HeaVy – HardRocK มันส์โคตรรุ่นป๋า
- 8 -
x

3) ยุค 70's ฮาร์ตร็อคเฟื่อง

 

ตอนเขียนต้นฉบับ ป๋าอยากให้มาถึงบทนี้เร็วๆ เพราะยุค 70's เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงในโลกของดนตรีสากล เป็นยุคแสดงผลงานของบรรดาเหล่านักดนตรีที่มีพื้นฐานแนวเพลงต่างๆ เต็มฝีมือ และตกผลึกทางความคิด เปี่ยมด้วยอุดมคติ อีกทั้งมีหลายต่อหลายวงได้ฝ่าวงล้อมแบบแผนประเพณีเพลงเก่าๆ เอาไว้บ้างแล้ว เครื่องดนตรีรวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือก็พัฒนาไปอีกขั้น เสียงดีขึ้น แต่งเสียงได้แปลกมากขึ้น ชัดมากขึ้น ด้านสังคมวัยรุ่นก็เปลี่ยนไป รักที่จะเล่นดนตรีกันมาขึ้น หลังจากเป็นผู้ฟังหรือผู้ชมมาก่อน เพราะได้รับอิทธิพลมาจากมหกรรมดนตรีและสันติภาพ Woodstock 1969

มหกรรมดนตรีระดับโลก ณ Yasque's Farm ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว แต่เสียงเพลงจากวันและคืนเหล่านั้น ยังแพร่กระจายออกไป กีตาร์ เบส กลอง และแผ่นเสียงขายดีขึ้น ท่ามกลางเสียงเอ็ตตะโรของผู้ใหญ่ที่ต้องการหยุดกระแสฮิปปี้ให้ได้ การเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามยังมีอยู่ต่อ และสหรัฐอเมริกายังรบอยู่ในเวียดนามต่อไป ในขณะที่นักดนตรีกลุ่มหนึ่งในต้นทศวรรษ 70's มองเห็นความอดยากหิวโหยเป็นกระแสใหม่ที่ต้องยื่นมือเข้าไปพยุงและชี้ประเด็นให้โลกทั้งโลกเห็น รวมตัวกันจัดมหกรรมคอนเสิร์ตใหญ่ไล่หลัง Woodstock ปีกว่า ( 1 ส.ค. 1971) ชื่องานว่า “The Concert For Bangladesh” หรือ “ คอนเสิร์ตเพื่อบังคลาเทศ ” นำโดย George Harrison กีต้าร์ / ร้อง วง The Beatles

ยุค 70's ได้เผยโฉมความยิ่งใหญ่ของ Heavy - Hard Rock เผยโฉมความก้าวหน้าในการสร้างสรรค์บทเพลงให้แก่นักดนตรีด้วยกันฟัง เพราะแนวนี้ดูจะหนักใน “ หู ” แต่กำลังดี กำลังเหมาะสำหรับนักดนตรี รวมถึงนักดนตรีสมัครเล่น ความจริงแล้วนักดนตรีในโลกตะวันตกได้สร้างผลงานไว้ตั้งแต่ปี 1968 หรือ 1969 แต่ผลงานเหล่านั้นมาเป็นที่รู้จักแพร่หลายในช่วงต้นทศวรรษ 70's เป็นสาระสำคัญ

บาร์ทุกบาร์ในจังหวัดอุดรธานีนักดนตรีจะเล่นเพลง “Born to Be Wild” กับ เพลง “Sukie Sukie” ของวง Steppenwolf เพราะครบเครื่องทุกๆ ด้านโดยเฉพาะเพลงแรก แต่เป็นเพลงมาจาก Single ที่ 3 วงนี้ตั้งมาตั้งแต่ปี 1964 แล้ว นักดนตรีชอบเล่นเพราะเล่น / ร้องแหกปากกันสนุก ในขณะที่คนฟังชอบลุกออกมาเต้น ! เต้น ! ส่วนอีกเพลง คือ “The Pusher” เพลงดี....ด่าแสบ...โคตร !

เพลง “Yellow River” ของวง Christie ก็เล่นกันไม่เลิกหลายปีติดต่อกันนับจากเพลงนี้หลุดออกมา ในปี 1970 ขึ้น Intro ง่ายๆ จำง่ายๆ ทำนองคึก เดินเบสก็สนุกไหลวนเป็นน้ำ เนื้อร้องช่วงต้น “So long boy, you can take my place, I got my papers I got my pay, sopack my bags and I'll be on my way to Yellow River….Yellow River Yellow River….”

