COMPLAIN OR OPINION
"สนธิ ลิ้มทองกุล ต้องแพ้เสียก่อน จึงจะชนะได้" ::
โดย วิรัตน์ แสงทองคำ จากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2544

"สนธิ ลิ้มทองกุล ต้องแพ้เสียก่อน จึงจะชนะได้"- - - - ->>

สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ผมรู้จักครั้งแรก เป็นคนเชื่อมั่นตัวเอง มีความเป็นตัวของตัวเอง มีความรู้สูงกว่าคนในอาชีพหนังสือพิมพ์โดยทั่วไป ผมมีความรู้เกี่ยวกับตัวเขาไม่มากนัก ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนเปิดเผย มีเรื่องเล่ามากมายเวลาอยู่บนโต๊ะอาหารบ่อยครั้ง ในช่วงที่ผมเพิ่งเข้ามาทำงานที่ "ผู้จัดการ" ในฐานะ "ลูกจ้าง" แต่ก็ไม่สามารถปะติดปะต่ออย่างเห็นภาพ

สิ่งที่ทำให้ผมรู้จักเขามากขึ้น คือการติดตามพัฒนาการนิตยสารผู้จัดการ ซึ่งเป็นหน่อสำคัญในการก่อเกิดกลุ่มผู้จัดการ หรือ แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ที่ดูยิ่งใหญ่ หลังจากนั้นเพียง 13 ปี นิตยสารเล่มนี้ในช่วงปีแรก ได้สะท้อนบุคลิก ความคิด ประสบการณ์ของเขาอย่างชัดเจนที่สุด นิตยสารผู้จัดการฉบับแรกวางตลาดเมื่อเดือนสิงหาคม 2526

"หนังสือธุรกิจออกมากันมากเกินไปหรือเปล่า?คำตอบคงจะเป็นไปได้ทั้งใช่ และไม่ใช่ ทุกวันนี้ เรามีหนังสือธุรกิจที่เป็นภาษาไทยรายสัปดาห์ วางตลาดอยู่ประมาณ 10 ฉบับ ยังไม่นับรวมรายเดือนอีก 5 ฉบับ ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษเสีย 4 ฉบับ อีกฉบับเป็นภาษาไทยที่เป็นไปในแนวทางข้อมูลทางด้านการตลาด ในบรรดาหนังสือธุรกิจที่ออกกันส่วนใหญ่นั้น ก็มีข้อดีกันไปคนละแบบ

ส่วนใหญ่แล้ว จะมากันในลักษณะของการเสนอข่าวคราวในวงการธุรกิจ เพื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ความเคลื่อนไหว ถ้าเราจะมองกันในแง่นี้แล้ว ก็เห็นจะต้องยอมรับกันว่าหนังสือธุรกิจแนวนี้มีอยู่มากพอแล้ว แต่ถ้าเราถามตัวเองว่า ทุกวันนี้เราอยากจะหาหนังสือธุรกิจที่เจาะประเภทไปในแนว ทางที่นักธุรกิจสนใจเป็นพิเศษ คำตอบก็คงจะบอกได้ว่า หาไม่ค่อยได้"

ข้อความตอนหนึ่งที่ผมยกมาอย่างไม่ตัดตอนนี้ อยู่ในบทที่เรียกว่า "ผู้จัดการกับผู้อ่าน" ซึ่งถือว่าเป็นปฐมบทที่สำคัญยิ่งที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้บอกกับผู้อ่านในนิตยสารผู้จัดการฉบับแรก ไม่เพียงเป็นการวิพากษ์ วิจารณ์วงการหนังสือธุรกิจ อย่างตรงไปตรงมาและไม่วิตกต่อความขัดแย้ง ซึ่งเป็นนิสัยของเขาอยู่แล้ว ยังสะท้อนภาพธุรกิจของหนังสือธุรกิจที่ชัดในสถาน การณ์ขณะนั้น

