๑๖. สิริมาวิมานว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในสิริมาวิมาน
 
 	[๑๖]พระวังคีสเถระประสงค์จะให้นางสิริมาเทพธิดา ได้ประกาศบุญกรรมที่นางทำไว้  ในครั้งก่อน จึงย้อนถามนางด้วยคาถาสองคาถา 
ความว่า 
	"ดูกรนางงามประจำชั้นไตรทศ ผู้มีร่างกายสะโอดสะอง ฉันจะขอถามท่าน การที่ท่านเข้าถึงความเป็นผู้มีสกลกาย และยานพาหนะ
อย่างประเสริฐเลิศ ยิ่ง คือ ท่านมีรถถึง ๕๐๐ คัน บุญกรรมเนรมิตมาให้โดยเฉพาะ ทั้งเทียม แล้วด้วยม้าอาชาไนยหลายตัว ทุกๆ ตัวเครื่องประดับ
ประจำ ล้วน เครื่องสูง มันพากันก้มหน้าลง ในขณะที่ท่านจะลงมาจากเทวโลกและ เหินไปตามอากาศได้ มีกำลังฉับเฉี่ยว ม้าอาชาไนยทุกม้า 
อันบุญกรรมดังนายสารถีเร่งแล้วก็พาตัวท่านไปได้ 
	ท่านนั้นขณะที่ยืนอยู่บนรถอันเพริศแพร้วที่บุญกรรมตกแต่งมาให้แล้ว ก็สว่างไสวคล้ายกับไฟกำลังโชติ ช่วงอยู่เช่นนี้ เพราะได้ทำ
บุญสิ่งใดไว้?" 
	นางเทพธิดาอันพระเถระถามแล้ว เมื่อจะประกาศการกระทำของตนให้ประจักษ์ จึงตอบเป็นคาถาความว่า
	" พระคุณเจ้าพูดถึงหมู่ทวยเทพชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ซึ่งเป็นผู้เลิศโดยเชิงภพที่อยู่ และโภคสมบัติหมู่ใดว่า เป็นทวยเทพที่เยี่ยมหาที่
เปรียบมิได้ ทวยเทพเหล่านั้น ก็มีความสุขสบายแต่ในภพและโภคสมบัติที่ทวยเทพ พวกอื่นมาเนรมิตให้เท่านั้น เพราะฉะนั้น ทวยเทพที่มี
หน้าที่เนรมิต ภพและโภคสมบัติให้ คือพวกที่พระคุณเจ้าพูดถึงอยู่นี้ จึงได้นามว่า "นิมมานรดี" เป็นนางฟ้าที่มีร่างกายและผิวพรรณงดงามอัน
ก่อให้เกิดความงวยงงเพราะความรัก เดี๋ยวนี้มาถึงมนุษยโลกนี้แล้วเพื่อจะถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
	เมื่อนางเทพธิดาประกาศความที่ตนเป็นนิมมานรดีเทพ ให้ปรากฏเช่นนี้แล้ว พระเถระ ใคร่จะถามถึงบุญกรรมที่นางให้ก่อสร้างไว้
ในชาติก่อน จึงได้ภาษิตสองคาถาความว่า
	"ชาติก่อนแต่จะเป็นนางเทพธิดานี้ ท่านได้สั่งสมสุจริตกรรมอย่างไรไว้ท่านมียศบริวารอยู่มากมาย เปี่ยมไปด้วยความสุข สำหรับตัวท่าน
เล่าก็มีฤทธิ์และอำนาจพ้นจากสิ่งธรรมดาสูงเยี่ยม และมักเหาะไปในอากาศได้ (เช่นนี้) เพราะบุญกรรมอะไร อนึ่ง รัศมีกายของท่านก็สว่างไสว
ไปทั่วทุกทิศ และท่านเล่าก็มีมวลเทพเจ้าเกรงกลัวและห้อมล้อมอยู่รอบท่านจุติมาจากคติไหนจึงมาถึงสุคตินี้ แม่เทพธิดา 
	อนึ่ง ท่านได้ทำตาม ด้วยอาการยอมรับเอาโอวาทานุสาสนีในศาสนปาพจน์ของพระศาสดาองค์ไหน หากท่านเป็นสาวิกาของพระพุทธ
เจ้าจริงไซร้ ขอท่านได้โปรดตอบคำถามของฉันนี้แก่ฉันด้วย?" 
