The Rainbow LOVER

 

vol13

***************************

กว่าจุนโนะจะพาคาเมะมาส่งถึงบ้านก็เกือบจะล่วงเข้าวันใหม่แล้ว ชายหนุ่มยังนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ ขาสองข้างยันพื้นไว้ ขณะที่คาเมะลงมาจากรถและส่งหมวกกันน็อคให้เขา
“ราตรีสวัสดิ์ ฝันถึงฉันบ้างนะ” จุนโนะเอ่ยยิ้มๆ คาเมะเบ้ปากแล้วส่ายหน้า
“บ้าเป๊า ใครอยากจะฝันถึงผู้ชายห่วยๆ อย่างนาย”
“เห็นฉันเป็นอย่างนั้นเหรอ?”
“ก็เออเด่ะ”
“ว้า.....ไม่เหมือนเพิ่งกลับจากไปเดทกันเลยนิ เราสองคน”
“นี่ไม่ใช่การเดท ขอบอกไว้ก่อน และฉันก็ไม่มีวันเดทก๊ะนายด้วย” คาเมะชี้หน้าจุนโนะ หัวใจสั่งให้ค้าน แม้ว่าจะแอบยอมรับกรายๆ ว่า นี่คือการเดทจริงๆ
เขาหันหลัง เห็นหน้าบ้านตัวเองสว่างวับแวมจากแสงไฟหน้าบ้านที่เปิดเอาไว้ ป่านนี้ทุกคนในบ้านคงจะหลับสบายกันหมดแล้ว รวมถึงน้องสาวของเขาด้วยล่ะซิ แต่พี่ชายกับแฟนของน้องยังมายืนโต้คารมกันอยู่นอกบ้าน
คาเมะเอี้ยวหน้ามาบอกจุนโนะว่า
“ฉันจะเข้าบ้านล่ะ ขี่รถดีๆ ล่ะ อย่าเที่ยวไปโฉบใครอีก ...บาย...”
เขาเดินหันหลังให้จุนโนะได้สองก้าว ก็รู้สึกว่าคอเสื้อโค้ทของตัวเองถูกเหนี่ยวเอาไว้จากทางด้านหลัง ทำให้หยุดชะงักในการก้าวเดิน
“อ๊ะ?” คาเมะจะหันไปมองคนที่รั้งเขาเอาไว้ แต่แล้วเขาก็รู้สึกถึงแรงดึงจากปกเสื้อของตัวเอง และคราวนี้มันก็รวมถึงบั้นเอวคอดที่ถูกโอบรัดจนลำตัวรั้งกระทบกับแผ่นอกของคนด้านหลัง
จุนโนะนั่นเอง ร่างสูงเดินตามเขามาเมื่อไรไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ใกล้ชิดกันเหลือเกิน
“เอ๋?” คาเมะเลิกคิ้ว
“จะบอกราตรีสวัสดิ์ให้มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไงหือ?” เสียงกระซิบต่ำพร่าดังขึ้นที่ริมหู

.......ตึก...ตัก... ตึก...ตัก...

เสียงหัวใจของคาเมะเต้นระรัว เขากำลังถูกชายคนนี้โอบกอดแนบแน่นอีกครั้ง และครั้งนี้เพิ่มความอ่อนโยนเข้าไปอีกหลายเท่าทีเดียว
บรรยากาศเป็นใจแบบนี้ ทำให้คาเมะไม่อาจสะกัดกลั้นอารมณ์หวานที่เกิดขึ้นภายในใจ และพยายามที่จะเก็บกักมันเอาไว้ใต้ก้นบึ้งของหัวใจได้อีกต่อไป เขาเป็นฝ่ายพลิกกาย หันมาเผชิญหน้า และโอบกอดร่างสูงของจุนโนะไว้เช่นกัน
“จุนโนะ....ฉัน....” เสียงนั้นไม่ดังเกินเสียงกระซิบ เขาซุกหน้าจมหายไปกับเสื้อโค้ทสีดำของจุนโนะ
“หือ?”
“เอ้อ.....ฉัน......เอ่อ....เปล่า...” คนตัวเล็กกว่าส่ายหน้า เป็นการตอบปฏิเสธที่จะกล่าววาจาใดๆ อีก
“เป็นอะไรไปหือ เจ้าเต่าน้อย?” จุนโนะก้มลงถาม ทำให้ริมฝีปากของเขาแตะที่ข้างหน้าผากของคาเมะ
คาเมะไม่ตอบ แต่กดน้ำหนักมือที่รอบเอวของจุนโนะ ซุกหน้าลงไปให้แนบสนิทกับหัวใจที่เต้นตึกตักของจุนโนะสุเกะ

