มีผู้กล่าวว่า
สหกรณ์ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นเพียงวิธีการ
หรือเครื่องมือที่จะบรรลุจุดหมายปลายทาง คือการกินดี
อยู่ดี มีสันติสุข เมื่อสหกรณ์เป็นเพียงเครื่องมือในการบรรลุจุดหมายปลายทาง
ดังนั้นการที่สมาชิกจะใช้สหกรณ์ เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุจุดหมายปลายทาง
จึงต้องมีบทบาทที่ถูกต้อง ซึ่งสามารถแยกบทบาทได้เป็น
2 บทบาท คือ
- บทบาทในฐานะเป็นสมาชิกสหกรณ์
- บทบาทในฐานะเป็นเจ้าของสหกรณ์
|
: :: บทบาทในฐานะเป็นสมาชิกสหกรณ์ ::: |
สหกรณ์ออมทรัพย์เป็นสถาบันการเงิน
ซึ่งเหมือนกับสถาบันการเงินรูปอื่นที่มีหน้าที่สำคัญ
2 ประการคือ เป็นแหล่งออมเงินและเป็นแหล่งกู้ยืมเงิน
ดังนั้นบทบาทในฐานะสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์จึงเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจใช้บริการของสหกรณ์ออมทรัพย์
2 ประเภท คือ การออม การกู้ยืมเงิน
|
|
:: การกู้ยืมเงิน ::: |
โดยทั่วไปในช่วงอายุ
20 45 ปี จะเป็นช่วงที่รายจ่ายสูงกว่ารายได้ เนื่องจากในระยะต้นของการทำงานรายได้จะยังไม่สูงมากนัก
แต่รายจ่ายจะมีมากเพราะเป็นระยะเริ่มสร้างฐานะความเป็นอยู่
การกู้ยืมเงินจึงมีความจำเป็นเพื่อช่วยยกระดับฐานะความเป็นอยู่
และบำบัดความเดือดร้อนเป็นครั้งคราว ในการกู้ยืมเงินสมาชิกควรคำนึงถึง
-
ความจำเป็นในการกู้ยืมสมาชิกควรพิจารณาอย่างละเอียดและรอบคอบถึงความจำเป็น
ในการกู้ยืมเงิน ถ้ามิใช่ความจำเป็นอย่างแท้จริง
ก็ควรงดหรือเลื่อนการกู้ยืมเงินออกไป
- ภาระในการชำระคืน สมาชิกจะต้องวางแผนการกู้ยืมเงินว่า
จะกู้เมื่อไร จำนวนเท่าไรและชำระคืนในระยะเวลานานแค่ไหนเพื่อมิให้เป็นภาระในการชำระคืน
และเป็นหนี้ตลอดไป |
|
|
::: การออมทรัพย์
::: |
ทำให้เกิดความมั่นคงในอนาคต ในสหกรณ์ออมทรัพย์มีการออม
2 รูปแบบ คือ การถือหุ้น
เป็นการออมทรัพย์ระยะยาวเพราะโดยทั่วไปเงินค่าหุ้นจะถอนคืนได้เมื่อลาออกจาก
สหกรณ์ออมทรัพย์เท่านั่น
การถือหุ้นนี้สมาชิกจะต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
เช่น
ท่านเป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งหนึ่งเมื่ออายุ
25 ปี และเป็นสมาชิกอยู่ 30 ปี จนถึงอายุ 55 ปี
ในช่วงที่ท่านเป็นสมาชิกอยู่ ท่านจะต้องถือหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ เป็นสัดส่วนกับเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น
ตามที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้ สมมติว่าถือหุ้นเฉลี่ยเดือนละ
500 บาท
และสหกรณ์แห่งนั้นจ่ายเงินปันผลในอัตราร้อยละ 12
ต่อปี ท่านได้ตั้งเป้าหมายว่าจะไม่ยอมถอนหุ้น
ก่อนครบ 30 ปี และเงินปันผลที่ได้รับทุกปี จะซื้อหุ้นในสหกรณ์ต่อจนหมด
เมื่อครบ 30 ปี
ท่านจะมีเงินทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 1,000,000 บาท ซึ่งอาจเป็นเงินที่เอาไว้ใช้จ่ายหลังจากออกจากงาน
