HeaVy – HardRocK มันส์โคตรรุ่นป๋า
- 6 -
x

ฮิปปี้เกิดขึ้นตอนไหนใครเป็นคนแรกหรือกลุ่มแรก ป๋าขี้เกียจไปค้น ค้นไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเพราะไม่มีใครเอาไปออกข้อสอบหรอก รู้แค่ว่าคนแรกที่ทำให้คำนี้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายชื่อนาย Herb Caen คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ San Francisco Chronicle อาชีพเดียวกันกับป๋านี่แหละ คนเดียวกันที่ทำให้คนอเมริกันรู้จัก คำว่า Beatnik และ Yuppie อย่างกว้างขวาง

ฮิปปี้( Hippie หรือ Hippy ) จะใช้ชีวิตง่ายๆ ไปเรื่อยๆ ถือคติว่า “ ปรับจิตใจของตนให้ตรงกับส่วนลึกในจิตของตน ” เยาวชนอเมริกันในชุมชน Greenwich Willage ฝั่งตะวันตกของอเมริกาบอกว่า “Hip” หมายถึง "to be in the know" ซึ่งใกล้เคียงกับคำว่า “ หยั่งรู้ ” ถ้าคำว่า “Hip” รอดไรฟันออกมาก็แปลว่า “ รู้โคตร ” ! ! ส่วนใหญ่พวกนี้ชอบเสพย์ยา ไว้ผมยาว เสื้อผ้าเก่า ชอบลายดอกไม้สีสวยเจิดจรัสสีรุ้ง งานการไม่ทำ ชอบฟังเพลง ฟังดนตรี ทำตัวปฏิเสธสังคมที่เจริญทางวัตถุ รักธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความรักเต็มหัวใจ รักสันติภาพและต่อต้านสงครามเวียดนาม พเนจรไปเรื่อยๆ ที่ลงหลักปักฐานก็มีเหมือนกัน คนไทยเรียกฮิปปี้ในคำไทยว่า “ บุปผาชน ”

ย้อนกลับไปในเดือนมกราคม 1967 บรรดาฮิปปี้ราว 20,000 คนได้ไปรวมกันที่สวนสาธารณะ Golden Gate Park และรวมตัวกันในมหกรรมดนตรี Monterey Pop Festival ซึ่งจัดในเดือนพฤษภาคม เทศกาลนี้เรียกกันทั่วไปว่า “Summer of Love” ในงานวัยรุ่นจะนิยมนำดอกไม้ไปทัดหู และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเพลง “ San Francisco ” …. "If you're going to San Francisco , be sure to wear some flowers in your hair" ร้องโดย Scott Mckenzie

เดือนเมษายนหรือ 4 เดือนก่อนมหกรรมดนตรีครั้งยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้น บรรดานักศึกษา ประชาชน ฮิปปี้ ผู้รักสันติภาพ ต่อต้านสงครามเวียดนาม ได้บุกยึดพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเบิร์คลีย์ ติดกับนครซานฟรานซิสโก ป๋าไปดูมากับตา คล้ายๆ เป็นคุ้มๆ หนึ่ง ที่ตรงนี้สมัยนั้นเขามีโครงการก่อสร้างอย่างอื่นอยู่แล้วแต่ไม่ทำเสียที เลยถูกใช้เป็นแหล่งรวมพลคนรักภราดรภาพ มาช่วยกันปักช่วยกันปลูกต้นไม้ ดอกไม้ กะจะพลิกแผ่นดินตรงนั้นให้เป็นสวนดอกไม้ของประชาชน อะไรทำนองนั้น ประธานาธิบดี โรนัลด์ รีแกน สั่งทหารลุยเคลียร์พื้นที่ซึ่งความวุ่นวายก็จบภายใน 2 สัปดาห์

เมื่อสิบกว่าปีมาแล้วป๋าก็แวะไปชมหมู่บ้านฮิปปี้ที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เป็นฐานที่มั่นของวงดนตรีคณะ Grateful Dead เขาอยู่กันง่ายๆ ทำมาหากินด้วยการขายของที่ระลึก ที่นั่นเป็นต้นกำเนิดเสื้อยืดย้อมสีเป็นดวงๆ บ้านเราก็ใส่กันจนถึงทุกวันนี้ จะย้อมเองก็ไม่ยากแค่หาเชือกมะนิลามา จับเสื้อขมวดปมแล้วใช้เชือกมัดก่อนย้อม แค่นี้ก็เรียบร้อย จะเอาลวดลายไหนก็หาทางมัดปมเอาเอง