“อย่าพูดอะไรได้มั้ยอ่ะ” คาเมะพูดอู้อี้ ...จุนโนะจึงเงียบเสียง เขาได้แต่โยกตัวร่างบางเบาๆ สัมผัสที่ศีรษะที่มีกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มนั้น รับรู้ว่ามันเย็นเฉียบจนจุนโนะต้องคลี่ชายเสื้อโค้ทคลุมร่างของคาเมะเพื่อป้องกันอากาศเย็นจากภายนอก
การได้กอดกันไว้เช่นนี้ คงจะแทนความรู้สึกใดๆ ได้เป็นอย่างดี ในบรรยากาศอันสุดแสนจะโรแมนติกและเปลี่ยว ปราศจากผู้คน ทำให้จุนโนะเชยคางคาเมะขึ้น ดวงตาสบกันในความสลัวเลือน ริมฝีปากอุ่นจัดขัดกับผิวหน้าอันเย็นเฉียบประทับลงแนบสนิทกับปากหยักอิ่มของคาเมะ
“อึก......” คาเมะครางได้เท่านั้นเพราะเสียงของเขาถูกดูดวาบหายเข้าปากของจุนโนะไปแล้ว ร่างบางสั่นระริกขณะเขย่งปลายเท้าให้ริมฝีปากทั้งสองได้สัมผัสกันอย่างแนบสนิทมากกว่าเดิม
ความรู้สึกวาบหวามบังเกิดขึ้น เมื่อต่างฝ่ายต่างเผยอริมฝีปากออก ลิ้นต่อลิ้นสัมผัสกันและกัน จุมพิตรัวกระหน่ำอย่างดูดดื่มและเร่าร้อน อากาศอันหนาวเย็นก็ไม่อาจเทียบได้กับความร้อนในกายของสองหนุ่ม

ปลายนิ้วของจุนโนะสัมผัสแผ่วเบาที่ดวงหน้าซึ่งแหงนเงยรับจูบจากเขา สัมผัสอ่อนนุ่มและเนียนละมุนมือเหมือนผ้าแพรเนื้อดี .......
“อืม........” จุนโนะส่งเสียงภายในลำคอ จูบร้อนแรงของพวกเขาทำให้เลือดในกายเดือดพล่าน ริมฝีปากนุ่มชุ่มชื้นอิ่มเต็มและบวมเป่งของคาเมะทำให้เขากดเรือนกายท่อนล่างให้แนบสนิทกว่าเดิม รับรู้ถึงความต้องการภายในกาย
คาเมะเองก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกัน เรือนกายแข็งขึงตึงเขม็งไม่ผิดกับกลีบปากอวบที่กำลังคลุกเคล้ากันอยู่ในขณะนี้

......ในเมื่อใจตรงกันขนาดนี้ ร่างกายต้องการกันและกันขนาดนี้ ทำไมถึงยังต่างปากแข็งกันอยู่ได้

จุนโนะถอนริมฝีปากออกอย่างอาวรณ์ เขาจุมพิตที่เปลือกตาที่หลับพริ้มของคาเมะ จูบแก้มใสนั้นอย่างอ่อนโยน

เขาอยากจะบอกว่า ...เขาตกหลุมรักคาเมะอย่างถอนตัวไม่ขึ้น รักมากกว่าหญิงใดที่เคยควง และมากกว่ายูกิเอะน้องสาวของคาเมะเสียอีก...
...ทั้งๆ ที่รู้ว่าคาเมะเองก็รักเขา แต่ฝ่ายนี้จะเอื้อนเอ่ยออกมาหรือก็เปล่า.......

จุนโนะจับร่างบางออกห่าง เขามองหน้าคาเมะ ขณะที่เกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าให้ อยากจะบอกว่าชอบจริงๆ
ทั้งสองมองหน้ากันนิ่งนาน จนในที่สุดจุนโนะจึงตัดสินใจเอ่ยออกมา
“คาเมะ.....ฉัน...เอ้อ........ฉัน....ชะ......ชอบ...”
.........
“เฮ้ย!! ใครมาทำอะไรกันอยู่ตรงนั้นน่ะ!!” เสียงหนึ่งดังแหวกอากาศมาขัดจังหวะ เสียงดังนั่นทำให้ทั้งสองต้องผละออกจากกัน
ทั้งจุนโนะและคาเมะมองไปยังตัวต้นเสียง เขาเห็นยามประจำหมู่บ้านถือไฟฉายกราดไปมา และกำลังเดินมาทางเขาแล้ว
จุนโนะรีบเดินไปที่รถ สตาร์ตเครื่องกระหึ่ม ส่วนคาเมะก็เดินไปหายามวัยกลางคน
“เอ้อ..เพื่อนผมนะครับลุง”
ลุงยามพยักหน้ารับรู้ เขาเห็นคาเมะมาตั้งแต่เด็กก็เลยไม่ว่าอะไร แต่ว่าเมื่อกี้น่ะซิ เจ้าหนูคาเมะคนนี้ ทำไมถึงยืนซะตัวติดกับเจ้าหนุ่มร่างสูงคนนี้ จนแทบจะเหมือนกับกอดกันอย่างนั้นล่ะ
“ฉันไปล่ะนะ...” เสียงจุนโนะตะโกนบอกสั้นๆ และขี่รถจากไป
คาเมะเหลียวมองร่างสูงถูกกลืนหายไปในความมืด เขาเผลอตัวยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก รอยจุมพิตเมื่อสักครู่ยังกรุ่นอยู่เลย ...ว่าแต่เมื่อกี้จะพูดว่าอะไรนะ.....
คิดๆ อะไรเพลินๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อลุงยามหมู่บ้านบอกว่า
“เข้าบ้านไปซะ...ดึกแล้ว”
“ครับ...ครับ..”

คาเมะเดินเข้าบ้านอย่างเซื่องซึม สิ่งที่ได้รับในวันนี้ แม้มันจะชื่นมื่นและมีความสุข แต่มันก็แสนจะน้อยนิดเหลือเกิน เพราะบางสิ่งที่เขาตระหนักดีว่า...

...หมอนั่นน่ะแฟนน้องนะ...