ประจำได้ โดยไม่เป็นภาระแก่บุคคลอื่น
การฝากเงิน
สหกรณ์มีบริการทั้งเงินฝากออมทรัพย์ซึ่งฝาก-ถอน
ได้ตลอดเวลาและเงินฝากประจำ
ซึ่งมีระยะเวลาในการถอนคืน เช่น 3 เดือน 6 เดือน
หรือ 12 เดือน เป็นต้น
การที่สมาชิกจะตัดสินใจในเรื่องการกู้ยืมเงินและการออมทรัพย์ได้อย่างถูกต้องนั้น
สมาชิกจะต้องมีเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจ นั่นคือ
สมาชิกจะต้องจัดทำบัญชี รับ-จ่าย
เป็นประจำทุกเดือน ในการจัดทำบัญชี รับ-จ่าย ควรแยกประเภทรายรับรายจ่ายให้ชัดเจน
เช่น รายได้จากเงินเดือน และรายได้อื่น ส่วนรายจ่ายจะเป็น
ค่าอาหาร ค่าเครื่องแต่งกาย
ค่าเช่าบ้านหรือค่าผ่อนส่งบ้าน ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น
ข้อมูลที่ได้จากบัญชี รับ-จ่าย
จะใช้วางแผนการใช้จ่ายเงินการกู้ยืมเงิน การออมทรัพย์ต่อไป
|
|
|
::: บทบาทในฐานะเป็นเจ้าของสหกรณ์::: |
ในฐานะเป็นเจ้าของสหกรณ์ สมาชิกคงต้องการให้สหกรณ์ของตนเองเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง
มีเสถียรภาพ สามารถอำนวยประโยชน์ ให้กับสมาชิกได้อย่างแท้จริง
ซึ่งสามารถทำได้หลายประการ แต่ที่สำคัญคือ การเข้าร่วมประชุมใหญ่สามัญประจำปีของสหกรณ์
เนื่องจากเป็นโอกาสที่สมาชิกจะได้ใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องต่าง
ๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหกรณ์และสมาชิกโดยส่วนรวมการประชุมใหญ่ดังกล่าว
โดยทั่วไปจะมีวาระที่สำคัญดังต่อไปนี้ 1.
รับทราบรายงานกิจการประจำปีสหกรณ์เพื่อวิเคราะห์ว่าในรอบปีที่ผ่านมาการบริหารงาน
ของสหกรณ์เป็นอย่างไร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายในการบริหารงานต่อไป
และเป็นการดูแลผลงานของกรรมการที่เราเลือกเข้าไปด้วยว่าบริหารงานเป็นอย่างไร
2. พิจารณาและอนุมัติงบการเงินเป็นการพิจารณาฐานะของสหกรณ์ที่วัดออกมาในรูปของตัวเงิน
ว่าเป็นอย่างไร
ประกอบด้วย
- งบดุล แสดงว่า ณ วันสิ้นปีทางบัญชีของสหกรณ์ สหกรณ์มีทรัพย์สินเท่าไร
ทรัพย์สินของสหกรณ์ออมทรัพย์ส่วนใหญ่จะเป็นลูกหนี้เงินให้กู้แก่สมาชิก
นอกจากนั้นยังแสดงว่า ทรัพย์สินที่มีนั้นมาจากทุนของสหกรณ์เท่าไร
จากการเป็นหนี้เท่าไร ดังสมการ ทรัพย์สิน
= หนี้สิน + ทุน
- งบกำไรขาดทุน แสดงว่าในรอบปีที่ผ่านมาสหกรณ์มีรายได้เท่าไร
มีค่าใช้จ่ายเท่าไร มีกำไรเท่าไร ดังสมการ รายได้
= ค่าใช้จ่าย + กำไรสุทธิประจำปี รายการที่ควรพิจารณาในงบการเงินคือ
- หมายเหตุประกอบงบการเงิน เพื่อให้รู้ข้อมูลที่สำคัญ
- ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เป็นไปตามงบประมาณที่อนุมัติหรือไม่
มีรายการใดที่ผิดปกติหรือไม่
- ดอกเบี้ยค้างรับ หนี้สงสัยจะสูญ สำรองหนี้คลาดเคลื่อน
เป็นรายการที่อาจแสดงถึงประสิทธิภาพในการให้สินเชื่อของสหกรณ์
ควรสอบถามในที่ประชุมใหญ่ให้ชัดเจน
ตัวเลขในงบการเงินอาจนำมาคำนวณค่าต่าง ๆ ได้ เช่น
1. อัตราส่วนทุนหมุนเวียน
