สัตว์มหัศจรรย์ในตำนาน

: หน้าแรก :
: ฮอกวอตส์ :
: ห้องโถงรวม :
: ห้องสมุด :
: ลงนามในเพนชิพ :
: Gryffindor :
: Ravenclaw :
: Hufflepuff :
: Slytherin :

: โรงนกฮูก :
: ทำเนียบอาจารย์ :
: ทำเนียบผี :
: ทำเนียบนักข่าว :
: ทำเนียบนร. : 
: ทำเนียบพรีเฟ็ค :
: ห้องสอบ :
: ห้องการบ้าน :

: ห้องปรุงยา :
: ห้องคาถา :
: หอพยากรณ์ :
: สัตว์วิเศษ :
: เรือนสมุนไพร :
: หอประวัติศาสตร์ :
: ห้องดาราศาสตร์ :
: ห้องแปลงร่าง :
: หอตัวเลขฯ :
: สนามควิดดิช :
: หอมักเกิ้ลศึกษา :
: สนามฝึกบิน :
: หอกลอน :
: นิตรยาสารไม้ฯ :
: มหัศจรรย์สัตว์ฯ :
: แม่มดรายสัปดาห์:


เร้ดแค็พ

          มีอธิบายอยู่ในหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ ว่า อาศัยอยู่ตามรู ในสนามรบเก่าๆหรือ ตามบริเวณที่เคยสัมผัสเลือดมนุษย์มาก่อน... เร็ดแค็พจะพยายามใช้กระบองตีหัวมักเกิ้ลจนตายในคืนที่มืดมิด อังกฤษและสก็อตแลนด์ซึ่งได้ทำสงครามกันมาหลายต่อหลายครั้ง ต่างก็รู้จักกับเรื่องของเร้ดแค็พ ในสนามรบมาช้านานแล้ว บางทีพวกเขาจะเรียกมันว่า ไอ้หมวกกระหายเลือด หรือ เจ้าหวีสีเลือด เนื่องจากเร้ดแค็พจะใช้หมวกของมันมารองรับเลือดที่ไหลออกมาจากร่างของเหยื่อ 

ราโมรา

          เจเค โรว์ลิงค์ บอกกับเราว่า ปลาชนิดนี้มีอยู่จริงในมหาสมุทร เมื่อหลานพันปีก่อน และมีอำนาจขนาดจะหยุดเรือทั้งลำให้นิ่งอยู่กับที่ได้ ชื่อของราโมรา มาจากภาษาละติน หมายถึง การทำให้ช้า ปลาราโมรา จะใช้ส่วนหัวของมันดูดติดกับตัวเรือ หรือ พวกปลาฉลามให้ไม่สามารถเคลืท่อนที่ต่อไปได้ เพื่อจับเหยื่อกินไปอาหาร

          ในคริสตศตวรรษที่ 1 พลินี ดิ เอลเดอร์ ได้บันทึกเรื่องราวอันมหัศจรรย์ของปลาราโมราเอาไว้ว่า เกิดพายุพัดกระหน่ำ คลุ้มคลั่งด้วยพละกำลังอันมหาศาลของปลา พวกมันทำให้เรือต้องหยุดอยู่กับที่โดยไม่ต้องทอดสมอเรือ หรือใช้สายยึดเลย พวกมนุษย์โดนจับตรึงให้อยู่กับที่ อย่างไม่อาจจะรับมือได้เพียงเพราะว่า ปลาที่มีความยาว 6 นิ้ว เท่านั้น พลินิ กล่าวว่า มาร์ค แอนโทนี่ ยังต้องพ่ายแพ้สงครามแก่แอคติอุม เพราะกองทัพเรือของเขาโดนฤทธิเดชแห่งปลาราโมรา ทำให้เคลื่อนทัพไปไหนไม่ได้ ประวัติศาสตร์ของโรมัน จึงถูกเปลี่ยนไป