เขาจะทำตัวเลวทรามแย่งแฟนน้องมาได้ไง ถึงแม้ว่าเจ้าหมอนั่นมันจะมีใจไปกับเขาบ้างก็ตาม

แต่คาเมะก็ยังสงสัย ทั้งๆ ที่จุนโนะมาหายูกิเอะทุกวัน รับไปเที่ยวด้วย แต่ว่าทำไมยังมาทำอะไรเจ๊าะแจ๊ะกับเขาอีก
นั่นหมายความว่าจุนโนะสุเกะคนนี้เป็นผู้ชายที่ใช้ไม่ได้ใช่มั้ย เจ้าชู้ หวังจะรวบทั้งพี่ทั้งน้อง และไม่เลือกว่าผู้หญิงหรือผู้ชายอีกต่างหาก
...ถ้าเป็นแบบนี้ เขาจะยังหลงรักอยู่อีกหรือ..
คาเมะทิ้งตัวลงนอนหงาย ตาค้างมองเพดานห้อง เขายกมือก่ายหน้าผาก ขณะสรุปกับตัวเองว่า
“...ก็ยังรักนายอยู่ดี...จะทำยังไงดีนะ”

**********************

ยามะพีมาเปลี่ยนเวรเฝ้าร้านแทนพ่อของเขาเมื่อกลับจากไปเรียนแล้ว เขาเปลี่ยนมาใส่ชุดกางเกงยีนส์หัวเข่าขาดและเสื้อยืดสีชมพูตัวเล็กพอๆ กับรูปร่าง ผมซอยระเลื้อยตามต้นคอถูกรวบเป็นหางจุกชี้เด่ที่ท้ายทอย ....วันนั้นขายค่อนข้างดีเป็นพิเศษ ลูกค้าเข้าร้านไม่ขาด จวบจนกระทั่งเย็นย่ำ ความมืดแย้มเยือนมาทักทาย เขาจึงเดินไปพลิกป้ายร้านว่า
...close...

ยามะพียืนมองออกไปนอกร้าน วันนี้ไม่เห็นยูอิจิเลยล่ะ ...แล้วชายหนุ่มหน้าทะเล้นคนนั้นจะมาหามั้ยนะ เขาเองเมื่อเช้าก็เรียนทั้งวัน ตอนบ่ายนี่ก็เรียนอีก เพิ่งจะมีเวลาว่างก็ตอนเย็นนี่แหล่ะ...หรือว่ายูอิจิก็มีเรียนเหมือนกันน้า...
เขากัดปากพลางนึก และทำไมต้องคิดถึงคนหล่อปากห้อยด้วยนะ เจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจ รู้แต่เพียงว่า ขาดยูอิจิมาป้วนเปี้ยนสักคนก็เหมือนขาดอะไรไปหลายอย่างเลยล่ะ

......เอ....หรือว่าเขาจะรักยูอิจิขึ้นมาซะแล้ว.......

“เฮ้ย...จริงเหรอ?” ยามะพีตบหน้าตัวเองแปะๆ แล้วก็รู้สึกถึงความร้อนซู่ซ่าบนพวงแก้ม ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าหน้าตัวเองต้องแดงแน่ๆ
วันนี้คงไม่ได้เจอกัน แต่ว่าเดี๋ยวอีกหน่อยก็คงจะมา เขาสังหรณ์ใจเอาไว้ลึกๆ
...........................

ร่างบางนั่งลงหน้าเครื่องคอมฯ กำลังตรวจดูสินค้าคงเหลือและของที่จะสั่งเข้าร้าน เสียงกรุ๋งกริ๋งดังขึ้นบ่งบอกว่ามีคนเข้าร้าน แต่นี่เขาแขวนป้ายปิดร้านเอาไว้แล้วนี่นะ ทำไมถึงยังมีลูกค้าเข้ามาอีก...
“ร้านปิดแล้วครับ” ยามะพีร้องบอก แต่ว่าไม่มีเสียงตอบใดๆ กลับมา นอกจากเสียงฝีเท้าหนักๆ เร่งรีบจนมาถึงตัว

.......ต้องเป็นยูอิจิแน่ๆ เลย......

ยามะพีอมยิ้ม เงยหน้าขึ้น แต่ก็ไม่ทันได้มองอะไรนัก เพราะร่างกำยำของคนที่เข้ามาในร้านได้ปรี่เข้ามาจนถึงตัวแล้ว
“เฮ้ย!!” ยามะพีร้องได้แค่นั้น ก็ถูกมือแข็งแรงล็อกคอไว้ มือข้างหนึ่งของเจ้าหมอนั่นปิดปากเขาแน่น
“อย่าขัดขืน ส่งเงินมาให้หมด” เสียงห้าวลึกของผู้อุกอาจดังใกล้ตัว เขาได้กลิ่นเหล้าระเหยออกมาจากลมหายใจเจ้านั่นด้วย
.....ให้ตายเหอะ....นี่มันเป็นการปล้นกันชัดๆ เลยนี่หว่า...

เจ้าคนตัวใหญ่เหม็นเหล้าคนนี้ ....ไม่ใช่ยูอิจิอย่างที่คาดหวังเอาไว้....