= ทรัพย์สินหมุนเวียน
หนี้สินหมุนเวียน
แสดงถึงสภาพคล่องของสหกรณ์ในการชำระหนี้สินระยะสั้น
ค่าที่สูงจะดีกว่าค่าที่ต่ำ แต่ถ้าสูงเกินไปอาจจะเป็นปัญหาได้
เช่น ถือเงินสดไว้มากเกินความจำเป็น ทำให้สหกรณ์ขาดรายได้
2. ร้อยละของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้
ค่าใช้จ่ายที่ไม่รวม ด/บจ่าย x 100
รายได้
แสดงว่าในรายได้ 100 บาท สหกรณ์มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานกี่บาท
ค่าที่ต่ำจะดีกว่าค่าที่สูง
3. อัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อทุนของสหกรณ์
= เงินกู้ยืม
ทุนของสกรณ์
แสดงว่าเงินกู้ยืมเป็นกี่เท่าของทุนของสหกรณ์
ถ้าค่าคงที่ได้สูงสหกรณ์ก็จะมีความเสี่ยงใน
การดำเนินธุรกิจมากขึ้น
4. อัตราผลตอบแทนต่อทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์
กำไรสุทธิประจำปี_ x 100
ทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์
แสดงถึงประสิทธิภาพในการหาผลตอบแทนจากทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์
ค่าที่สูงจะดีกว่าค่าที่ต่ำ
|
|
|
ค่าต่าง ๆ ที่คำนวณได้สามารถนำไปเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในปีก่อน
ๆ
หรือค่าที่คำนวณจากงบการเงินของสหกรณ์อื่น เพื่อใช้วิเคราะห์โดยละเอียดต่อไป |
3. พิจารณาและอนุมัติการจัดสรรกำไรสุทธิประจำปี
เป็นการพิจารณาจัดสรรผล ประโยชน์ที่เกิดจากการดำเนินงานของสหกรณ์ในรอบปีทางบัญชีที่ผ่านมา
ซึ่งกฎหมาย กำหนดให้ต้องจัดสรร
3 ข้อ คือ -
จัดสรรเป็นเงินสำรองไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของกำไรสุทธิ
-
เป็นค่าบำรุงสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยร้อยละห้าของกำไรสุทธิแต่ต้องไม่
เกินหนึ่งหมื่นบาทกำไรสุทธิประจำปีที่เหลือ ที่ประชุมใหญ่อาจจัดสรร
เป็นเงินปันผล ตามหุ้นเป็นเงินเฉลี่ยคืน
เป็นเงินโบนัส เป็นทุนสะสมต่าง ๆ
- เงินปันผลตามหุ้น ในปัจจุบันกฎหมายกำหนดให้จ่ายไม่เกินร้อยละสิบต่อปี
และ
สหกรณ์ควรจ่ายไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะเวลา
1 ปี เฉลี่ยในรอบปี
ี ทางบัญชีที่ผ่านมา
-
เงินเฉลี่ยคืนตามดอกเบี้ยเงินกู้ ถ้าสหกรณ์เก็บอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราต่ำอยู่แล้ว
อาจจะไม่มีเงินเฉลี่ยคืนอีกก็ได้ -
เงินโบนัส เป็นค่าตอบแทนแก่กรรมการและเจ้าหน้าที่สหกรณ์ที่บริหารให้สหกรณ์มีกำไร
เป็นการถือปฏิบัติตามธรรมเนียมของธุรกิจโดยทั่วไปกฎหมายกำหนดให้จ่ายไม่เกินร้อย
ละสิบของกำไรสุทธิ
-
ทุนสะสมต่าง ๆ เป็นประโยชน์แก่สมาชิกโดยส่วนรวม
เพื่อทำให้สหกรณ์สามารถจัด สวัสดิการต่าง
ๆ ให้สมาชิกได้ 4. พิจารณาและอนุมัติรายจ่ายประจำปีของสหกรณ์รายจ่ายประจำปีเป็นเครื่องมือที่สมาชิก
ใช้ควบคุมการบริหารงานของคณะกรรมการดำเนินการเพื่อดูว่า
แผนงาน โครงการ เป้าหมาย ในปีนั้น
ๆ มีความเหมาะสมกับค่าใช้จ่ายเพียงใด สมาชิกจึงต้องพิจารณา
ถึง ก.