ฮิปโปแคมปัส

          ม้าทะเลตัวนี้ มีครึ่งร่างบนเป็นม้า ส่วนครึ่งท่อนล่างเป็นปลา ชื่อของมันได้มาจากภาษากรีก คือ Hippos แปลว่า ม้า รวมกับคำที่มาจากภาษาละติน คือ Campus แปลว่า สัตว์ปะหลาด บางครั้งก็เรียกมันว่า ไฮดิปปัส มาจาก คำภาษากรีกคือ Hydro แปลว่าน้ำ ฮิปโปแคมปัส เป็นสัตว์เทียมรถศึก ของเทพเจ้าโพไซดอน แห่งท้องสมุทร 

          จากหนังสือเรื่อง Physiologus ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อประมาณคริสศตวรรษที่ 2 กล่าวในทำนองว่า ฮิปโปแคมปัส คือราชาแห่งปลาทั้งมวล อย่างไรก็ตามในหนังสือเรื่อง Jubaism And Christianity กล่าวถึงตำนานโบราณซึ่งแตกต่างจากนี้เล็กน้อย หนังสือเล่มนั้นกล่าวถึง ปลาทองคำ ( หมายถึงปลาอานนท์ ) ที่อาศัยอยู่ทางตะวันออก ฮิปโปแคมปัส ในเรื่องนี้มีบทบาท เป็นเหมือน โมเสส 

          เมื่อปลาในท้องทะเล มารวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ พวกมันจะมองหาไฮดริปปัส และเมื่อพบแล้ว ไฮดริปปัส จะว่ายน้ำไปทางทิศตะวันออก พวกปลาทั้งหลาย ทั้งจากทิศเหนือและทิศใต้ จะว่ายน้ำตามมันไป ไฮดริปปัสว่ายนำปลาทุกตัว เพื่อพาไปยังปลาทองคำ และเมื่อทุกตัวมาถึงแล้ว ไฮดริปปัส และปลาทุกตัวก็ยกย่องปลาทองคำให้เป็นราชาแห่งเหล่าปลาทั้งหลาย

ซาลาแมนเดอร์

          เจเค โรว์ลิง กล่าวว่า ซาลาแมนเดอร์ เป็นสัตว์เลื้อยคลานตัวเล็กที่อาศัยอยู่ในกองไฟ และกินเปลวไฟเป็นอาหาร อริสโตเติล นักปรัชญาชาว กรีก ผู้มีชื่อเสียงได้เคยบันทึกไว้เมื่อ 400 ปีก่อนคริสตศักราช ว่า เป็นเรื่องจริง ที่ว่าไฟไม่อาจทำร้าย สัตว์บางชนิดได้ จะเห็นว่า ซาลาแมนเดอร์ สามารถคลานออกมาจาก กองไฟได้ โดยไม่เป็นอะไรเลย การที่ซาลาแมนเดอร์สามารถอยู่ท่ามกลางเปลวไฟได้ เพราะว่าตัวของมันมีความเย็นมาก อีกเกือบพันปีต่อมา นักบุญอิซิดอร์ บิซอป แห่งซีวิลล์ ก็มีความเห็นอย่างเดียวกัน มันอาศัยอยู่กลางกองเพลิงโดยไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือถูกเผาไหม้ และในบรรดาสัตว์มีพิษทั้งหลาย ซาลาแมนเดอร์นับว่า มีพลังอำนาจมากทีสุด สัตว์มีพิษอื่นๆมักฆ่าเหยื่อ ได้ครั้งละตัว แต่ซาลาแมนเดอร์สามารถจะฆ่าเหยื่อได้ทีละเป็นจำนวนมาก โดยการปีนขึ้นไปบนต้นไม้ แล้วปล่อยพิษใส่ไว้ในผลไม้ ใครก็ตามที่กินผลไม้นั้น ก็จะเสียชีวิต 

เออร์คิงส์

          เจเค โรว์ลิงค์ ได้ที่มาของชื่อนี้จากตำนาน ปรัมปรา ของเยอรมัน ซึ่งกล่าวถึงพวกเอลฟ์ประจำบ้านชนิดหนึงซึ่งมีชื่อว่า เอิร์ลคิง มีการสลับอักษรระหว่างตัว K และตัว L จาก Erlking จึงกลายเป็น Erkling ส่วนลักษณะต่างๆก็เหมือนกันทุกอย่าง เออร์คิงล์เป็นปีศาจที่อาศัยอยู่ในป่าดำของเยอรมัน มันจะพยายามหลอกล่อเด็กให้ออกห่าง จากผู้ปกครอง เพื่อจับเด็กกินเสีย โยฮัน วูลฟ์แกง ฟอน เกอเธ่ แต่งบทกวีชื่อ Erl king กล่าวถึงเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เดินทางเข้าไปในป่าดำ พร้อมกับพ่อของเจาว่า