ร่างบางดิ้นขลุกขลัก แต่ยิ่งดิ้นปลอกแขนที่รัดคอเขานั้นก็ยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีก
“อื้อ...อื้อ...” ยามะพีพยายามเตะขาเจ้านั่น แต่ก็ไร้ผล แต่มือข้างที่ปิดปากเขานั้นคลายออก เพราะเจ้านั่นล้วงเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างในขอบกางเกง จากนั้นยามะพีก็รู้สึกว่าวัตถุแข็งๆ เย็นๆ ของสิ่งหนึ่งจ่อเข้าที่สีข้างของตัวเอง
“ปืน!!” ยามะพีร้องออกมา ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เพราะกำลังเข้าตาจน
“เออ...!! มีเงินเท่าไรส่งมาซะดีๆ ถ้ายังไม่อยากตาย!!”
“ไม่นะ...” ร่างบางตัวสั่น เขาไม่อยากขัดขืน แต่ว่าแข้งขาพาลสั่นเอาดื้อๆ เพราะปลายกระบอกปืนถูกกดหนักขึ้น
“เร็ว!! และอย่าตุกติก ไม่งั้นมึงตาย!!” เสียงข่มขู่ดังเข้ามาอีก คราวนี้เสียงเหี้ยมกว่าเดิม
ยามะพีก็ไม่รู้ว่า ปืนของเจ้านี่จะจริงหรือปลอม แต่ว่าความเย็นและหนักของปลายปืนทำให้รู้ว่า อย่างน้อยมันก็ทำมาจากโลหะชนิดหนึ่งซึ่งไม่ใช่ปืนพลาสติกอย่างแน่นอน

มันบังคับให้เขาเปิดเครื่องคิดเงิน แบ๊งค์เงินจำนวนหนึ่งวางเรียงกันอยู่ในลิ้นชัก เสียงสูดปากดังขึ้นจากปากขี้เมาของมัน และในขณะที่มือใหญ่โตกำลังจะเอื้อมไปหยิบนั้น ยามะพีก็ตวัดแขนไปด้านข้าง ปัดปลายกระบอกปืนให้เหไปจากเขา การกระทำนั้นทำให้ผู้ร้ายหันขวับมาทันที และเป็นขณะเดียวกับที่ยามะพีรีบปิดลิ้นชักงับมือที่คาอยู่ของเจ้าหมอนั่น
“โอ๊ย!!” เสียงร้องดังลั่นพอๆ กับที่เสียงตะโกนของยามะพีดังขึ้น
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...!!” เสียงร้องนั้นทำให้คนร้ายหันปากกระบอกปืนมาที่เขาทันที
“เฮ้ย...อย่ายิงฉันนะ!!” ร่างบางหันตัวขวับเตะที่มือข้างที่ถือปืนของเจ้านั่น จนปืนกระเด็นหวือลอยมาตกที่ข้างประตูทางออก
จากนั้นทั้งสองคนก็ผละจากกัน ต่างคนต่างก็อาศัยความเร็ว วิ่งไปเพื่อจะแย่งปืน และเป็นขณะเดียวกับที่ประตูร้านเปิดออกกว้าง และใครคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าเขาก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยยามะพี
“ยูอิจิ...ช่วยด้วยฮะ...ผมถูกปล้น...” เสียงร้อนรนของยามะพีทำให้ยูอิจิเข้าแย่งปืนอีกคน
“ยามะพีไปเรียกตำรวจเร็ว!!” ยูอิจิตะโกนบอก เขากับคนร้ายลงไปนอนฟัดกันกลิ้ง
แต่โชคร้ายที่คนร้ายไวกว่า เป็นฝ่ายแย่งปืนมาได้ เขาหันปากกระบอกปืนไปที่ยามะพีซึ่งกำลังวิ่งไปเพื่อที่จะกดกริ่งเรียกตำรวจ
แต่ว่ายูอิจิเตะทั้งมือและปืนจนมันลอยขึ้นกลางอากาศ และตกกระทบกับพื้น

ยามะพีกดกริ่งเรียกตำรวจที่อยู่ข้างเคาน์เตอร์ถี่ๆ และขณะนั้นเองเสียงแผดก้องของปืนสั้นได้ดังสนั่นขึ้น

......เปรี้ยง......

“โอ๊ย!!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น
“หา?? ใครถูกยิง?” ยามะพีใจหายวาบ เพราะเมื่อปืนตกกระทบกับพื้นนั้น ปืนก็ลั่นไกทันที

.......ไม่ยูอิจิ ก็เป็นคนร้ายง่ะแหล่ะ......

“ไม่นะ! ยูอิจิ!!” ร่างบางถลันไปหาคนสองคนที่ยังนอนคลุกอยู่กับพื้น เลือดแดงฉานไหลนองที่พื้น
“ยูอิจิ!!” เสียงร้อนรนนั้นทำให้ยูอิจิรีบลุกขึ้นนั่ง เขาคลำตามเนื้อตัวของตัวเอง
“ฉันไม่ได้ถูกยิง แต่เจ้านั่นต่างหากล่ะ” ยูอิจิชี้ไปที่เจ้าคนร้ายที่นอนเหยียดดิ้นไปดิ้นมาที่พื้นห้อง บริเวณต้นขามีรอยเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด
“นายไม่ได้ถูกยิง” ยามะพีถอนหายใจอย่างโล่งอก เขากอดยูอิจิไว้แน่น ในขณะที่ยูอิจิก็กอดตอบร่างบางเช่นกัน
และตอนนั้นเองที่ตำรวจสองสามคน พร้อมกับคนหลายคนจากที่ใกล้เคียงต่างก็วิ่งกรูกันมาที่ร้าน
..............

