|
||||
เป็นพืชที่มีคุณประโยชน์มากมายมหาศาล เพราะทุกส่วนของมะละกอนำมาใช้ได้หมด และคนไทยก็คุ้นเคยกับพืชชนิดนี้มาก จัดเป็นทั้งอาหารและยา ผลมะละกอดิบนำมาทำเป็นอาหารได้หลายอย่าง อาทิเช่น แกงส้ม แกงเหลือง แกงป่า ผัดใส่ไข่ ผักลวกจิ้มน้ำพริก ผลไม้แช่อิ่ม ผักดอง ส้มตำ และผลมะละกอสุกยังนิยมใช้เป็นผลไม้หลังจากรับประทานอาหาร ซึ่งมีรสชาติหอมหวานและอร่อย เมื่อรับประทานแล้วจะรู้สึกชื่นใจ นอกจากนั้นยังสามารถนำไปผลิตแยม เครื่องดื่ม น้ำหวาน และเปลือกผลมะละกอยังนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ส่วนยางมะละกอนำไปเป็นผงหมักอาหารพวกเนื้อสัตว์ให้เปื่อย | ||||
มะละกอมีถิ่นกำเนิดจากทวีปอเมริกาใต้ และแพร่หลายโดยโคลัมบัส เข้ามาเมืองไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มะละกอมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Carica papaya Linn. มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นดังนี้ ละกอ (มาเลย์) ลอกอ (ภาคใต้) มะก้วยเทศ (ภาคเหนือ) แตงต้น (สตูล) มาอึก (สนามแจง) มะหุ่ง (ลาว-ลานช้าง) ก้วยลา (ยะลา) มะเต๊ะ (ปัตตานี) สะกุยแส่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) หมักหุ่ง (เลย-นครพนม) บักหุ่ง (อีสาน) ส่วนชาวต่างประเทศชอบเรียกทับศัพท์เลยค่ะว่าปาปาย่า แถมท้ายว่าป๊อก ๆ เป็นอันรู้กันว่าหมายถึงส้มตำ | ||||
มะละกอเป็นไม้ต้นเนื้ออ่อน ไม่มีแก่นสูงประมาณ 2.5-3 เมตร ขึ้นได้ดีในดินแทบทุกชนิด แต่ต้องมีการระบายน้ำได้ดี ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ใบเป็นใบเดี่ยว ดอกมีสีครีมหรือสีขาวเหลือง ดอกออกเป็นช่อตามง่ามใบ ดอกตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าดอกตัวเมีย ดอกจะใช้แยกต้นมะละกอได้ โดยมะละกอตัวผู้ (มีดอกตัวผู้) จะให้ผลไม่สมบูรณ์ มะละกอตัวเมีย (มีดอกตัวเมีย) จะต้องการเกสรตัวผู้จากต้นอื่นมาผสมจึงจะติดผลดี แต่ก็สามารถติดผลได้เองโดยไม่ได้รับการผสมเกสร ผลที่เกิดจากดอกตัวเมียจะมีลักษณะป้อม อีกชนิดหนึ่งคือมะละกอสมบูรณ์เพศภายในดอก มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสตัวเมีย ซึ่งจะให้ผลที่สมบูรณ์มีรูปร่างยาวและเนื้อหนา มะละกอมีหลายพันธุ์ แต่ที่นิยมปลูกในประเทศไทย คือพันธุ์โกโก้ พันธุ์แขกนวล และพันธุ์แขกดำ | ||||