ภูตพรายแห่งป่าดำอันมืดมิด

     พร้อมกลืนกินชีวิตไร้เดียงสา

ด้วยกลเกมส์หลายอย่างหลอกพรางตา

     ห่างบิดาเมื่อใดภัยมาเยือน

          แม้ว่าเด็กน้อยคนนั้นจะพยายามบอกต่อพ่อของเขา ผู้ซึ่งไม่ได้ยินเสียงของเอิร์ลคิง กลอนบทนี้ จบลงด้วยความเศร้า เหมือนตำนานของกริ้นดี้ดลว์ของอังกฤษ และกัปปะของญี่ปุ่น ซึ่งมักจบลงด้วยความตายของเด็กน้อย ผู้ปกครองมักนำเรื่องเอิร์ล คิง มาขู่เด็กๆเพื่อไม้ให้เข้าไปเดินเล่นในป่า

ไคมีร่า

          เป็นสัตว์ประหลาดของกรีก ที่เกิดจากการผสมพันธุระหว่าง สฟริงค์ กับเซอบิรัส ( สุนัขสามหัว ที่ทำหน้าที่เฝ้ายมโลก ) ไคมีร่าจึงมีสามหัว โดยหัวหนึ่งเป็นมังกร อีกหัวหนึ่งเป็นสิงโต และอีกหัวหนึ่งเป็นแพะ มันมีนิสัยดุร้ายและอันตรายมาก

          เจเค โรว์ลิงค์เคยเล่าว่า เท่าที่รู้มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ที่มีผู้ปราบไคมีร่าได้สำเร็จ แต่ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากภารกิจนี้ก็ทำให้ พ่อมดโชคร้ายผู้นั้น พลัดตกจากม้ามีปีกจนถึงแก่กรรม หลังเสร็จสิ้นภารกิจไม่นาน

          ฟังจากเรื่องที่เธอเล่า วีรบุรุษผู้นี้น่าจะเป็น เบลล์ เลอร์ โรว์ ฟอน ของกรีก ผู้ขี่ม้าบินชื่อ พีการ์ซัส เขาเป็นหนึ่งในเจ็ดผู้ยิ่งใหญ่ ที่สามารถปราบปีศาจได้สำเร็จ จนเกิดความหยิ่งผยอง คิดจะขี่ม้ามีปีกบินขึ้นเขา โอลิมปุสของเหล่าเทพเจ้า  จอมเทพซูส จึงทรงกริ้ว และผลักเขาให้ตกขากหลังม้าพีการ์ซัส

          คำว่าไคมีร่า อาจหมายถึง สิ่งมีชีวิต ที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นจากการผสมพันธุ์สัตว์ต่างๆโดยไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ

เคลป์ปี้

          มีคำอธิบาย เกี่ยวกับสัตว์น้ำชนิดนี้อยู่ในหนังสือมหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ว่า เคลป์ปี้เป็นปีศาจน้ำแห่งเซลดิกที่มักจะแปลงร่างเป็นม้าที่มีขนแผงคอสีเขียวเหมือนต้นกก มักชอบหลอกล่อให้คนอื่นขี่หลัง แล้วมันก็จะควบพาเหยื่อลงน้ำ เพื่อไปจับกิน เจเค โรว์ลิงค์บอกวิธีกำราบมันไว้ว่า ให้คล้องบังเหียนรอบหัวมัน แล้วร่ายคาถายึดให้แน่น ก็จะทำให้มันเชื่องได้ เนื่องจากมันมีเรี่ยวแรงมหาศาล จึงทรงพลังดุจม้าเป็นฝูงๆเลยทีเดียว