Grateful Dead ตั้งวงตั้งแต่ปี 1965 จัดอยู่ในกลุ่มศิลปินไซคีเดลิค (สาวกยาเสพย์ติด) จินตนาการล่องลอยเหมือนควันอ้อยอิ่งผ่านไฟสีรุ้ง แนวเพลงที่เล่นมีทั้งสไตล์โฟลค์ บลูส์กราส(ผสมเครื่องดนตรีท้องถิ่น) บลูส์ ไปจนถึงสไตล์แจ๊ส วงดนตรีวงนี้ไปแสดงคอนเสิร์ตที่ไหนบรรดาเหล่าสาวกตามกันไปเป็นโขยง ถึงไหนถึงกัน ตามฟังตามเชียร์ พฤติกรรมแบบนี้บ้านเราสมัยก่อนจะมีแต่สาวต่างจังหวัดตามเชียร์นักร้องลูกทุ่ง หรือแม่ยกตามแห่พระเอกลิเก แต่มาราว 20 กว่าปีมานี้วัยโจ๋ถึงได้เลียนแบบแม่สาวโรงงานจากชนบท ตามแห่นักร้องเพลงไทยสากลกับเขาบ้าง ก็ไม่ว่ากัน บ้านอื่นเมืองอื่นก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว

สังคมอเมริกันตอนนั้นใช่ว่าจะมีแต่พวกฮิปปี้ พวกขบถสังคมอีกกลุ่มหนึ่งก็มีเหมือนกัน เรียกว่า “Beatnik” พวกนี้มีอุดมคติทางการเมือง ต่อต้านสงครามเวียดนาม และต่อต้านสังคมอเมริกันที่นิยมวัตถุ คุณสมบัติที่แตกต่างจากฮิปปี้ที่สำคัญ คือ เป็นปัญญาชนหรือมีการศึกษา แต่งตัวธรรมดาไม่เหมือนฮิปปี้ ชอบอิสระเสรีทางความคิด รู้จักทำงานทำการ คนพันธุ์นี้ ป๋าว่าบ้านเราเวลานี้มีอยู่เยอะ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองจัดอยู่ในจำพวก “Beatnik”

กลับมาคุยเรื่องของคุณปู่ Jimi Hendrix ในงาน Woodstock อีกเล็กน้อย เพราะปกติใครๆ ก็รู้จักแก่ในนาม Jimi Hendrix Experience พอขึ้นเวทีพร้อมจะเล่นแกบอกว่า ต่อไปนี้มารู้จัก “ เรา ” ในนาม(วง) “Gypsy Sun and The Rainbows” ที่พูดอย่างนี้เพราะสลายวงเดิมก่อนจะไปแอฟริกาและกลับมาได้ไม่กี่วันก็มาเล่นในมหกรรมนี้ ความจริงแล้ว Hendrix กับสมาชิกใหม่เพิ่งซ้อมเพลงกันได้แค่ 2 หนเท่านั้น และเพลงใหม่ที่ปล่อยออกมากลางงาน “Jammin' At The House” เป็นเพลงที่ยังแต่งไม่เสร็จเสียด้วยซ้ำ แต่ขอบอก...ชุดแสดงสดบนเวที Woodstock ของ Jimi Hendrix ยอดเยี่ยม มัก..มัก.. ! ควรหา DVD หรือ VCD ดูประกอบด้วย ดูว่า เหมือนกับตอนที่พวกเราซ้อมมั๊ย ?