ยุคนั้นถือเป็นยุคแรกที่เฟื่องฟูอย่างมากของหนังสือพิมพ์ธุรกิจ รายสัปดาห์และรายเดือน ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ก่อ วิกฤติการณ์จากความผันผวนและความอ่อนหัดของตลาดทุนไทย โดยเนื้อใน คือความพยายามครั้งสำคัญของผู้ประกอบการใหม่ ที่พยายามเข้ามาสู่สังคมธุรกิจครั้งแรก หลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ส่วนใหญ่เป็นความพยายามที่ล้มเหลว ถือเป็นสีสันมากที่สุดยุคหนึ่ง ของสังคมธุรกิจไทย ที่ก่อนหน้านั้น นักวิชาการวิจารณ์กันเป็นยุค "ผูกขาด" อยู่ไม่กี่สิบตระกูลเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม สังคมเศรษฐกิจที่มีระบบ มีข้อมูลที่จำเป็นต่อสาธารณ ชนก็ยังอยู่ในวงจำกัด จึงยังไม่มีหนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวันภาษาไทยเกิดขึ้น นอกจากภาษาจีน ซึ่งเน้นข่าวสารธุรกิจมานาน แต่พิมพ์จำนวนจำกัด ขายกันย่านการค้าแถวทรงวาด-ราชวงศ์เป็นหลัก ซึ่งถือว่ายุคนั้นการค้าส่งออกสินค้าพืชไร่ ยังมีอิทธิพลอย่างสูงในเมืองไทย

สนธิ บอกกับผู้อ่านต่อไปว่า การเกิดขึ้นของนิตยสารผู้จัดการ เป็นการสร้างขึ้นมาในช่องว่าง ซึ่งเป็นความต้องการของตลาด แล้วเขาก็อรรถาธิบายแนวทางของหนังสือเล่มนี้ไว้ค่อนข้างชัดเจน

"คำว่า "ผู้จัดการ"-MANAGER ก็เป็นคำจำกัดความที่แทบไม่ต้องมานั่ง อธิบายขยายความกันให้มากกว่านี้ "ผู้จัดการ" มีหลายระดับ มีตั้งแต่ผู้จัดการที่ทำงานด้วยตนเองไปจนถึงผู้จัดการแผนกที่มี งานให้จัดการมากมาย รวมทั้งมีคนให้จัดการอีกเป็นสิบเป็นร้อย เป็นพันหรือเป็นหมื่น ฯลฯ

คำว่า "ผู้จัดการ" เป็นพยัญชนะและการผสมคำเท่านั้น ซึ่งถ้าเพียงเท่านี้ "ผู้จัดการ" ก็เป็นตำแหน่งที่ใครๆ ก็เป็นได้ถ้าอยากจะเป็น

แต่การจะเป็น "ผู้จัดการ" เพียงเพราะว่าใครคนใดคนหนึ่งได้ถูกแต่งตั้งขึ้นมา หรือเป็นผู้จัดการเพียงเพราะชาติตระกูลหรือญาติพี่น้องเอื้ออาทรก็ย่อมเป็นไป ได้ง่ายกว่าการเป็น "ผู้จัดการ" ด้วยการยอมรับของคนทั่วไปตำแหน่ง ผู้จัดการโดยแท้จริง เป็นตำแหน่งที่คุณต้องขวนขวายมาด้วยความรู้ ความสามารถและจากยอมรับของผู้อื่น และนี่ที่มาของหนังสือ "ผู้จัดการ"

การจัดการ (Management) เป็นศาสตร์ที่สูงส่ง และเป็นศาสตร์ที่ต้อง การเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ เทคนิคต่างๆ ในการจัดการ มีการเปลี่ยนแปลงตามลักษณะของสังคม การจัดการทุกวันนี้เกี่ยว ข้องและพัวพันไปถึงศาสตร์ทางด้านอื่น เช่น สังคมวิทยา (Sociology) จิตวิทยา (Psychology)หรือ แม้กระทั่งอาชญากรรมวิทยา (Criminology) แต่เรามักจะลืมไปว่า การมีผลงานดีนั้น ย่อมเกิดจากการเตรียมงานที่ดี การใช้คนและการควบคุมคนได้ดี และมีการติดตามงานที่ดี"

