๒. ลขุมาวิมานว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในลขุมาวิมาน
	[๑๙]พระมหาโมคคัลลานเถระ เมื่อขณะท่องเที่ยวอยู่ ณ เทวสถานได้ถามนางเทพธิดา ตนหนึ่งว่า ดูกรนางเทพธิดา 
	"ท่านเป็นผู้มีรัศมีงามยิ่งนัก ส่องสว่างไสวไปทั่วทิศ สถิตอยู่ ประดุจดาวประจำรุ่ง ฉะนั้น ท่านมีวรรณะเช่นนี้ 
เพราะบุญกรรมอะไร ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทิศ เพราะบุญกรรมอะไร?
	นางเทพธิดานั้น อันพระโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลื้มใจ ได้พยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า 
	เมื่อดิฉันยังเป็นมนุษย์อยู่บ้านของดิฉันตั้งอยู่ใกล้กับประตูบ้านชาวประมง ดิฉันได้ถวายข้าวสุกขนมกุมมาส ผักดอง 
และน้ำเครื่องดื่ม เจือด้วยรสต่างๆ แก่พระ สาวกทั้งหลายผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ยิ่ง ซึ่งออกจากประตูบ้านชาวประมง กำลังท่องเที่ยวไป
ในบ้านของดิฉันนั้น ประการหนึ่ง ดิฉันเป็นผู้มีจิต เลื่อมใสในพระอริยสาวกผู้มีจิตอันซื่อตรง ได้เข้ารักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วย
องค์ ๘ ประการ ตลอดวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ๘ ค่ำ และ ตลอดปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรด้วยดีในองค์ศีลทุกเมื่อ เป็นผู้สำรวม และจำแนกทาน 
จึงได้ครอบครองวิมานนี้ เป็นผู้เว้นจากปาณาติบาตเว้นขาดจากการเอาสิ่งของของผู้อื่นด้วยไถยจิต จากการประพฤติล่วง ละเมิดในกาม 
สำรวมจากมุสาวาท และจากการดื่มน้ำเมา เป็นผู้ยินดีในเบญจศีล ฉลาดในอริยสัจ เป็นอุบาสิกาของพระสมณโคดมผู้มีพระจักษุ และ
พระเกียรติยศ ดิฉันมีวรรณะเช่นนี้เพราะบุญกรรมนั้น ฯลฯและมีรัศมีสว่างไสว ไปทั่วทุกทิศ ประการหนึ่ง ขอท่านผู้เจริญ
พึง ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า แล้วทูลตาม คำของดิฉันว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุบาสิกาชื่อ
ลขุมา ถวายบังคม พระบาททั้งคู่ของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็การ ที่พระผู้มีพระภาคพึงทรงพยากรณ์
ดิฉันในสามัญผล อย่างใดอย่างหนึ่งนั้นไม่น่าอัศจรรย์ แต่การที่พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ดิฉัน ในสกทาคามิผลนั้น น่า
อัศจรรย์แท้จริง."
                จบ ลขุมาวิมานที่ ๒.