เซลกี้และมอร์โรว์

          ในหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ ได้กล่าวถึงเซลกี้และเมอร์โรว์ไว้ในหมวดของชาวเงือกว่า เซลกี้เป็นมนุษย์แมวน้ำ อาศัยอยู่ในแถบหมู่เกาะทางเหนือของสก็อตแลนด์ เมื่อมันอยู่บนบกจะเป็นหญิงสาวที่สวยงามมาก เมื่อลงน้ำจะกลายร่างเป็นแมวน้ำ การฆ่าเซลกี้จะก่อให้เกิดวาตภัยในเวลาต่อมา

          ส่วนเมอร์โรว์ ถูกจัดให้อยู่ในตระกูลชาวเงือกเช่นกัน มีถิ่นอาศัยอยู่ในไอร์แลนด์ เมอร์โรว์เป็นหญิงสาวหน้าตางดงามยิ่งนัก ส่วนเมอร์โรว์ชายจะมีหน้าตาอัปลักษณ์มาก ลือกันว่าพวกเมอร์โรว์จะมีหมวกวิเศษ เมื่อหมวกนี้หายหรือถูกขโมยไปมันก็จะไม่สามารถกลับสู่ทะเลได้อีกเลย

บ็อกกาต

          ปีศาจบางชนิดดูแล้วน่ากลัวมากอย่างเช่น เจ้าปีศาจบ็อกกาต วึ่งมีลักษณะอย่างที่เฮอร์ไมโอนี่อธิบายเอาไว้ว่ามันสามารถเปลี่ยนเป็นรูปอะไรก็ได้ที่ทำให้เรากลัวมากที่สุด ปีศาจบ็อกกาตก็เหมือนปีศาจโบกี้ของอเมริกา สก็อตแลนด์เรียกว่าปีศาจโบเกิล และในเยอรมันเรียกว่า ปีศาจโบเกลมัน ถ้านายของมันเลี้ยงดูมันอย่างห่วย มันก็อาจจะกลายเป็นปีศาจที่ดุร้าย ชอบกลั่นแกล้ง แต่ก็ไม่เป็นอันตรายกับใครมากนัก พวกมันชอบออกมาตอนกลางคืน

          ปีศาจบ็อกกาตเป็นผีสิงที่อยู่ในบ้าน โดยเฉพาะในตู่เสื้อผ้า วิธีกำจัดพวกมันคือ ต้องย้ายบ้านหนี พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะปีศาจบ็อกกาต จะก่อคอยก่อกวนการย้านบ้านของเราให้เละตุ้มเป้ะ ยิ่งมันทำให้คนอารมณ์เสียมากเท่าใด พวกมันก็รู้สึกสนุกขึ้นเท่านั้น

บาซิลลิสก์

          ในบรรดาสัตว์มหัศจรรย์ทั้งหลาย บาซิลลิสก์จัดเป็นสัตว์ที่อันตรายทีสุด บาซิลลิสก์ไม่เพียงแต่เป็นงูยักษ์เท่านั้น แต่ยังเป็นราชาแห่งงูในตำนานมาหลานร้อยปีแล้ว เจเค โรว์ลิงค์เขียนไว้ในหนังสือมหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ว่า พ่อมดกรีกชื่อ เฮอร์พีน เป็นภาษาที่มีความหมายว่า คืบคลาน ซึ่งเป็นคำที่ใช้บรรยายลักษณะของงู วิชาการศึกษาเกี่ยวกับ สัตว์เลื้อยคลานโดยเฉพาะ เราเรียกว่า วิชาเฮอร์พิโทโลจี้

          ในตำนานดั้งเดิมกล่าวว่า บาซิลิสก์เป็นลูกของพ่อไก่หรือแม่ไก่ซึ่งผสมพันธุ์กับงูหรือคางคก จิตรกรบางคนก็วาดภาพ บาสิลิสก์โดยผสมผสานลักษณะแปลกๆ ของสัตว์เหล่านี้เข้าด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วบาสิลิสก์มักจะถูกวาดเป็นภาพงูมีมงกุฏหรือหงอนอยู่บนศรีษะ งูเห่าที่มีจุดสีขาวบนศรีษะ อาจจะเป็นจุดเริ่มของตำนานเรื่องบาซิลลิสก์ก็เป็นได้