ข้อความตอนนี้ เป็นการสะท้อนปรัชญาการทำงานอันหนักแน่น ของสนธิ ลิ้มทองกุล ในฐานะนักบริหารที่มีความรู้และประสบการณ์ ที่เพียบพร้อม ถือเป็นมืออาชีพกลุ่มแรกๆ ของวงการธุรกิจไทยเลยทีเดียว ซึ่งถือเป็นแรงขับดันที่มีพลังมาก ในช่วงแรกๆ ของการก่อเกิด "ผู้จัดการ" จนเป็นกลุ่มหนังสือพิมพ์ธุรกิจที่ก้าวหน้า มีคุณภาพ สร้างสิ่งใหม่เกิดขึ้นในวงการ และเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีความเชื่อมันอย่างแรงกล้าว่าธุรกิจนี้ เป็นธุรกิจซึ่งสามารถเติบโตด้วยตัวเองได้ เป็นภาพของการสร้างธุรกิจ อุตสาหกรรมแขนงหนึ่งให้มั่นคงในประเทศนี้ มิใช่การทำหนังสือพิมพ์ขึ้นมา เพื่อเหตุผลธุรกิจทางอื่น อย่างเข้มข้นที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนั้น

ในช่วงต้นนั้น สนธิ ลิ้มทองกุล ทำงานอย่างหนัก แทบจะเรียกได้ว่าทำงานคนเดียวทั้งหมด ทั้งนักข่าว หาโฆษณา วางแผนจัดจำหน่าย ช่วงที่ผมเข้าไปร่วมงาน ถือว่าโชคดีมาก ถือเป็นช่วงก่อนขยายตัวครั้งสำคัญครั้งแรกของ "อาณาจักรผู้จัดการ" ของเขา ซึ่งเริ่มรับทีมงานมากขึ้นในขณะนั้นกว่า 20 ชีวิต จากนันก็คือการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ประสบการณ์ที่เขาถ่ายทอด และการทำงานร่วมกับเขาอย่างเข้มข้น ถือว่าเป็นช่วงที่มีค่าที่สุดช่วงหนึ่งของอาชีพเลยทีเดียว

การสร้างนิตยสารผู้จัดการ ที่แท้ก็คือ การนำประสบการณ์ในช่วง สำคัญของสนธิ ลิ้มทองกุล มาบุกเบิกธุรกิจอย่างมีพลังในสองมิติ

มิติแรก เขาเป็นนักหนังสือพิมพ์อาชีพ และนักบริหารมืออาชีพที่มี ประสบการณ์กว้างขวางและต่อเนื่องมากที่สุดคนหนึ่ง ตั้งแต่เป็นบรรณา ธิการหนังสือพิมพ์ในมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เมื่อกลับเมืองไทย เขามีโอกาสเข้าทำงานบริหารหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย หนังสือพิมพ์รายวัน คุณภาพฉบับแรกๆ ของเมืองไทย และดูแลกิจการสำนักพิมพ์ในกลุ่มพีเอสเอ

ในนิตยสารผู้จัดการฉบับแรก สิงหาคม 2526 เขาได้เริ่มเกริ่นจะเขียน ประสบการณ์แห่งความล้มเหลวของเขาในช่วง10 ปี หลังจากกลับมาเมืองไทย ถือเป็นความกล้าหาญมาก จากข้อเขียนเพียง 8 ตอนของเขา ทำให้เข้าใจ ความเป็นมาของสนธิ ลิ้มทองกุล มากขึ้น

"ต้องแพ้เสียก่อน จึงจะชนะได้" เป็นเรื่องราวกลั่นจากประสบการณ์ของเขา ซึ่งถูกกล่าวขวัญอย่างมาก