คนร้ายถูกจับตัวไปแล้ว และยามะพีและยูอิจิก็ต้องไปให้การกับตำรวจ ซึ่งก็ใช้เวลานานพอสมควรทีเดียว คนร้ายถูกขังคุกและจะได้รับการดำเนินคดีต่อไป
เมื่อทั้งสองกลับออกมาจากสถานีตำรวจได้ ก็ล่วงเข้าไปค่อนคืน
“ขอบใจนะยูอิจิ ที่มาทันเวลาพอดี” ยามะพีเดินเกี่ยวมือ แกว่งแขนกับยูอิจิ หน้าตาโล่งอกโล่งใจ ไม่ได้บาดเจ็บแถมเงินยังอยู่ครบ หนำซ้ำยังมีหนุ่มหล่อแบบยูอิจิมาเดินเคียงกันแบบนี้อีก
หัวใจเต้นคึกคักเมื่อมีคนคนนี้เดินข้างกาย
.....เอ๊.....นี่เขามองยูอิจิว่าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ......

แต่ก็มาช่วยเขานี่นะ เป็นฮีโร่จริงๆ
“นายนี่เป็นฮีโร่จังนะ” ยามะพีพูดอายๆ เขาก้มหน้าเขินเมื่ออุ้งมือถูกกุมกระชับ ยูอิจิยื่นหน้ามาบอกว่า
“ใครว่าฮีโร่ ฉันน่ะซุปเปอร์ฮีโร่ต่างหากล่ะ”
“โห..ไม่ค่อยโฆษณาตัวเองเลยนะ” ยามะพีหัวเราะเผลอกอดแขนคนข้างกายไม่ปล่อย
“ดีนะ ที่ฉันมาหานายวันนี้นะ ไม่งั้นยามะพีคงจะลำบากแย่..”
“นั่นซินะ ฉันตกใจหมดเลยล่ะ เกิดมาก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้..ทีนี้ต้องระวังให้มากขึ้นแล้ว”
“ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเอามั้ย จะมาหาทุกวัน และจะรับกลับบ้านด้วย ดีมั้ย?” ยูอิจิหยุดเดิน หันมาจับบ่าสองข้างของยามะพีเอาไว้ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่งาม
ยามะพีหลุบดวงตากลมโตลงมองเสื้อโค้ทของยูอิจิ จากนั้น เขาก็ก้าวเข้าหาชายหนุ่มหนึ่งก้าว สองแขนโอบกอดลำตัวของยูอิจิเอาไว้
“ฮื่อ....อย่าลืมมาล่ะ”
“โฮ้ย...นาย...โอย...ดีใจเป็นบ้าเลย” ยูอิจิกอดร่างบางไว้แนบตัว หัวเราะออกมาเพราะดีใจ หมายความว่ายามะพียอมรับเขามากขึ้นนั่นเอง
“แปลกนะที่ฉันรู้สึกอุ่นใจยามมีนายอยู่ใกล้” คนตัวเล็กกว่าพูดขึ้น
“นั่นย่อมหมายความว่านายรักฉันแล้วน่ะซิ”
“เอ๋...?? ใช่เหรอ?” ดวงตากลมโตเบิกกว้างแล้วหลุบลงซ่อนความอายไว้ภายใต้ขนตาดำ
“นายจะรักฉันได้หรือยัง?” ยูอิจิถามขึ้น
“ก็จะให้รักต่อหรือเปล่าล่ะ?” เสียงแหบพร่าถามกลับ พร้อมกับดวงหน้าหวานละมุนซุกแนบกับแผ่นอกกว้างของยูอิจิ
“รักซิ...รักกันนะ...”
“เอางั้นเลยเหรอ?”
“งั้นซิ”
“ฮื่อ......รักกันก็ได้” ยามะพีพยักหน้างึกๆ แอบยิ้มเป็นสุขในหน้า เสียงยูอิจิบอกมาอีกว่า
“ฉันยอมให้นายหักอก ขอให้เวลานี้นายรักฉันก็พอ”
“ไม่หักอกหรอกน่า.....แต่อย่ายั่วโมโหก็แล้วกัน” คนพูดพูดยิ้มๆ
ถึงจะรู้จักกันได้ไม่นานนัก แต่ทำไมผู้ชายคนนี้คนที่ชอบเสนอตัวมาป้วนเปี้ยนกับเขานี่ นับวันก็ยิ่งมีความสำคัญกับเขามากขึ้นทุกขณะ...
......

ยูอิจิพายามะพีมาส่งบ้าน และอ้อยอิ่งพูดจาภาษารักกันอยู่หน้าบ้านสักพักก็ขอตัวกลับ และสัญญาว่าวันรุ่งขึ้นจะมารับยามะพีตั้งแต่เช้าเลย
“สงสัยมอเตอร์ไซค์สีชมพูของยามะพีคงจะต้องจอดทิ้งไว้ในโรงรถตลอดไปเลยล่ะ” ยูอิจิพูดพร้อมกับกลั้วหัวเราะ
“จริงด้วยซิ...ฉันคงคิดถึงมันแย่เลยนิ”
“นั่นซิ.....”
“ราตรีสวัสดิ์ ยูอิจิ” ยามะพียกกำปั้นน้อยๆ ชกทรวงอกของยูอิจิเบาแสนเบา ทำให้อีกฝ่ายกุมมือของเขาเอาไว้
ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาหากระซิบถ้อยคำที่คนฟังฟังแล้วหน้าร้อนซู่
“ขอจูบได้มั้ย?”
“อื๋อย....” ยามะพีก้มหน้าวูบ ไม่มีทีท่าจะขัดขืนเลยสักนิด ยูอิจิจึงแตะปากของตัวเองเข้ากับพวงแก้มป่องนั้นเบาๆ เมื่อยามะพีไม่ได้ว่าอะไร เขาจึงขยับริมฝีปากประทับแนบแน่นกับกลีบปากอวบอิ่มเจือน้ำผึ้งแสนหวานนั้นอย่างรักใคร่ จุมพิตอ่อนหวานเคล้าคลึง ทำให้ยามะพีหัวใจกระเจิดกระเจิง กุมกระชับปกเสื้อของยูอิจิแน่น ขณะที่เขย่งตัวเพื่อรับจูบให้ดื่มด่ำมากขึ้น......
“อืมมม........” เมื่อจุมพิตจนหนำใจแล้ว ยูอิจิก็ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย เขามองกลีบปากบวมเป่งสีแดงจัดนั้นแล้วถอนหายใจ อยากจะทำมากกว่านี้ใจแทบขาด
ก็คนตรงหน้าน่ารักออกขนาดนี้ หัวใจพองโตไปหมดแล้ว
ความพยายามตื๊อเป็นผลสำเร็จจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน...ต้องขอขอบใจคนร้ายที่จะปล้นร้านของยามะพีเสียจริงๆ ...
“โอยาสุมิ คนหน้าหวาน” ยูอิจิกระซิบ
“ฮื่อ...ฝันดีนะ” ยามะพีโบกมือให้
ยูอิจิรอจนยามะพีเคลื่อนกายเข้าไปในบ้านเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มถึงออกรถ คืนนี้คงจะฝันดีเป็นแน่ๆ....