          บาซิลลิสก์เป็นสัตว์ที่น่าสะพรึงกลัว แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากมันมากก็ตาม นักธรรมชาติวิทยาโรมัน กล่าวว่า  บาซิลลิสก์สามารถสังหารเหยื่อของมันโดยไม่ต้องสัมผัสตัว เพียงแค่หายใจรดเท่านั้น เหยื่อก็เสียชีวิตแล้ว พลังของมันราวกับปีศาจ

          บางแหล่งกล่าวว่า บาซิลลิสก์มีอยู่ 3 ชนิด คือ บาซิลลิสก์ที่มีสีทองสามารถแพร่พิษโดยการมอง ชนิดที่ 2 สามารถพ่นไฟได้ และชนิที่ 3 มีเวทย์มนต์คล้ายกับแม่มด เมดูซา ผู้ซึ่งมีผมเป็นงู ในตำนากรีก คือ ทำให้เหยื่อที่เห็นกลายเป็นหิน

วิธีรับมือกับบาซิลลิสก์

       บาซิลลิสก์ภายใต้การควบคุมของลอร์ดโวลเดอร์มอร์ตได้หลบมาอยู่ในห้องแห่งความลับ ที่รร.ฮอกวอตส์ บาซิลลิสก์เกือบจะฆ่าแฮร์รี่ และเพื่อนของเขาอีกลหายคน หากแต่ได้ ฟอกส์ นกฟีนิกซ์ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของ อัลบัส ดับเบิลดอร์ ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ โดยการจิกนัยน์ตาของบาซิลลิสก์จนบอดสนิททั้งสองข้าง การวางโครงเรื่องให้นกฟีนิกซ์มาช่วยแฮร์รี่ไว้เป็นการเหมาะสม เพราะตามตำนานแล้ว นกและไก่ มักเป็นศัตรูของงู ในยุคกลาง นักเดินทางมักจะนำไก่ไปด้วย เพื่อคุ้มครองตนเองจากบาซิลลิสก์ เนื่องจากเชื่อกันว่า ถ้าบาซิลลิสก์ได้ยินเสียงไก่ขันมันจะตายทันที

กริ้นดี้โลว์ ปีศาจใต้น้ำ

          กรื้นดี้โลว์เป็นผีน้ำตามตำนานของเมืองยอร์คไซร์ ของอังกฤษ ปีศาจอันตรายตัวนี้ชอบบ่อน้ำและทะเลสาปมาก เพราะเป็นที่ที่มัน สามารถจับและลากตัวเด็ก ที่มาใกล้ริมน้ำ ลงสู่ใต้ผิวน้ำได้ ในเมืองแลนด์คลาสไซร์จะเรียกปีศาจกริ้นดี้โลว์มา เจนนี่ ฟันเขียว และในเมืองอื่นๆของอังกฤษ ก็เรีบยกริ้นดี้โลว์ว่า เนลลี่ แขนยาว ปีศาจที่ชื่อ เพ็ค โอ เดอะ เวล เป็นญาติกับกริ้นดี้โลว์และเป็นปีศาจที่คอยหลอกหลอนอยู่ในบ่อน้ำเช่นกัน

ฮิปโปกริฟฟ์

 

          เวอร์จิล กวีชาวโรมันคิดว่า ฮิปโปกริฟฟ์น่าจะเป็นการผสมพันธุ์ระหว่างตัวกริฟฟินกับหมูมีปีก ในตอนต้นศตวรรษที่ 15 กวีในราชสำนักอิตาลี ชื่อ รูโด วิโก้ อเลียสโต ได้ประพันธ์กาพย์ชื่อ Orlando Furioso ซึ่งเป็นเรื่องราวของอัศวินแห่งกษัตริย์ ผู้ปกครองดินแดนส่วนใหญ่ของยุโรป  ในช่ววงศตวรรษที่ 9 พวกเขาเป็นผู้สร้างฮิปโปกริฟฟ์ขึ้นมาจากม้า