"ทำไมจะต้องรอให้แก่ชราเสียก่อน ถึงจะพูดเรื่องในอดีต?ทำไมต้องรอ ให้ประสบความสำเร็จเสียก่อน แล้วค่อยกลบเกลื่อนเรื่องในอดีต พูดแต่ เรื่องความยิ่งใหญ่ของตัวเอง?ทำไมต้องก้มหน้าก้มตาหลบผู้คน เพียงเพราะ ล้มเหลวในเรื่องทำงาน? ขอเพียงเรื่องที่เราทำ ไม่ผิดคุณธรรม ก็ไม่มีอะไร ที่น่าต้องหลบหนีหน้าตากัน" เขาเขียนเกริ่นไว้ โดยบอกว่า นิตยสารผู้จัดการ ตั้งแต่ฉบับเดือนกันยายน 2526 เป็นต้นไป เขาจะเอาความผิดพลาดในการทำงาน ตั้งแต่กลับประเทศไทยเมื่อ10 ปีที่แล้วมาตีแผ่ เป็นขั้นตอนเพื่อให้คนรุ่นหนุ่มสาว ที่กำลังก้าวขึ้นมา ได้ใช้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ

"บันทึกนี้มิใช่บันทึกระดับชาติหรือระดับโลก แต่เป็นบันทึกที่เล่าให้ฟังเป็นครั้งแรก ในวงการธุรกิจเมืองไทย ถึงเบื้องหลัง ปัญหาความล้มเหลว ตลอดจนการประสบความสำเร็จ เราจะพูดถึงการเจริญเติบโตของ PSA ,พร สิทธิอำนวย เป็นคนอย่างไร เขามีวิธีใช้คนมาทำงานอย่างไร ,สุธี นพคุณ ในที่สุดทำไมแตกจากพร ทำไมพรจึงไปได้ดี แต่สุธีล้มเหลว ,บทบาทของบุญชูระหว่าง พรกับสุธี อยู่ที่ไหน" นี่คือตัวอย่างเรื่องที่เขาจะเขียนถึง ที่เขากล่าวเกร่นไว้อย่างน่าสนใจ

พรเองก็พูดอยู่เสมอว่า "เมื่อผมเรียนที่ LSE ผมมีความฝันว่า ผมจะเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้น พอผมจบมาแล้ว จากการเปลี่ยนโลก ผมลดมาเปลี่ยนแค่สังคมไทย แต่ค่อยลดลงมาเป็นเปลี่ยนบริษัทที่ผมทำให้ดีขึ้น..." ข้อเขียนของเขาตอนหนึ่ง เขียนถึงแนวความคิดเชิงอุดมคติของพร สิทธิอำนวย และเขามักจะเล่าเองซึ่งผมได้ฟังหลายครั้ง

และอีกบางตอนสนธิ ลิ้มทองกุล เล่าถึงแนวคิดของพรไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งดูเหมือนจะสอดคล้องกับชีวิตของเขาในเวลาต่อมามากทีเดียว

"ช่วงที่เขาเรียน LSE อยู่นั้น เขาได้มีโอกาสทำงานในฐานะบรรณาธิการ ของหนังสือฉบับหนึ่งในกรุงลอนดอนก่อน และความชอบในแขนงของสื่อมวลชน ก็ติดตัวพรมาตลอด จนกระทั่งเมื่อกลับมาทำงานที่ธนาคารกรุงเทพเขาก็ยังพยา ยามเก็บรักษาวิญญาณนักหนังสือพิมพ์ โดยเป็นคอลัมนิสต์ให้หนังสือพิมพ์บางกอกเวิลด์ ในยุคที่เบอร์ริแกนเป็นบรรณาธิการ ตลอดจนเขียนเรื่องให้ FAR EASTERN ECONOMIC REVIEW หรือไม่ก็ THE ECONOMISTแม้แต่นิตยสาร LIFE ก็เคยลงเรื่องราวที่พรเขียน"