วงเดิมของ Jimi Hendrix ชื่อวง The Jimi Hendrix Experience วงแตกก็เพราะ Neol Redding ถอดใจลาออกโดยอ้างว่าตัวเองขาดความมั่นใจที่จะแสดงออก เลยได้ Billy Cox มาเล่นเบสส์แทน จากนั้นได้ปรับปรุงสมาชิกใหม่และใช้ชื่อวง Gypsy Sun and The Rainbows หลังจากนั้นได้ 3 เดือนก็ปรับสมาชิกใหม่จนลงตัวโดยมี Billy Cox เล่นเบสเหมือนเดิม แต่ได้ Buddy Miles มาเล่นกลองแทน Mitch Mitchell

เสียงดิบๆของกีต้าร์ Jimi Hendrix ในงานมหกรรมคอนเสิร์ต เป็นการตอกย้ำท่วงทำนองใหม่ของการไล่นิ้วไปบนคอกีต้าร์อย่างชัดเจน เป็นเสียงแห่งสงคราม ความหายนะ ความเกี้ยวกราด และท่วงทำนองแห่งเกียรติยศศักดิ์ศรี ซึ่งน้อยคนนักจะรู้ว่าเขาคนนี้คือ อดีตพลทหารในกองทัพอเมริกันมาก่อน เขาได้รับรู้ความเจ็บปวด ความคาดหวังจากสงครามมาแล้ว

King Crimson ต้นตำรับ PROG

กะจะข้าม ค.ศ. 1969 ไปเพื่อเล่าเรื่องฮาร์ตร็อกก็ข้ามไม่ได้เพราะไม่อยากมองข้ามต้นกำเนิดเพลงแนว Progressive Rock (PROG) แหล่งกำเนิดแนวเพลงนี้อยู่ที่เกาะอังกฤษฝีมือสร้างสรรค์เพลงของวง King Crimson ซึ่งจุดเริ่มต้นมาจาก Robert Fripp มือกีต้าร์กับ Michael Giles มือกลอง ซึ่งมีวงอยู่แล้ว( Giles, Giles, and Fripp : ชื่อวงมาจากสองพี่น้องตระกูลไกลส์กับฟริปป์ ) แต่จะเลิกวงแม้เพิ่งจะเริ่มต้นและตั้งใจทำวงใหม่ในนาม King Crimson สมาชิกร่วมวงก็มี Greg Lake มือกีต้าร์ / ร้อง พร้อมกับได้ Peter Sinfield เล่นกีต้าร์เบสและร้อง ส่วน Ian McDonald เล่น reeds, woodwinds, mellotrons ต่อมาในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันเริ่มบันทึกเสียงและออกวางตลาดอัลบั้มชุดแรก “ In the Court of the Crimson King ” ในเดือนตุลาคม ผลงานได้รับการตอบรับอย่างสูงและเรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น จะอะไรเสียอีกก็ “ วงแตก ” นะสิ วงเพิ่งจะเกิดและดังเสียด้วยกลับแตกวงเสียนี่ ยังกะคลื่นสึนามิพัดเข้าฝั่งไม่ผิด แต่นั่นก็เพียง “ สะดุด ” เท่านั้น King Crimson ยังคงชื่อเดิมอยู่แม้สมาชิกหลายคนจะเปลี่ยนแปลงไป

ช่วงเดือนกรกฎาคม 1969 เคยโชว์ผลงานในฟรีคอนเสิร์ตที่ Hyde Park ลอนดอนเข้าใจว่าเปิดวงให้ The Rolling Stones จากนั้นออกทัวร์ทั่วอังกฤษรวมถึงทัวร์คอนเสิร์ตในสหรัฐอเมริกาด้วย โดยประกบนักร้องดังและวงดังในสหรัฐอเมริกา อาทิ อย่าง Iron Butterfly , Janis Joplin , The Rolling Stones , and Fleetwood Mac . ซึ่งในเดือนธันวาคมปีเดียวกันนี้เจ้า Ian McDonald กับ Michael Giles ลาออกไปทำอัลบั้มเดี่ยว สุดท้ายเหลืออยู่ 3 พระหน่อ คือ Fripp, Sinfield กับ Lake แต่เดือนมีนาคม 1970 ก็ยังสู้อุตสาห์ออก Single มา คือ “Cat Food/Groon” จากนั้นก็รวบรวมพลพรรคใหม่ออกอัลบั้มที่สอง “ In the Wake of Poseidon ” ในนามของ King Crimson

 

 

Next

Home