|
ไผ่เลี้ยงและการแปรรูปหน่อไม้จากไผ่เลี้ยง |
ไผ่เลี้ยง สร้างรายได้แบบยั่งยืน ที่ อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์
คุณมานะ ใจยง
ประธานกลุ่มผู้ปลูกไผ่เลี้ยง บ้านเลขที่ 141 หมู่ 2 ตำบลวังพิกุล อำเภอบึงสามพัน
จังหวัดเพชรบูรณ์ 67230 โทร. (07) 195-6804
เป็นเกษตรกรผู้นำการบุกเบิกการปลูกไผ่เลี้ยงในเชิงพาณิชย์
เริ่มปลูกอย่างจริงจังเมื่อปี พ.ศ. 2535 เริ่มต้นจากการปลูกไผ่เลี้ยงอยู่ 6
สายพันธุ์ ด้วยการศึกษาและสังเกตลักษณะทางพฤกษศาสตร์และการให้ผลผลิตของไผ่เลี้ยงแต่ละสายพันธุ์ได้คัดเลือกจนเหลือ
3 สายพันธุ์ ด้วยคิดว่าเป็นไผ่เลี้ยงสายพันธุ์ดีที่ให้หน่อขึ้นตรง ผลผลิตสูง
และรสชาติดี
จึงได้ให้สมาชิกในกลุ่มได้ขยายพื้นที่ปลูกจนถึงปัจจุบันนี้มีสมาชิกในกลุ่มจำนวน 24
คน มีพื้นที่ปลูกของกลุ่มประมาณ 350 ไร่
ถือได้ว่าเป็นกลุ่มเกษตรกรกลุ่มหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำอาชีพเกษตรกรรมที่น่านำไปเป็นแบบอย่าง
ความจริงแล้วการเริ่มต้นการปลูกไผ่เลี้ยงของคุณมานะได้รับแรงบันดาลใจจากพี่ชายที่เริ่มนำไผ่เลี้ยงมาปลูกแซมไว้ในสวนผลไม้โดยไม่ได้เอาใจใส่ในเรื่องการบำรุงรักษามากนัก
คิดว่าเป็นรายได้เสริม ปลูกไปกว่าจะเก็บหน่อได้จะต้องใช้เวลานานถึง 3 ปี
ต่อมาคุณมานะเริ่มมีการเอาใจใส่กับการปลูกไผ่เลี้ยงมากขึ้นพร้อมกับศึกษาในเรื่องสายพันธุ์
กลับพบว่า
ไผ่เลี้ยงเมื่อมีการจัดการเรื่องระบบปลูกและมีการให้น้ำที่ดีสามารถผลิตให้แทงหน่อขายนอกฤดูได้
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือหลังจากปลูกไปได้เพียง 8 เดือน เริ่มเก็บหน่อขายได้แล้ว
คุณมานะจำได้ว่าก่อนที่จะเริ่มปลูกและรวมกลุ่มสมาชิกเพื่อปลูกไผ่เลี้ยงในเชิงพาณิชย์นั้น
เคยมีพ่อค้ามาซื้อหน่อไม้ในราคาถึงกิโลกรัมละ 40 บาท ซึ่งเป็นหน่อไม้ที่ออกนอกฤดู
จึงได้มีการขยายพื้นที่ปลูกและรวมกลุ่มการผลิตและสร้างรายได้อย่างยั่งยืนมาถึงทุกวันนี้
รูปแบบของการรวมกลุ่มผู้ปลูกไผ่เลี้ยง
สิ่งที่น่าสนใจของการรวมกลุ่มของผู้ปลูกไผ่เลี้ยงที่นี่คือ
มีเกษตรกรให้ความสนใจที่จะเข้ารวมกลุ่มเพิ่มขึ้นทุกปีจนถือเป็นกลุ่มผู้ปลูกไผ่เลี้ยงใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งระดับประเทศ
คุณมานะบอกว่า
การรวมกลุ่มจะทำให้การจำหน่ายหน่อไม้เป็นระบบและได้ราคาค่อนข้างแน่นอน
ไม่มีการขายแบบตัดราคากันเอง