ในช่วงที่พร สิทธิอำนวย ลาออกจากธนาคารกรุงเทพนั้นสนธิ ลิ้มทองกุล ให้เหตุผลจากมุมมองของเขาไว้อย่างมีความคิดเชิงโครงสร้างค่อนข้างมาก

"สำหรับผู้เขียนแล้ว คิดว่าเหตุผลใหญ่ที่สุดที่พรตัดสินใจออกมาสู้ด้วยตัวเองนั้น นอกเหนือจากการอธิบายข้างต้นแล้ว (อุปนิสัยของพรไม่เหมาะทำงานธนาคาร คิดว่าการงานคงไม่ก้าวหน้าและคิดว่าตนเองมีสายสัมพันธ์ดีพอจะเริ่มธุรกิจได้- ผมสรุปเอง) ยังมีสาเหตุที่พรต้องการพิสูจน์ว่า ในที่สุดแล้วถึงแม้ว่าพรจะไม่ได้มีนามสกุลใหญ่ๆ ที่ร่ำรวยมาหนุนแล้ว แต่พรเองก็สามารถประสบความสำเร็จได้ และอันนี้ก็เป็นแรงดลใจที่พรมีความเชื่อมั่นในการดึงเอาคนหนุ่มที่ไม่มีชื่อเสียง แต่มีความตั้งใจ และมีพื้นฐานการศึกษา ไหวพริบและปฏิภาณเข้ามาร่วมทีมงาน พร้อมทั้งการจะให้หุ้นเพื่อเป็นเหตุจูงใจให้ช่วยกันผลักดันให้ถึงเป้า"

มิติที่สอง เนื้อหาวงใน บันทึกนี้ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า เนื้อหาของนิตยสาร ผู้จัดการ ซึ่งเจาะลึกเข้มข้น ด้วยมุมมองใหม่ๆ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะว่าคนเขียนมีประสบการณ์โดยตรงในธุรกิจที่กำลังมีปัญหาเป็นแกน ของปัญหาสังคมธุรกิจในเวลาก่อนหน้าและต่อเนื่องมา

สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นนักหนังสือพิมพ์คนเดียวในวงการก็ว่าได้ ที่มี ประสบการณ์อยู่ในกลุ่มธุรกิจใหม่ ซึ่งพยายามต่อสู้กับกลุ่มธุรกิจดั้งเดิม ในการสร้างอาณาจักรธุรกิจ จนเป็นตำนานเล่าขาน ซึ่งก็คือพีเอสเอ ดังนั้นนิตยสารผู้จัดการซึ่งเกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อมธุรกิจที่คลี่คลายและ ก่อวิกฤติการณ์มากมาย ตั้งแต่ปี 2522-2528 จึงประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว

สนธินอกจากจะนำเสนอเรื่องราววงในอย่างลึกซึ้งอย่างไม่เคยปรา กฏมาก่อนแล้วเขายังมีมุมมองใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย

นิตยสารผู้จัดการในช่วง 2 ปีแรก ซึ่งมีแกนอยู่ที่เรื่องของกลุ่มธุรกิจใหม่ ที่พยายามดิ้นรนต่อสู้เพื่อสร้างอาณาจักรธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น PSA ซึ่งมีความพร้อมแต่ล้มเหลว สุพจน์ เดชสกุลธร นักสู้จากไม่มีอะไร ก็จบลงด้วยไม่มีอะไรกลับไป หรือ สุระ จันทร์ศรีชวาลา ผู้มีภารตยุทธ์ที่คงกระพันที่สุด ฯลฯ

จากการอ่านหนังสือที่เขาเขียนผ่านหน้ากระดาษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวกรณีศึกษาในเมือง ไทยตามกระแสข่าว ซึ่งเผอิญสอดคล้องกับสถานการณ์ในช่วงนั้น ตามประสานักรบที่เพิ่งพ้นจากสมรภูมิเล่าเรื่องในสนามรบอย่างมีรสชาติ