************************

วันรุ่งขึ้น
“ว่าไงนะ? ไม่เอาแล้วเหรอรถคันใหม่น่ะ พี่ดาวน์ให้จริงๆ นะ” ทักกี้ถามเสียงสูงเมื่อคาเมะบอกปฏิเสธที่จะให้เขาออกเงินดาวน์ให้ ดังที่สัญญากันเอาไว้ก่อนหน้านี้
หนุ่มน้อยอยู่ในอาการเซื่องซึม เขาเอาแต่ส่ายหน้า และเกยคางไว้บนโต๊ะ ดวงตาเหม่อลอยขณะจับจ้องที่จานอาหารตรงหน้า
วันนี้เป็นวันที่เขามาเรียนในวันแรกหลังจากที่โดนกักตัวอยู่บ้านจุนโนะ เลคเชอร์ทั้งหลายแหล่ที่ยูอิจินำมากองเอาไว้ให้ เขาก็ไม่ได้สนใจที่จะเปิดออกดู ยามทานอาหารกลางวันเช่นนี้เขาแทบจะกินอะไรไม่ลง......เพราะ.......

เมื่อเช้าจุนโนะมาแต่เช้า และรับน้องสาวของเขาไปเรียน.....ไม่ได้เอ่ยถึงจุมพิตดูดดื่มเมื่อคืนนั้นเลยสักนิด...

หัวใจอันเศร้าสร้อยปวดหนึบ เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มกว้างของจุนโนะขณะเอ่ยออกมาหน้าตาเฉยว่า
“มารับยูกิเอะไปเรียนน่ะ”
คาเมะฟังแล้วก็อดเจ็บแปล๊บในทรวงไม่ได้ เขาไม่ตอบว่าอะไร ได้แต่พยักหน้าและเปิดประตูให้จุนโนะเข้าไปนั่งรอในบ้าน เมื่อฝ่ายนั้นเอ่ยปากขอดื่มกาแฟร้อน เขาก็เดินไปทำให้อย่างเซื่องซึม จิตใจแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้แต่ตอนที่เอากาแฟมาวางตรงหน้าจุนโนะเขาก็แทบจะไม่มองหน้าฝ่ายนั้นเลยด้วยซ้ำ

.........

ตอนนี้อยู่ตรงหน้าพี่ทักกี้ ซึบาสะ และยูอิจิ เขาก็ยังไม่หายจากอาการนี้
“เป็นโรคซึมเศร้าแหงๆ คงจะอยากลาตาย” ยูอิจิว่า ทำให้พี่ทักกี้และซึบาสะเลิกคิ้ว ราวกับจะถาม แต่ยูอิจิเลือกที่จะเงียบ เขาปรายตามองหน้าคาเมะแล้วส่ายหน้า เพราะคาเมะหน้าเศร้าและไม่แสดงอาการรับรู้อะไรทั้งนั้น
“ทำไมล่ะ ยูอิจิ เกิดอะไรขึ้น?” ซึบาสะถาม
“ไม่ทำไมหรอกฮะ แค่โรคตกหลุมรัก”
“หา? ตกหลุมรัก?” ทั้งสองเสียงประสานกันลั่น จนคนโต๊ะข้างๆ หันมามองกันเป็นแถบๆ
“กับใคร?”
“เอ้อ.....อย่าให้บอกเล้ย ก็เจ้าจุนโนะคนที่มาอาละวาดที่บ้านพี่วันนั้นง่ะแหล่ะ”
“โอ๊ย!! ซวยเป็นบ้าเลย” ซึบาสะอุทานออกมา พลางกรอกตาขึ้น
“ยิ่งกว่าซวยอีก หมอนั่นน่ะเป็นแฟนน้องสาวของเจ้าเมะมันด้วยง่ะซิ พี่”
“ตายห่ะ..”
“ก็นั่นแหล่ะครับ คาเมะคงอยากจะตายน่ะแหล่ะ” ยูอิจิยีหัวคาเมะเบาๆ ดูคิ้วที่ขมวดมุ่น ริมฝีปากหยักตกแบบพร้อมเสมอที่จะเบะร้องไห้
“แล้วจะทำยังไงดี” ทักกี้ถาม
คาเมะถอนหายใจหนึ่งเฮือกแล้วก็ยกหัวขึ้นจากโต๊ะ เขากอดอกทำหน้าเศร้า
“ไม่ทำอะไรเลย ผมจะตัดใจให้ได้...ต้องทำให้ได้” คาเมะชูกำปั้นขึ้น
“สู้ๆ”

แต่ว่า.....