ในการซื้อ-ขายหน่อไม้ในแต่ละครั้งทางกลุ่มจะต้องมีการตกลงเรื่องราคากับพ่อค้าให้เรียบร้อยเสียก่อน
ในขณะเดียวกันทางกลุ่มจะมีการพูดคุยในเรื่องของปัญหาและอุปสรรคตลอดเวลา
สำหรับเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม
เนื่องจากมีพ่อค้าซื้อ-ขายกันเป็นประจำแล้วก็มี
หรือบางรายไม่เข้าใจในระบบของกลุ่มโดยมองว่ายุ่งยากไม่เข้าร่วมก็มี
เนื่องจากมีข้อตกลงสมาชิกที่อยู่ในกลุ่มจะต้องมีการหักรายได้จากการขายหน่อไม้ในแต่ละครั้งกิโลกรัมละ
1 บาท เพื่อสมทบเป็นทุนกองกลางเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในกิจกรรมของกลุ่ม อาทิ
จัดซื้ออุปกรณ์ในการต้มหน่อไม้ ค่าขนส่ง ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ
ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ของสมาชิกที่สามารถกู้ยืมเงินจากกลุ่มได้และมีเงินปันผลคืนให้ทุกปี
ใช้หลักการตลาดนำหน้าการผลิต
คุณมานะได้เล่าให้ฟังถึงการผลิตหน่อไม้ของกลุ่มจะเริ่มจากการใช้การตลาดเป็นตัวตั้ง
รายได้หลักคือ การขายหน่อไม้สด โดยจะเน้นให้ผลผลิตออกนอกฤดูคือ
ช่วงฤดูแล้งระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เดือนสิงหาคม
ซึ่งในช่วงเวลานั้นหน่อไม้จากป่าออกสู่ตลาดน้อย
ราคาหน่อไม้สดจากกลุ่มจะแพงที่สุดในช่วง 3 เดือน คือ เดือนกุมภาพันธ์-เดือนเมษายน
คือขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25 บาท
(ผลผลิตหน่อไม้ไผ่เลี้ยงจากกลุ่มจะส่งขายในตลาดประมาณวันละ 2,000-3,000 กิโลกรัม)
เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝนราคาจะตกต่ำลงเนื่องจากหน่อไม้จากป่าเข้าสู่ตลาดและราคาตกต่ำลงมาเหลือเพียงกิโลกรัมละ
5-7 บาท คุณมานะบอกว่า ทางกลุ่มจะไม่ขายเป็นหน่อไม้สด
แต่จะนำมาแปรรูปเป็นหน่อไม้ต้มหรือหน่อไม้ดองเปรี้ยวซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้า
อย่างกรณีของหน่อไม้ต้มจะขายได้ราคากิโลกรัมละ 20 บาท
สภาพพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกไผ่เลี้ยง
คุณมานะบอกว่า
ความจริงแล้วไผ่เลี้ยงปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิดแต่จะชอบสภาพดินร่วนปนทรายมากที่สุด
ไผ่เลี้ยงเหมือนไม้ผลที่ไม่ชอบสภาพน้ำขังแฉะ
ถ้าจะผลิตหน่อไม้นอกฤดูจะต้องมีแหล่งน้ำเพื่อให้ได้ตลอดทั้งปี
การเริ่มต้นปลูกไผ่เลี้ยงในสภาพพื้นที่เปล่าควรจะไถด้วยรถไถ 3 ผาล จำนวน 1 ครั้ง
และไถอีก 1 ครั้ง ด้วยรถไถผาล 7