เพลงนี้พวก GIs ชอบร้องกันจัง สมัยเป็นวัยรุ่นพอได้ยินเพลงนี้ก็นึกถึงแม่น้ำเหลืองในจีน ร้องไปนึกถึงแม่น้ำเหลืองไหลเชียวกรากไป และเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นเสียตั้งนาน แต่ความจริงแล้วเพลงนี้ไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับแผ่นดินจีนเลย กลับเป็นชื่อแม่น้ำสายเล็กๆ ในสหรัฐอเมริกา แต่อยู่ตรงไหนไม่รู้ เพราะ Christie ได้แรงบันดาลใจจากวรรณกรรมคาวบอยสมัยสงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา หนังสือแต่งโดยนาย Hank Jansen แก่เคยอ่านเรื่องนี้ตอนเป็นเด็ก ทหารอเมริกันชอบเพลงนี้ป๋าคิดว่าคงเป็นเพราะชื่อเพลงบังเอิญไปตรงกับฐานรวมพลของ GIs ก่อนบินไปยังสนามรบเวียดนามที่มีชื่อว่า “Yellow River Transit Camp” เพลงนี้ติดตลาดก็เลยกลายเป็นเพลงประจำชาติของคนที่เคยมารวมพลที่นี่เสียเลย วง Christie เป็นวงจากอังกฤษไม่ใช่อเมริกัน...มันแปลกดีมั๊ย ?

เพลงของพวกนี้จัดอยู่ประเภท Pop-Country เทียบได้กับ C.C.R. มีค่าควรหาสะสม เพราะเพลงแม้เพลงไม่ติดตลาดทุกเพลงแต่ก็น่าฟัง เล่นกีตาร์โปร่งเพลินไปเลย ป๋ารับประกัน ฟังแค่ทางเดินของเบสพื้นฐานก็คุ้มแล้ว ! ลองไปหามาฟังสิเป็นต้นว่า “Yellow River , อีกเพลงที่ฮิตไม่แพ้ “ Yellow River ” เดินเบสมันส์...มันส์ คือ “Iron Hors e” , San Bernadino , Man of Many Faces , Jo Jo's Band ที่โซโลกีต้าร์โดย Vic Elmes , Navajo ฮิตในเม็กซิโก หัวหน้าวง / ร้องนำ / แต่งเพลงโดย Jeff Christie

ว่าไปแล้วยุคนี้ก็ยังนิยมเล่นเพลงของ The Beatles หลายเพลง อาทิ Hey Jude, Get Back, Back To The USSR. , เพลงเก่าของ The Doors ชื่อเพลง “Light My Fire” ก็ยังเล่นกันอยู่ประปราย, เพลงของ Eric Clapton ทั้งในนามวง The Yard Birds เพลง “For Your Love” , Cream เพลง “Sunnhine Of Your Love” , Blind Faith เพลง “ Well All Right” กับเพลง “Sea of Joy” ก็เล่น และไล่หลังมาไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเพลงใหม่ของ Eric Clapton คือ เพลง “Layla” ในนามวง Derek & the Dominos วงใหม่อายุสั้นๆ นี้ Eric Clapton เชิญ Duane Allman มาประชันประสานเสียงโซโลกีต้าร์ในเพลง Layla เรารู้กันแล้วใช่ไหมว่า Jimi Hendrix คือ สิงห์เหนือเพราะบ้านแกอยู่ Seattle ส่วนเสือใต้ก็คือ เขานี่แหละ Duane Allman แห่งวง Allman Brothers Band แห่งแคลิฟลอร์เนีย ฝีมือระดับพระกาฬ ร้านขายกีต้าร์ขาย ” “ ปลอกนิ้วเหล็ก ” ได้เยอะเพราะหัดเอามาสไลด์สาย

Eric Clapton มือกีต้าร์ระดับโลก(คนหนึ่ง)แห่งยุคสมัย แต่แกก็ยอมรับนะว่า Jimi Hendrix เล่นกีต้าร์ได้เยี่ยมจริงๆ แกทึ่งในฝีมือและลวดลายการเล่นกีต้าร์ของ Hendrix มาก เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้แกเห็นว่าทางของกีต้าร์มีอะไรที่แตกต่างออกไปจากเดิมได้ สองคนนี้เคยแจมกันที่ Central London Polytechnic ครับ