ผลมะละกอสุกจะมีวิตามินเอ และวิตามินซีสูง มะละกอที่เนื้อสีแดงจะมีวิตามินซีสูงกว่าสีเหลือง มะละกอพันธุ์แขกนวลจะมีเบต้าแคโรทีนสูงกว่าพันธุ์แขกดำและพันธุ์โกโก้ ในมะละกอสุกยังพบวิตามินบี 1 บี 2 เกลือแร่ชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และน้ำตาลกลูโคส ฟรักโทส และเปคติน (Pectin) ดังนั้นถ้าท่านผู้อ่านบริโภคมะละกอสุกก็จะได้คุณค่าสารอาหารดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และยังได้กากใยซึ่งช่วยในการขับถ่าย แต่ห้ามรับประทานมะละกอสุกมา ๆ และทุกวัน เพราะจะทำให้ผิวมีสีเหลือง เรียกว่าโรคแคโรทีนีเมีย (Carotenaemia) ซึ่งเกิดจากการที่มะละกอสุกมีสารแคโรทีนอยสูง (สารสีเหลือง) | ||||
น้ำยางมะละกอจะนำมาหมักเนื้อให้นุ่มโดยมีสัดส่วนคือ
ยางมะละกอ 12 หยด ต่อเนื้อ 1
กิโลกรัม (ควรใช้ยางจากผลแก่)
จะทำให้เนื้อนุ่มพอเหมาะ
เพราะถ้าใช้มากเกินไปจะทำให้รสขมและมีกลิ่นยางมะละกอได้
นอกจากนี้ยังมีการนำยางมะละกอไปทำในรูปผง
เรียกว่าผงเปื่อย
ซึ่งบรรดาพ่อครัวแม่ครัวต้องรู้จักดี
และได้มีการนเอนไซมปาเปนและไคโมปาเปนในมะละกอไปทำยาแผนปัจจุบัน
ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นยาช่วยย่อยและลดการอักเสบบวมบาดแผลจากการผ่าตัด
หรือบาดแผลจากการบาดเจ็บทั่ว
ๆ ไป
หรือนำเอนไซม์ปาเปนไปผลิตเป็นน้ำยาล้างเลนส์สัมผัสชนิดนุ่ม
(Soft contact lens)
อุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง
เพราะทำให้เนื้อสัตว์อ่อนนุ่ม
อุตสาหกรรมเบียร์
โดยใช้หมักเบียร์เพื่อให้โปรตีนในเบียร์ตกตะกอน
ทำให้เบียร์ใส
เก็บไว้ได้นาน
อุตสาหกรรมฟอกหนัง
เพื่อให้หนังอ่อนนุ่ม
และที่สำคัญได้มีการนำปาเปนไปใช้ในการผลิตเครื่องสำอางเพื่อลบรอยฝ้าและจุดด่างดำบนใบหน้า
เห็นหรือยังคะว่าสรรพคุณมะละกอมีมากมาย
แต่ยังไม่หมด
มีรายงานพบว่ายางและเมล็ดมะละกอใช้เป็นยาขับพยาธิได้
โดยเฉพาะพยาธิเส้นด้ายในเด็ก
วิธีเตรียมเป็นยาสมุนไพรมีหลายวิธีและไม่ยาก วิธีที่ 1 นำยางมะละกอสดจากผลดิบประมาณ 1 ช้อนโต๊ะผสมไข่ 1 ฟอง ตีให้เข้ากัน แล้วทอดให้เด็กรับประทานให้หมดในช่วงท้องว่าง วิธีที่ 2 ในเด็กอายุ 10 ปีขึ้นไป ให้นำยางสด 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำผึ้งเท่า ๆ กัน และผสมน้ำร้อน 3-4 ช้อนโต๊ะ รับประทานครั้งเดียว แต่ถ้าเด็กอายุ 7-10 ปี ให้ลดขนาดยางมะละกอเหลือครึ่งช้อนโต๊ะ หลังจากให้ยา 2 ชั่วโมง ให้รับประทานยาระบายพวกน้ำมันละหุ่ง 2-3 ช้อนชา เพื่อช่วยให้ถ่ายออก วิธีนี้รับประทานยา 2 วันติดต่อกัน |
||||
"เมื่อทราบประโยชน์ของมะละกออย่างนี้แล้ว รีบปลูกมะละกอไว้รอบ ๆ บ้าน จะได้นำมาใช้อย่างสบายใจเพราะปลูกเอง ไม่มีสารพิษตกค้างแน่นอนค่ะ" |
||||
ข้อความจากหนังสือชีวจิต ฉบับที่ 40/2543 | ||||
Copy right 2000 by Holisticthai.com co., ltd. All right Researve. |