ในพื้นที่ดอนควรจะมีการยกร่องปลูกแบบลูกฟูกเพื่อการระบายน้ำที่ดี
ระยะปลูกระหว่างต้น 1.8 เมตร ระยะระหว่างแถว 4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ประมาณ
230 กอ อย่าลืมหลังจากปลูกเสร็จควรจะมีไม้ดามเพื่อกันลมโยก
ความจริงแล้วถ้ามีแหล่งน้ำที่สมบูรณ์จะปลูกไผ่เลี้ยงได้ทุกฤดู
ในเรื่องของการเตรียมแปลงปลูกไผ่เลี้ยงมีสิ่งที่คล้ายกับการปลูกไม้ผลทั่วไปตรงที่ในสภาพไร่น้ำท่วมไม่ถึง
ควรจะมีการเตรียมแปลงปลูกแบบยกร่องลูกฟูกเพื่อช่วยการระบายน้ำที่ดี
การตัดแต่งกิ่งและการให้ปุ๋ยไผ่เลี้ยง
คุณมานะบอกว่า หลังจากปลูกไผ่เลี้ยงลงแปลง เมื่อถึงเดือนที่ 7
หลังจากปลูกควรจะตัดแต่งกิ่งที่เล็กและตัดตอเก่าออกให้เหลือเพียง 6-8 ลำ ต่อกอ
โดยคัดเลือกลำที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-5 เซนติเมตร ขึ้นไป เดือนที่ 8
เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้บ้าง เทคนิคการตัดแต่งกิ่งไผ่เลี้ยงที่สำคัญอยู่ในปีที่ 2
ตัดแต่งเอากิ่งแขนงเล็กๆ ออก ในแต่ละกอจะไว้ลำแก่ไม่เกิน 12 ลำ
จะตัดแต่งในช่วงปลายเดือนธันวาคม หลังจากตัดแต่งเสร็จจะให้ปุ๋ยและน้ำทันที
(คุณมานะบอกสภาพพื้นที่การปลูกไผ่เลี้ยงของกลุ่มจะมีปัญหาเรื่องขาดแคลนน้ำบ้าง
แต่ก็ได้แก้ปัญหาโดยการติดหัวสปริงเกลอร์ 1 หัว ต่อไผ่เลี้ยง 4 กอ)
หลังจากนั้นให้ใส่ปุ๋ยและให้น้ำทันที เวลาประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้น
จะมีหน่อให้เก็บเกี่ยวได้ตลอดตั้งแต่หน้าแล้งไปจนถึงช่วงฤดูฝนโดยยึดหลักการเก็บเกี่ยว
หน่อที่มีความยาวประมาณ 40 เซนติเมตร ในช่วงหน้าแล้งและเก็บหน่อที่มีความยาว 50
เซนติเมตร ในช่วงฤดูฝน (เมื่อหัวหน่อโผล่พ้นดินขึ้นมาและนับไปอีกประมาณ 3-4 วัน
ก็เก็บได้แล้ว)
ในเรื่องของการให้ปุ๋ยสำหรับการผลิตไผ่เลี้ยงนอกฤดูนั้นถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ
คุณมานะบอกว่า หลังจากที่ตัดแต่งเสร็จจะใส่ปุ๋ยคอก เช่น
มูลหมูหรือมูลไก่แห้งในอัตรากอละประมาณ 20 กิโลกรัม
และจะใส่ปุ๋ยคอกเพียงปีละครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์
ให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ 16-16-16 หรือ สูตร 30-11-11 หรือสูตร 46-0-0 อัตรา 1-2
กำมือ ต่อต้น ในแต่ละเดือนจะต้องใส่ปุ๋ยเคมี 2 ครั้ง
โดยจะใช้สูตรปุ๋ยดังกล่าวให้สลับกันไปมาก็ได้
ปลูกไผ่ 1 ไร่ ทำเงิน 30,000 บาท
ในขณะที่ทำนาได้เงินมากที่สุด
