จิตตลดาวรรคที่ ๒ ๑. ทาสีวิมาน ว่าด้วยบุญที่ทำให้ไปเกิดในทาสีวิมาน
	[๑๘]ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า 
	"ท่านผู้แวดล้อมด้วยหมู่นางเทพนารี เที่ยวชมไปโดยรอบในสวนจิตตลดาวันอันน่ารื่นรมย์ ประดุจท้าวสักกเทวาธิราช 
ยังทิศทั้งปวงให้สว่างไสวเหมือนดาวประกายพฤกษ์ ท่านมีวรรณะเช่นนี้ เพราะกรรมอะไร? 
	อิฐผล ย่อมสำเร็จแก่ท่านในวิมานนี้ เพราะกรรมอะไร ประการหนึ่ง โภคสมบัติ ต่างๆ อันเป็นเครื่องปลื้มใจ ย่อมเกิดขึ้นแก่ท่าน
เพราะกรรมอะไร ?
	ดูกร นางเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน ครั้งเมื่อท่านเกิดเป็น มนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ 
	ท่านเป็นผู้มีอานุภาพรุ่งเรืองเช่นนี้ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทิศ เพราะบุญกรรมอะไร?"
	นางเทพธิดานั้น อันพระโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลื้มใจ จึง ได้พยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า
	" ครั้งเมื่อดิฉันเกิดเป็น มนุษย์อยู่ในหมู่มนุษย์ ได้เป็นทาสีหญิงรับใช้ในตระกูลแห่งชนอื่น  ดิฉันนั้นเป็นอุบาสิกาของ
พระสมณโคดม ผู้มีพระจักษุและพระเกียรติยศ เมื่อดิฉันรักษาศีล ทำมนสิการในกรรมฐานอยู่ ๑๖ ปี กรรมฐานกล่าวคือ โพธิปักขิยธรรม 
๓๗ ประการได้สำเร็จแก่ดิฉัน ด้วยอานุภาพแห่งการมนสิการนั้น การออกไปจากกิเลสได้เกิดมีแก่ดิฉัน ในศาสนาของพระ สมณโคดมผู้
ทรงพระคุณคงที่ เพราะมีมนสิการมั่นอยู่ในจิตว่า แม้ถึงร่างกายนี้จะแตกทำลายไปก็ตามที การที่จะหยุดความเพียรในการเจริญ กรรมฐานนี้ 
เป็นอันไม่มีเป็นอันขาด ขอท่านจงดูผลแห่งความเพียร เป็นเหตุก้าวไปสู่คุณเบื้องหน้า กล่าวคือความสวัสดี ความเกษมความปราศจาก
เสี้ยนหนามคือกิเลส สภาวะที่หาเครื่องยึดเหนี่ยวมิได้ความซื่อตรง และองค์อริยมรรค ที่สัตบุรุษทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้า เป็นต้นประกาศแล้ว 
อันเป็นอุปนิสัยสืบเนื่องมาจากการรักษาสิกขาบท ๕ประการของดิฉันนั้น อันเป็นเหตุให้บรรลุซึ่งผลอันนี้ ดิฉันเป็นที่โปรด ปรานและคุ้นเคย
กับท้าวสักกเทวราช 
	เทพบุตรอันมีนามว่าอาลัมพะ คัคคมะ ภีมะ สาธุวาที ปสังสิยะ โปกขรา และสุผัสสะ และเหล่าเทพธิดาน้อยๆ อันมีนามว่า วีณา 
โมกขา นันทา สุนันทา โสณทินนาสุจิมหิตา อาลัมพุสา มิสสเกสี และนางบุณฑริกา ได้ทำการบำเรอ ปลุกปลื้มแก่ดิฉัน ด้วยดนตรีทิพย์มี
ประมาณได้หกหมื่น และนางเทพกัญญาเหล่านี้ คือ นางเอนิปัสสา นางสุปัสสา นางสุภัททา นางมุทุกาวที ผู้ประเสริฐกว่า นางเทพอัปสรทั้งหลาย 
และนางเทพกัญญาเหล่าอื่นผู้บำรุง บำเรอ นางเทพอัปสรทั้งหลายเหล่านั้น ได้เข้ามาสู่ที่ใกล้ชิดตามกาล อันควร สนองเสนอดิฉันด้วยวาจา
ที่น่ายินดีว่า เอาเถอะ พวกดิฉันจักฟ้อนรำ ขับร้อง จักยังท่านให้รื่นรมย์ ดังนี้ 
	ฐานะที่ดิฉันได้รับในบัดนี้ย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ไม่ได้ทำบุญไว้ ฐานะที่หาความโศกมิได้ น่าเพลิดเพลินน่ารื่นรมย์ เป็นอุทยาน
ใหญ่ของเทวดาชาวไตรทศเช่นนี้ ย่อมเกิดมีสำหรับผู้มีบุญเท่านั้น ผู้ไม่ได้ทำบุญไว้ ย่อมไม่มีความสุขทั้งในโลกนี้และโลก หน้า ส่วนผู้มี
บุญอันได้บำเพ็ญแล้ว ย่อมมีความสุขทั้งในโลกนี้และโลก หน้า 
	อันบุคคลผู้ปรารถนา เพื่อสถิตร่วมกับเทวดาชาวไตรเทศเหล่านั้น ควรจะบำเพ็ญกุศลไว้ให้มาก เพราะว่าผู้มีบุญอันก่อสร้าง
ไว้แล้ว ย่อมเพรียบพร้อมด้วยโภคสมบัติ ร่าเริงบันเทิงอยู่ในสวรรค์."
                จบ ทาสีวิมานที่ ๑.