อยคำปัดสวะของผู้บริหาร  มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดไปหลายวันเชียวล่ะ
แต่เมื่อเขาเป็นนายจ้าง  เราก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก  ก็คงต้องก้มหน้าทำงานต่อไป

  ผมเองก็ยังต้องเลี้ยงแม่  ต้องจ่ายค่าคอนโด  ค่าน้ำ  ค่าไฟ 
ค่าอะไรต่อมิอะไรมากมาย

ยุคนี้อะไรๆ  ก็ถูกตีค่าด้วยเงินทั้งนั้น  ไม่มีเงินก็เหมือนขาดใจ
สังคมก็มองคุณต่ำลง  คุณว่าไหม???

  ตอนกลางวันผมชวนเพื่อนที่ทำงานคนสองคนไปกินข้าวที่ร้านใกล้ๆที่ทำงาน
พอกินเสร็จก็ต้องรีบขึ้นมาทำงานต่อ  ระหว่างที่ผมอยู่ในลิฟต์นั้นเอง
ไอ้ความสงสัยที่ว่า   "ผมมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไร"  ก็ผุดขึ้นมาให้ขบคิดอีก

               แล้วคำตอบที่ได้ก็คือ  "เพื่อแม่  เพื่อวันหนึ่งจะได้พบพ่ออีกครั้ง

และสุดท้าย..สิ่งที่ทุกคนไม่สามารถจะปฏิเสธว่าตนไม่ได้คิดเลยก็คือ…เพื่อตัวเอง"


เย็นแล้ว  ผมขนเอกสารกองใหญ่กลับมาทำที่บ้าน
ผมไม่เจอแม่   แม่ไปไหนนะ   ผมวางกองเอกสารนั้นลงบนโต๊ะทำงาน
แล้วเข้าห้องน้ำชำระร่างกายที่สกปรกจากฝุ่นควันที่เกาะติดตัวผมมาทั้งวัน
"ดึกแล้ว..ทำไมแม่ยังไม่กลับบ้านนะ"  ผมคิด  ผมเหลือบไปเห็นถังขยะ  มันไม่มีถุงขยะ



"ไม่นะ..มันคงไม่เป็นอย่างนั้นนะ"  ผมคิด  ผมวิ่งออกจากห้องแล้วกดลิฟต์ลงชั้น 1

ระหว่างที่ลิฟต์เคลื่อนลง  สิ่งที่ผมเกือบลืมไปแล้วก็แวบเข้ามาในความคิดคำนึง

"วันนี้มันเป็นวันครบรอบ 10 ปีที่พ่อหายตัวไปนี่หว่า"
เมื่อลิฟต์เปิด  ผมรีบวิ่งไปดูที่ที่ทิ้งขยะ  "เหมือนกันเลย"  ผมคิด

นั่นไงถุงขยะของบ้านผม  มันถูกวางอยู่ใกล้กับถังขยะ
" แม่คงไม่…."  ผมกลัวสิ่งที่กำลังคิดอยู่นี้เหลือเกิน

บนดาดฟ้าของตึก  ผมยืนอยู่บนขอบตึก  มองลงไปสู่เบื้องล่าง
"สูงไม่ใช่เล่นเลยเว้ย"ผมคิด    ผมคิดนะ  คิดที่จะกระโดดลงไป
บางทีนี่อาจจะเป็นทางเดียวที่จะนำผมไปพบพ่อ  หรืออาจจะรวมไปถึงแม่ด้วย
เมื่อเช้านี้อาจจะเป็นการพูดคุยกันครั้งสุดท้าย 
แต่ก็ดีนะที่เป็นครั้งสุดท้ายที่มีความสุข

 แต่ก่อนที่ผมจะกระโดดลงไป  ความคิดว่า   "ทุกวันนี้ผมมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร"
ก็ผ่านเข้ามามัน  ทำให้ผมได้คิดว่า  ณ เวลานี้ผมควรจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง
พ่อและแม่คงไม่อยากให้ผมไปพบท่านด้วยทางสายนี้  ผมควรจะเข้มแข็งต่อไป 
ท่านคงไม่อยากให้ผมอ่อนแอ
 หมดกำลังใจง่ายๆ แบบนี้
แม้ชีวิตที่จะดำเนินต่อไปข้างหน้า  จะโหดร้าย  จะวุ่นวาย จะนำพาสิ่งร้ายๆมาสู่ตัวผม

แต่คงจะมีสักวันที่จะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตผม 
คงจะมีสักวันที่ผมจะได้อยู่กับคนที่รัก

"พรุ่งนี้เช้า"  ผมคิด  "พรุ่งนี้เช้า  กูจะไปแจ้งความ"
แม้ความหวังที่จะพบหน้าแม่อีกครั้งจะริบหรี่ดังเปลวไฟที่ถูกลมพัดและกำลังจะมอดดับไป

ผมเข้านอน  รอให้เช้าวันใหม่มาถึง   เพื่อรออะไรที่ในขณะนี้ไม่มีตัวตน
แต่ผมไม่ยึดติดกับมันหรอก   ประสบการณ์มันสอนให้ผมรู้ว่า  แท้จริงแล้วทุกสิ่งในโลก
 ก็เป็นเพียงการสมมติ
ซึ่งอาจเป็นการสมมติเพียงเพื่อหลอกตัวเองและคนอื่นๆ
ชีวิตคนเรา   ต่างคนก็ต่างชีวิต
สุดท้ายก็ไม่มีใครหรอกที่ผูกพันกันไปตลอด
เช้าวันใหม่  แสงแดดอ่อนของยามเช้าสาดส่องเข้ามาคนละทางกับเมื่อวาน  ทุกๆ 
วันมีการเปลี่ยนแปลง
 ซึ่งเราไม่สามารถรู้ได้จนประสบกับมันเอง  แต่วันนี้ดูเหมือนจะพิเศษหน่อยตรงที่ว่า
 มีร่างของหญิงวัยกลางคนนอนกอดผมอยู่
ผมหันมองหน้าเธอ   คนคนนี้เธอคือแม่ของผมเอง
น้ำตาได้ไหลออกมาอีกครั้ง   คราวนี้ผมไม่อายที่จะแสดงความอ่อนแอออกมา 
เพราะมันเป็นน้ำตาแห่งความดีใจ
  ผมนึกอะไรไม่ออก  ผมรู้แต่ว่า  ชีวิตที่จะดำเนินต่อจากนี้
ยังคงมีเพื่อแม่และตัวผมเอง
เสียงกระซิบจากแม่ดังขึ้น
"โทษนะลูก   เมื่อคืนแม่ไปงานเลี้ยงรุ่น  แม่รีบไปน่ะ เลยลืมบอกลูก
ว่าแต่..แม่วานเอาขยะที่วางทิ้งไว้  ลงถังทีนะ"  แม่พูดเสร็จก็ผลอยหลับไป

ทุกอย่างมีทางเลือกของมัน   ทางเลือกที่คุณอาจจะรู้ผลลัพธ์ของมัน
แต่สำหรับบางทางเลือกคุณก็ไม่รู้สามารถรู้ได้เลยว่าผลลัพธ์ของมันเป็นอย่างไร
แต่คุณพร้อมที่จะเลือกหรือเปล่าล่ะครับ  กล้าๆหน่อยนะ
สำหรับผม  ผมพร้อมแล้วล่ะ  พร้อมที่จะเลือก  เลือกเพื่อกำหนดชีวิตตัวเอง


*แม้ตัวหนังสือจะหยุดอยู่ที่ตรงนี้  แต่ชีวิตยังดำเนินต่อไป*