......ฟุ่บ!!.....

ร่างบางทิ้งคางเกยบนโต๊ะอีกครั้ง พูดเสียงยานคางว่า
“เฮ้อ.....ผมรักเขาเป็นบ้าเลย...”
“โธ่....คาเมะ.....” ทั้งสามเสียงสามัคคีเอ่ยออกมาพร้อมกัน
“เย็นนี้ไปหาอะไรกินกันมั้ย พี่จะเลี้ยงเอง ถ้านายไม่อยากได้รถคันใหม่แล้ว พี่ก็จะขอจ่ายค่าอาหารแทน เพราะพี่เองก็มีส่วนทำให้นายต้องตกที่นั่งลำบากแบบนี้” ทักกี้ลูบผมเพื่อนรุ่นน้องเบาๆ คาเมะจึงพยักหน้าและยิ้มให้
“ไม่ใช่ความผิดของพี่ทักกี้หรอก ผมมันใจง่ายเอง ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขามีเจ้าของแล้ว แต่ก็นะ....บ้าชะมัดเลย ความรักนี่ไม่เข้าใครออกใครเลย ผมไม่อยากให้ยูกิเอะรู้..ไม่อยากให้น้องเสียใจ เพราะน้องผมมันคลั่งจุนโนะมากเลยด้วย เฮ้อ.....ผมจะต้องตัดใจเสียที....”
“พยายามเข้านะ” ทักกี้ให้กำลังใจ แต่ขณะนั้นเองที่ยูอิจิสะกิดขาเขายิกๆ พอหันไปมองก็เห็นฝ่ายนั้นยิ้มอย่างเขินๆ
“อะแฮ้ม พี่ทักกี้ฮะ” ยูอิจิกระแอม และพูดต่อ
“ผมคบกับยามะพีอยู่”
“หา? ยามะพี?” ทั้งทักกี้และซึบาสะประสานเสียงกันอีกแล้ว.....สมกับเป็นคู่รักกันเหลือเกิน
“ใช่ แฟนเก่าพี่ง่ะแหล่ะ ...พี่คงไม่ว่าอะไรนะ?”
“ใครจะไปว่าล่ะ ...เฮ้อ..โล่งอก” ซึบาสะลูบทรวงอกตัวเองไปมา ตวัดดวงตากลมโตมองทักกี้ ก็ไม่เห็นปฏิกิริยาอะไรจากรายนั้น นอกจากรอยยิ้มน้อยๆ
“ก็ดี...ดูแลเขาให้ดีทีเถอะ อย่าให้เขาต้องผิดหวังอีก”
“เขาไม่ผิดหวังหรอก เพราะผมรักเขาจริงๆ”

“ดีมาก ยูอิจิ...พยายามเข้า...พยายามทั้งสองคนเลยนะ น้องรัก เย็นนี้พี่จะพาไปเลี้ยงเอง....” ทักกี้ยิ้มให้น้องสองคน ที่มีอาการต่างกัน
ฝ่ายยูอิจินั้นกระดี๊กระด๊ามากมาย เมื่อโล่งอกในความจริงที่ว่า ทักกี้ไม่มีวี่แววอาลัยอาวรณ์ในตัวยามะพีแฟนเก่าเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังสนับสนุนเขาอีก .....แต่คาเมะนี่ซิ ยังนั่งเกยคางไม่เลิกจนซึบาสะเอ่ยปากว่า
“พวกเราจะไปกันแล้วนะ ยูอิจิ นายช่วยแงะคางคาเมะออกมาจากโต๊ะด้วยล่ะ...”

******************

เย็นนั้นทักกี้และซึบาสะพายูอิจิและคาเมะไปกินชาบุ ชาบุ ที่ย่านชิบูย่า เขาสั่งอาหารมาจนเต็มโต๊ะ จองที่นั่งได้โต๊ะในสุด และตอนนั้น คาเมะไม่ได้เซื่องซึมเหมือนเช่นเคย เมื่อสายตาไปปะทะกับเนื้อสดแร่จนเป็นแผ่นบางๆ เข้า เขาก็สะบัดมันในหม้อชาบุ และยัดใส่ปาก เป่าควันร้อนออกมา และเมื่อนั้นแหล่ะที่หมดสิ้นจากอาการซังกะตายโดยสิ้นเชิง

“เดี๋ยวค่อยเศร้าต่อ ขอโซ้ยก่อนละกัน” เขายิ้มเรี่ยราดเมื่อเจอสายตามหัศจรรย์ของเพื่อนๆ
“ดีใจนะที่เห็นนายยังเหมือนเดิม” ยูอิจิค่อนดังๆ
“เศร้าแล้วอิ่มท้องมั้ยวะ”
“เออ....”
“เต็มที่เลย พวกนาย กินให้กระเพาะครากเลยก็ย่อมได้...” ทักกี้เอ่ยอย่างใจดี
และขณะที่กำลังกินกันเพลินๆ นั้น คาเมะก็ถือตะเกียบค้าง ปล่อยเนื้อหลุดหายลงไปในหม้อ เมื่อสายตาของเขาเห็นสาวน้อยนางหนึ่งเดินควงแขนมากับหนุ่มหล่อที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