          เรื่องราวของอเลียสโต บาดาร์มันเต้ หญิงสาวผู้กล้าหาญซึ่งออกตามหา โรจิโร อัศวินหนุ่มคู่รักของเธอที่ถูกผู้วิเศษจับตัวไป ผู้วิเศษนี้ขี่สัตว์ประหลาดจากเทือกเขาไลฟาเอน ซึ่งอยู่เหนือทะเลน้ำแข็ง หลังจากที่เธอปราบผู้วิเศษและปลดปล่อย โรจิโร กับเหล่าอัศวินแล้ว บาดามันเต้ จึงเข้าไปดูสัตว์ปะหลาดนั้นในระยะใกล้ พวกเขาเดินลงมาจากภูเขาถึงสนามรบ ณ ที่นั้น พวกเขาได้เห็นตัวฮิปโปกริฟฟ์ซึ่งมีโล่ห์วิเศษ ห่อในเสื้อคลุมแขวนไว้บนอานข้างลำตัวมัน บาดามันเต้ ก้าวเดินไปจับบังเหียน ฮิปโปกริฟฟ์ทำท่าเหมือนตอยให้เธอเข้าใกล้ แต่ก่อนที่เธอจะเดินมาถึงตัวมันฮิปโปกริฟฟ์ก็กางปีกออก เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ฮิปโปกริฟฟ์หนีเธอ ไปในลักษณะเดียวกัน โรจิโร และเหล่าอัศวินคนอื่นๆจึงกระจายกัน ไปทั่วพื้นราบและยอดเขา เพื่อหาตัวฮิปโปกริฟฟ์ ในที่สุดฮิปโปกริฟฟ์ก็ยอมให้โรจิโรจับบังเหียน โรจิโรลังเลที่จะขึ้นขี่บนหลังมัน ฮิปโปกริฟฟ์ยอมให้เขาลูบคลำร่างกายของมัน จนทำให้โรจิโรเกิดความกล้ามากขึ้น หลังจากที่ควบฮิปโปกริฟฟ์ไปในระยะทางสั้นๆแล้ว ฮิปโปกริฟฟ์ก็กางปีกทะยานหายไปกลางอากาศ

ยูนิคอร์น

          ยูนิตอร์นปรากฏอยู่ในงานศิลปะ และเทพนิยายโบราณของดินแดนในแถบเมโสโปเตเมีย จีน และอินเดีย นักธรรมชาตินิยมชาวโรมันชื่อ พลินิ บรรยายเกี่ยวกับยูนิคอร์นว่า " เป็นสัตว์ที่ดุร้ายมาก " ร่างของมันเหมือนกันม้า หัวเป็นกวาง เท้าเป็นช้าง หางเป็นหมูป่า มีเสียงแหลมเล็ก มีเขาเดี่ยวยาวประมาณสามสี่ฟุตอยู่ที่กลางหน้าผาก

          นักเดินทางในต้นยุคศตวรรษที่ 15 พบเห็นยูนิคอร์นสองตัวที่นครเมกกะ มีลักษณะดังนี้  ตัวที่มีอายุมากกว่าดูเหมือนลูกมม้าอายุ 30 เดือน มีเขาอยู่ที่หน้าผากยาวประมาณสามช่วงแขน อีกตัวหนึ่งเหมือนลูกม้าอายุ 1 ขวบมีเขายาวประมาณ1ฟุต สีของมันเหมือนกับม้าเปลี่ยวสีดำ หัวเหมือนกวางตัวผู้เต็มวัย คอไม่ยาวมาก มีขนสั้นๆบางๆห้อยลงมาทั้งสองข้าง ขายาวเรียวคล้ายขาแพะ เท้ามีกีบเล็กๆ แท้จริงแล้วสัตว์ประหลาดนี้คงจะเป็นสัตว์ที่ดุร้ายมากและชอบสันโดษ

          สัตว์สองตัวนี้ถูกถวายให้แก่องค์สุลต่านแห่งเมกกะ ในฐานะของสิ่งกำนัลที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในโลกปัจจุบัน และในฐานะสมบัติอันทรงคุณค่าที่สุดเท่าที่กษัตริย์แห่งเอธิโอเปีย หรือกษัตริย์แห่งมัวร์เคยส่งมาถวาย ของบรรณาการชิ้นนี้ถูกส่งมาถวาย เพื่อรักษาความไว้วางใจ ที่ได้รับจากองค์สุลต่านแห่งเมกกะ

: 1 : 2 : 3 :

สรรหาข้อมูล โดย flora :: flora@chaiyo.com