ต้นปี 1970 วง Badfinger จาก เวลส์ ปล่อย “riff-heavy” ออกมา สั้นๆ เสียงคมเข้มทำให้จดจำกันได้ง่ายๆ ในเพลง "No Matter What" จากอัลบั้ม “ No Dice” เพลง นี้ดังระเบิดเถิดเทิงทั่วโลก Heavy Metal ก็คือเพิ่ม Hybrid ให้กับเสียงนั่นเอง ลองไปเปิดแผ่นเพลงนี้ดูสิจะทำให้เข้าใจง่ายๆ นั่นเป็นบันไดแรกและชัดๆ ของ Heavy Metal ล่ะ ชุดนี้มีอีกเพลงที่ไพเราะมาก เล่นกันทุกบาร์เช่นกัน คือ เพลง “Without You”

เพลง “American Pie” ของ Don Mclean ต้องเล่นให้ฝรั่งฟังทุกคืน เพลงนี้เนื้อยาวเหยียดและต้องตีความเนื้อหา ส่วนหนึ่งของเพลงเขายกย่อง Buddy Holly นักดนตรีบุกเบิกที่กำลังถูกลืม เพลงของ Don ถูกค่ายเพลงและนักจัดรายการยัดเข้าไปในกลุ่มโฟล์คซอง แต่เจ้าตัวบอกว่าอยู่ในกลุ่มเพลง Rock ‘N' Roll ว่อย !

อันนี้ป๋าว่าเป็นเรื่องธรรมดานะ บางทีคนแต่งเข้าไม่ได้คิดอะไรมาก แม้ว่าจะคิดถึงแนวดนตรี แต่เวลาจะออกอัลบั้มก็คงอยากจะให้แต่ละเพลงมีลักษณะเด่นแตกต่างกัน เพลงนี้แบบนี้ อีกเพลงไปอีกอย่าง ไม่ใช่ต่างแค่ท่วงทำนองแต่แตกต่างที่จังหวะด้วย เหมือนกับเพลง “Before The Dawn” ของ Judas Priest นั่นล่ะ โอ้ ! สุดยอด ! ช่างไพเราะเสียเหลือเกิน แล้วใครว่านี่ไม่ใช่เพลง Metal ล่ะหือ ! และถ้าไม่ใช่ Metal ล่ะ แล้วเอ็ง...จะมีอะไร อ๊ะ.....ป่าว ? เถียงไปจะมีประโยชน์อะไร้

The Darkness ดาวรุ่งเมื่อปีสองปีที่แล้วออกเพลงมาก็ถูกพวกปากหอยปากปูวิจารณ์แหลกเหมือนกัน ไปหาว่าลอกสไตล์วงนั้นมาบ้าง เพลงนี้ลอกสไตล์วงนี้มา เอ้อ ! พูดอย่างนั้นมันได้ประโยชน์อะไรฟ่ะ ? ทำไมไม่ฟังดู ฟังแล้วมันติดหูมั๊ย ? ฟังแล้วถูกใจเราหรือเปล่า ? ป๋าเองก็ไม่เคยชอปเล้ย...ร้องเพลงหลบเสียง แล้วไอ้เพลงที่ไม่ร้องหลบเสียงมันก็เพราะดี แล้วจะไปว่า “ ไอ้แมวจ๋อง ” ไปทำไม ?

ไอ้ที่ร้องกัน “ แช..ดั๊ฟ แช..ดั๊พ ” ป๋าก็ไม่ว่าอะไรที่มันไปตรงเผงกับเพลงของปู่ Al Martino เพลง “Can't Take My Eyes Off You” และไอ้เพลงใหม่ที่เปิดกรอกหูทุกร้านขาย CD ช่วงปีปฏิรูปการปกครอง 2549 บางท่วงทำนองตัวโน๊ตมันไปคล้ายกับเพลง “In The Summertime” ของ Mungo Jerry ป๋าก็ไม่เห็นว่าอะไร ก็เพราะดี มันส์ดีมิใช่หรือ ไม่เอาน่า เรามันคอเพลงเหมือนกันอย่างไปติโน่นตินี่กันเลย ลองเอาเพลงบลูส์ร็อคเก่าๆ อย่างเพลง “Whiskey Train ” ของ Procol Harum มาเล่นใหม่สิ ต่อให้เล่นแบบเดิมทุกอย่าง โซโลลูกเดิมทุกอย่าง ก็จะรู้ว่า เพลงเก่าหลายสิบปีอย่างนั้นก็เป็น Metal ดีๆ ได้

ฮาร์ตร็อคเริ่มเผยโฉมและติดอันดับ คือ เพลง “No Time” ของวง The Guess Who ศิลปินแคนาเดี้ยน จากอัลบั้ม "American Woman" และมีเพลงชื่อเดียวกันกับอัลบั้มด้วย ใครๆ ก็แกะ 2 เพลงนี้เล่น แต่ Hard Rock เจ๋งเป้งกำลังเกิดขึ้นมา

 

Next

Home