“เฮ้ย.....ยูกิเอะนี่หว่า” ยูอิจิเป็นฝ่ายอุทานออกมา ขณะที่คาเมะลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ
“มากับใครวะ ไม่ใช่จุนโนะนี่” คาเมะวางตะเกียบลงในจานรอง เขาตรงดิ่งไปทางโต๊ะที่น้องสาวของเขากับชายแปลกหน้าคนนั้นนั่งอยู่

“ยูกิเอะ!!” คาเมะมองหน้าน้องสาวที่นั่งทำหน้ายิ้มๆ
“อ้าว.....พี่เมะสุดที่รักนี่เอง...มาทานที่นี่เหมือนกันหรือคะ?”
“เธอ......มานี่หน่อยซิ” คาเมะคว้าแขนของน้องสาวหมับ แล้วลากเด็กสาวขึ้นจากโต๊ะ เดินไปหน้าห้องน้ำ
“อะไรง่ะพี่เมะ?” สาวน้อยสะบัดแขน คลำรอยมือที่ถูกพี่ชายจิกเมื่อสักครู่
“ยังมีหน้ามาถาม”
“อะไรง่ะ?”
“ใครล่ะคนนั้นน่ะ?” คาเมะบุ้ยหน้าไปทางโต๊ะของยูกิเอะ
“ก็กำลังจะแนะนำให้รู้จักอยู่พอดี แต่พี่ก็ลากฉันมานี่ซะก่อน คนนั้นน่ะ โทมะ..อิคุตะ โทมะ เพื่อนสนิทของยูกิเอะเองนะ”
“เพื่อนสนิทแบบไหนกัน?”
“เพื่อนชายน่ะซิ ไม่น่าถาม...” ยูกิเอะลอยหน้าลอยตาตอบ
“หา?” คาเมะตาเหลือก แบบไม่คาดไม่ถึงว่าน้องสาวจะมีแฟนอะไรกันทีละหลายคน
“แฟนของยูกิเอะ เอ..จะเรียกว่าแฟนเก่ากลับมามีความสัมพันธ์ใหม่อีกครั้งก็ว่าได้”
“แล้ว.....แล้วจุนโนะสุเกะล่ะ.....” คาเมะเลิกคิ้ว เขาเห็นสีหน้าของน้องสาวเฉยๆ แถมจะมีแววขบขันในดวงตานั้นอีกด้วย
“จุนโนะก็จุนโนะซิ ...นี่ฉันกำลังควงกับโทมะอยู่นะคะ...จุนโนะเขาก็อยู่ของเขา ไม่เกี่ยวกันนี่นะ”
“และถ้าจุนโนะรู้ล่ะ ...ไม่ดีเลยนะยูกิเอะ ทำไมเที่ยวคบผู้ชายไปทั่วแบบนี้นะ อย่าลืมซิว่าเธอมีจุนโนะอยู่แล้ว ถ้าเขารู้ เขาจะเสียใจแค่ไหนรู้มั้ย?” คาเมะเอ็ดน้องสาว ...
แต่ยูกิเอะกลับหัวเราะคิก เธอสะบัดผมไปมา และยื่นหน้ามาหาพี่ชาย ยิ้มยั่ว
“ทำไมพี่คาเมะต้องเดือดร้อนแทนจุนโนะด้วยน้า......า...า..”

คาเมะกัดริมฝีปาก ...ทำไม......ทำไมน่ะเหรอ......เพราะฉันไม่อยากให้เขาต้องเสียใจน่ะซิ แม้ว่าหมอนั่นมันจะเจ้าชู้ คบใครต่อใครไม่เลือกก็เหอะ....อย่างน้อยจุนโนะก็คงจะมีใจให้กับยูกิเอะมากกว่าหญิงใด ไม่งั้นจะมาหา จะมารับมาส่งทุกวันงั้นหรือ.......
“ว่าไงพี่คาเมะ ทำไมต้องเดือดร้อนแทนด้วย” เสียงยูกิเอะยังดังลอยลมมา เขาจึงส่งสายตาคมดุไปให้
“เพราะเขาเป็นแฟนเธอ เขาชอบเธอ และพี่ก็ไม่อยากให้เขาเสียใจที่เห็นเธอมากับคนอื่น”
“คนอื่นที่ไหนง่ะ แฟนใหม่ของฉันเอง”
“ยูกิเอะ!!”
“เออน่ะ.....จุนโนะเขาไม่รู้สึกอะไรหรอก พี่คาเมะอย่าห่วงหมอนั่นไปเลย....ห่วงความรู้สึกตัวเองก่อนเหอะน่า.....” ยูกิเอะหัวเราะคิก เธอตบทรวงอกพี่ชายเบาๆ แบบนักเลง จากนั้นก็เดินนวยนาดกลับไปยังที่นั่งตัวเอง ทิ้งให้พี่ชายทอดถอนใจอยู่คนเดียว

......หรือว่ากรรมจะตามสนองจุนโนะกันแน่นะ ....ทำเจ้าชู้กับคนนั้นคนนี้ ก็เลยโดนแฟนสาวหักหลังเข้าให้.....

นี่ถ้าจุนโนะรู้จะเสียใจมากน้อยแค่ไหนกันแน่นะ

.....เอ....แล้วที่แม่น้องสาวสุดเปรี้ยวบอกว่า ให้เขาห่วงความรู้สึกของตัวเขาเองก่อนจะดีกว่า นี่มันหมายความว่าไงนะ...

****************************

 

to be con

เม้นต์ที่นี่จ้า