ไร่ละ 4,000-5,000 บาท
คุณมานะได้เปรียบเทียบรายได้จากการปลูกไผ่เลี้ยงเพื่อขายหน่อเพียงอย่างเดียว
ไม่รวมรายได้จากการผลิตกิ่งพันธุ์ขาย มีสมาชิกบางรายของกลุ่มปลูกไผ่เลี้ยงเพียง 5
ไร่ มีรายได้จากการขุดหน่อไม้ขายมากกว่า 1 แสนบาท ต่อปี
และในการปลูกไผ่เลี้ยงในพื้นที่ 5 ไร่นี้ จะใช้เพียงแรงงานในครอบครัวเท่านั้น
ยิ่งมีระบบการให้น้ำที่ดีพอสมควรและผลิตไผ่นอกฤดูได้หลังจากที่ปลูกไผ่มีอายุต้นตั้งแต่
2 ปี ขึ้นไป ในพื้นที่ปลูกเพียง 5 ไร่
จะมีรายได้เฉลี่ยจากการเก็บหน่อขายได้เงินทุกวัน เฉลี่ยทั้งปีจะได้เงินเฉลี่ยวันละ
500-600 บาท คุณมานะถึงกับเปรียบเทียบว่า
ไผ่เลี้ยงที่ให้ผลผลิตแล้วจะทำรายได้อย่างน้อยที่สุดกอละ 1 บาท เป็นอย่างน้อยต่อกอ
ต่อวัน
การเก็บเกี่ยวหน่อไม้สดและการแปรรูปหน่อไม้
การเก็บเกี่ยวหน่อไม้ของกลุ่มผู้ปลูกไผ่เลี้ยงจะมีการตัดหน่อตั้งแต่เช้าเพื่อให้ทันส่งตลาด
ซึ่งพ่อค้าจะเข้ามารับผลผลิตในช่วงเที่ยง ออกรถในช่วงเวลาบ่าย
และนำหน่อไม้ไปขายในเวลากลางคืนของวันเดียวกัน
ทางกลุ่มจะต้องตัดแต่งหน่อและบรรจุลงถุงให้เรียบร้อย
จากที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้นว่าในช่วงฤดูฝนเมื่อมีหน่อไม้จากป่าเข้าสู่ตลาด
จะทำให้ราคาของหน่อไม้ตกลง
ทางกลุ่มจะไม่ให้เป็นหน่อไม้สดแต่จะแปรรูปเป็นหน่อไม้ต้มหรือผลิตเป็นหน่อไม้ดอง
ในกรณีของการต้มหน่อไม้ทางกลุ่มได้มีการจ้างแรงงานมาปอก โดยเหมาเป็นกิโลกรัมละ 1
บาท หลังจากนั้นนำมาต้มในหม้อต้มขนาดใหญ่ที่สามารถต้มได้ครั้งละ 500-600 กิโลกรัม
ต่อครั้ง ในการต้มหน่อไม้แต่ละครั้งจะใช้เวลาต้มนานประมาณ 30 นาที หลังจากน้ำเดือด
ใช้ฟืนและไม้ไผ่เป็นเชื้อเพลิง
พอต้มเสร็จเอาขึ้นมาให้คนงานปอกและแต่งมัดเป็นกำ กำละ 5 กิโลกรัม
แช่น้ำเกลือและมัดใส่ถุง ทางกลุ่มจะมีพ่อค้าจากจังหวัดอ่างทอง มารับซื้อ
เพื่อนำไปส่งขายต่อที่ตลาดกรุงเทพมหานครอีกต่อหนึ่ง
หน่อไม้ที่ต้มแล้วจะขายได้ราคาประมาณกิโลกรัมละ 15 บาท
ได้ราคาดีกว่าขายเป็นหน่อไม้สดซึ่งมีราคาต่ำมากในช่วงที่หน่อไม้ไผ่เลี้ยงจากป่าออกสู่ตลาด
คนขยันยังมีรายได้
จากการขายกิ่งพันธุ์ไผ่เลี้ยง
พันธุ์ไผ่เลี้ยงของกลุ่มได้รับการคัดเลือกสายพันธุ์ดีมีอยู่ 3 สายพันธุ์
นอกจากจะเป็นพันธุ์ที่ให้หน่อดก หน่อตรง และรสชาติอร่อยแล้ว
คุณสมบัติของหน่อไม้ไผ่เลี้ยงของที่นี่จะมีลักษณะเป็นหน่อไม้ไผ่เลี้ยงหวานคือ
ต้มเพียงครั้งเดียวก็รับประทานได้เลย