	เมื่อนางเทพธิดา จะตอบเนื้อความตามที่พระเถระถามอย่างนี้ จึงกล่าวตอบด้วยคาถา เหล่านี้ความว่า
	"ดิฉันเป็นพระสนมของพระเจ้าพิมพิสารผู้ประเสริฐ มีศิริ อยู่ในพระนครราชคฤห์ ซึ่งตั้งอยู่ในระหว่างภูเขา อันเป็นนครที่แออัดไปด้วย
นักปราชญ์ดิฉันมีความชำนาญในการฟ้อนรำขับร้องชั้นเยี่ยม ชาวเมืองในกรุง ราชคฤห์ เขาพากันเรียกดิฉันว่า "นางสิริมา" 
	พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ องอาจในจำพวกผู้แสวงหาคุณอันประเสริฐ ผู้แนะนำสัตว์โลกให้เป็นผู้พิเศษ ได้ทรงแสดงความไม่เที่ยงแห่ง
ของจริง คือ เหตุเกิดของทุกข์ และทางให้ถึงความดับทุกข์ อันเป็นธรรมที่ไม่มีปัจจัยอะไรปรุงแต่ง เป็น ทางถาวร ทางตรง เป็นทางสุขเกษมแก่ดิฉัน 
	ครั้นดิฉันฟังธรรมอันเป็นทางไม่ตาย ไม่มีเหตุปัจจัยอะไรปรุงแต่งได้ ซึ่งเป็นคำสอนของพระตถาคตผู้ประเสริฐแล้ว จึงเป็นผู้สำรวม
อย่างเคร่งครัดในศีลทั้งหลาย ดำรงมั่นอยู่ในธรรมปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าผู้เลิศกว่านรชนทรงแสดงไว้ แล้ว 
	ครั้นดิฉันรู้จักบทอันปราศจากธุลี ซึ่งหาเหตุปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ที่พระตถาคตผู้ประเสริฐทรงแสดงไว้นั้น ดิฉันจึงได้บรรลุสมาธิ
อันเกิด จากความสงบจิตใจในอัตภาพนั้นเอง ดิฉันนั้นจึงได้มีความแน่นอนในมรรคผลอันเป็นธรรมชั้นเยี่ยมขึ้น ครั้นดิฉันได้ฟังธรรมอัน
ประเสริฐ อันไม่เกิดไม่ตายอย่างวิเศษแล้ว จึงหมดความเคลือบแคลงในพระรัตน ตรัย มีความรู้พิเศษในการรู้อริยสัจธรรม หมดความสงสัยในสิ่งทั้งปวง
จึงควรเป็นที่บูชาของชุมนุมชน ได้รับผลคือความสุขอันมั่นคง เป็นเครื่องตอบแทนมากมาย โดยทำนองตามที่กราบเรียนมานี้ 
	ดิฉันจึงเป็นนางเทพธิดาผู้เห็นนิพพาน เป็นสาวิกาของพระตถาคตผู้ประเสริฐ เป็นผู้ได้เห็น ธรรมตามความเป็นจริง เป็นผู้ตั้งอยู่ใน
ผลขั้นแรก คือ เป็นพระโสดาบัน ก็ทุคติย่อมไม่มีแก่ดิฉันอีก ดิฉันนั้นมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประ เสริฐ ก็เพื่อจะถวายบังคม และนมัสการภิกษุ
ทั้งหลายที่น่าเลื่อมใสผู้ยินดีในธรรมอันไม่มีโทษ และเพื่อจะนมัสการสถานที่ๆ พระสมณะ ประชุมกัน อันเป็นสถานที่มีธรรมเกษม 
	ดิฉันเป็นผู้มีความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระศิริ เป็นพระธรรมราชา ครั้นได้เห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนัก
ปราชญ์แล้ว ก็อิ่มเอิบปลาบปลื้มใจ 
	ดิฉัน ขอถวายบังคมพระตถาคต ผู้เป็นสารถีของบุคคลที่ควรฝึกอย่างยอดเยี่ยม ทรงตัดตัณหาเสียได้ ทรงยินดีแล้วในกุศลธรรม 
ผู้ทรงแนะนำประชุมชน ให้พ้นจากทุกข์ได้ ผู้ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกในทางที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง."
                 จบ สิริมาวิมานที่ ๑๖.