แผนงาน โครงการ เป้าหมาย ในปีนั้น ๆ ข.
หมวดรายจ่ายต่าง ๆ ในปีก่อนมีการตั้งเท่าไร และใช้จ่ายจริงเท่าไร
ในปีนี้ ขอตั้งเท่าไร
พร้อมทั้งเหตุผลและความจำเป็น ถ้าสหกรณ์ดำเนินงานตามแผนงาน
โครงการ เป้าหมายต่าง ๆ โดยการใช้จ่ายเงินอย่าง
ประหยัดเหมาะสม
จะทำให้สมาชิกได้รับผลตอบแทนจากการดำเนินงานของสหกรณ์สูงสุด
ดังนั้นสมาชิกจะต้องให้ความสนใจต่อรายจ่ายประจำปีของสหกรณ์ และพิจารณาอนุมัติ
ด้วยความละเอียดรอบคอบ
5. พิจารณาเลือกตั้งคณะกรรมการดำเนินการ คณะกรรมการดำเนินการเป็นผู้แทนของสมาชิกใน
การดำเนินกิจการทั้งปวงของสหกรณ์ที่สำคัญ
คือ การดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของสหกรณ์
การกำหนดนโยบาย
รวมทั้งระเบียบและวิธีปฏิบัติงานต่าง ๆ ควบคุมดูแลฝ่ายจัดการ
อันประกอบด้วยผู้จัดการ
และเจ้าหน้าที่สหกรณ์ เพื่อให้นโยบายต่าง ๆ บรรลุผลดังนั้น
ปัจจัยที่สำคัญอันหนึ่งที่จะทำให้สหกรณ์ประสบความสำเร็จ
ก็คือ คณะกรรมการดำเนินการนั้นเอง สมาชิกจึงไม่ควรนอนหลับทับสิทธิ์
และควรเลือกกรรมการที่มีความซื่อสัตย์ เสียสละ
ไม่แสวงหาผลประโยชน์ในสหกรณ์มีความรู้เรื่องสหกรณ์ไม่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ มีความคิดริเริ่ม
ในการพัฒนางานต่าง
ๆ
6. พิจารณาเลือกตั้งผู้ตรวจสอบกิจการ เนื่องจากสมาชิกทุกคนไม่สามารถเข้าไปบริหารงานของ
สหกรณ์ได้ จึงต้องเลือกคณะกรรมการดำเนินการเป็นผู้แทนในการบริหารงานแทนตน
นอกจากนั้นควรจะต้องมีผู้ตรวจสอบกิจการซึ่งจะเป็นหูเป็นตาแทนสมาชิก
เพื่อตรวจสอบการ ปฏิบัติงานด้านต่าง
ๆ ของคณะกรรมการดำเนินการ ตลอดจนประเมินผลประสิทธิภาพของการ
ปฏิบัติงานนั้น ๆ
และแนะนำวิธีการปรับปรุงแก้ไข เพื่อประโยชน์ของสหกรณ์และสมาชิกโดย
ส่วนรวม ผู้ตรวจสอบกิจการควรเป็นผู้มีความรู้
ความสามารถหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการเงิน
การบัญชี กฎหมาย การบริหารงาน
|
|
|