ในขณะที่ไผ่เลี้ยงที่อื่นจะต้องต้มหลายครั้งกว่าจะหายขม
ในเรื่องของการขยายพันธุ์ไผ่เลี้ยงเช่นกัน คุณมานะบอกว่า
ไผ่เลี้ยงขยายพันธุ์โดยการใช้เหง้าเพียงอย่างเดียว จะใช้วิธีการตอนหรือปักชำไม่ได้
สังเกตได้ว่าเมื่อเราตัดหน่อไปกินแล้ว มันจะมีแขนงแตกออกมา 2 ง่าม
เมื่อแม่แขนงมันแก่เราจะใช้เหล็กแทงเพื่อแยกเหง้าออกมาชำในถุงดำ
วัสดุที่ใช้ชำเหง้าไผ่เลี้ยงจะใช้อัตราส่วนของ หน้าดิน : แกลบดำ = 1 : 1
และนำถุงชำมาวางไว้กลางแจ้ง มีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอด้วยระบบน้ำสปริงเกลอร์
ไม่แนะนำให้นำเหง้าชำไปวางไว้ในที่ร่มมักจะตายในเวลาต่อมา
ถุงชำเหง้าใช้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถุง 5-6 นิ้ว ชำไปนานประมาณ 2 เดือน
นำมาปลูกหรือจำหน่ายได้
ปลูกไผ่เลี้ยงเป็นการผลิตพืชแบบปลอดสารพิษ
ไม่มีการใช้สารปราบศัตรูพืช
หลายคนทราบดีว่า การปลูกไผ่เกือบทุกชนิดจะไม่มีการใช้สารปราบศัตรูพืชเลย
และหน่อไม้จัดเป็นพืชผักที่ปลอดสารพิษอีกชนิดหนึ่งที่มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค
ในการปลูกไผ่เลี้ยงในเชิงพาณิชย์ของกลุ่มนี้ก็เช่นกัน
จะมีการใช้ยาฆ่าหญ้าเพื่อกำจัดวัชพืชก่อนที่จะปลูกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
หลังจากต้นไผ่เจริญเติบโตแล้วห้ามใช้ยาฆ่าหญ้าชนิดดูดซึมอย่างเด็ดขาด
สำหรับการปลูกไผ่เลี้ยงอาจจะพบปัญหาเรื่องเพลี้ยแป้งระบาดทำลายบ้าง
แต่คุณมานะบอกว่า ไม่มีการฉีดพ่นสารฆ่าแมลงเลย
ถ้ามีเพลี้ยแป้งให้น้ำสมบูรณ์เต็มที่การระบาดก็ลดน้อยลง
สรุป
วงจรการปลูกไผ่เลี้ยงของกลุ่มผู้ปลูกไผ่เลี้ยงที่มี คุณมานะ ใจยง เป็นประธานกลุ่ม
เดือนกันยายน-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์ไผ่เลี้ยง แทงเหง้ามาชำ
เดือนธันวาคม
เริ่มตัดแต่งกิ่งและสางต้น
เดือนมกราคม
ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมี และให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ
เดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม เก็บหน่อไม้นอกฤดูส่งขายตลาด
คู่มือ "การปลูกไผ่เลี้ยง-ไผ่ตงครบวงจร" เกษตรกรและผู้สนใจสอบถามได้ที่
ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร เลขที่ 2/200 ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง
จังหวัดพิจิตร 66000 โทร. (056) 613-021, 650-145 และ (01) 886-7398