เรื่องราวที่เขาเขียน ได้สร้างมาตรฐานใหม่ของการรายงานข่าวเศรษฐ กิจเชิงวิเคราะห์ ซึ่งมีข้อมูลลึกซึ้ง อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในวงการหนังสือพิมพ์

สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนที่มีความรักในอาชีพหนังสือพิมพ์อย่างสูง มีความฝันจะสร้างสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นในวงการ ขณะเดียวกันเขาก็ทำงานหนัก เป็นตัวอย่างแก่นักข่าวรุ่นหลังมากทีเดียว

นี่คือฐานของความคิด ประสบการณ์ และแรงขับดันอย่างสำคัญของสนธิ ลิ้มทองกุล ในการสร้าง "สิ่งมหัศจรรย์" ขึ้นในแวดวงธุรกิจไทย และวงการ สื่อสารมวลชนในช่วงจากนั้นเพียงทศวรรษเดียวเท่านั้น

มิติแรก ประสบการณ์การบริหารธุรกิจยุคใหม่ จาก PSA ในการเข้าถึงสาระ ของการจัดการยุคใหม่ ที่เขามักจะพูดเสมอว่า ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าร่วมงาน เขาไม่มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจอย่างจริงจังมาก่อน แต่เขาสามารถเรียนรู้ได้อย่างดีเสียด้วย เนื่องจากเขาเป็นคนใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเริ่มต้นความคิดใหม่ โครงการใหม่ๆ สนธิ ลิ้มทองกุล จะเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ เขาจะลงทุนในการเข้าฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้นในต่างประเทศนับครั้งไม่ถ้วน ที่ว่าด้วยความรู้ใหม่ของโลก แม้แต่เมื่อมีภารกิจรัดตัวเพียงใด เขาก็ยังหาโอกาสเป็น "นักศึกษา" ได้เสมอ ที่สำคัญประการหนึ่งที่ต่อเนื่องจาก PSA ก็คือ เขาเข้าใจถึงการสร้างเครือข่าย "แหล่งเงินทุน"

ต้องยอมรับว่าพร สิทธิอำนวย มีโอกาสครั้งใหญ่มาจากการเติบโตขึ้นครั้งแรกๆ ของตลาดหุ้นไทย ขณะที่สนธิ ลิ้มทองกุล เติบโตอย่างยิ่งใหญ่อย่างรวดเร็ว จากโอกาสการพัฒนาอีกก้าวใหญ่ของตลาดทุน ซึ่งเขาจำเป็นต้องรอมากว่าทศวรรษ ทีเดียว สิ่งที่พัฒนาต่อจากนั้นคือ เขาสามารถเชื่อมโยงแหล่งทุนจากตลาดทุนไทย เชื่อมต่อระดับโลกได้

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ด้านกลับจาก PSA ก็ทำให้เขาไม่ทำบางเรื่อง อย่างเคร่งครัด นั่นคือการเข้าสู่ธุรกิจการเงิน ซึ่งถือเป็น "จุดเปราะบาง" ที่สุดของพร สิทธิอำนวย ที่ปิดโอกาสในการลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

มิติที่สอง การเรียนรู้และเข้าใจ "สาระ" ของธุรกิจหลัก อันเป็นที่มา ของการเข้าใจเรื่อง "ข้อมูลข่าวสาร" อย่างลึกซึ้งที่สุด ในบรรดาผู้ประกอบการในลักษณะเดียวกันในประเทศไทย เป็นความเข้าใจหลายระดับทีเดียว

เบื้องต้นเขาเข้าใจและสร้างอิทธิพลของข่าวสารจากระดับประเทศ เฉกเช่นนักธุรกิจสื่อสารมวลชนไทยทั่วไปเข้าใจ ไปสู่การสร้าง "อิทธิพลระดับภูมิภาคเอเชีย" ไม่ว่าจะเป็นความคิดในการสร้างเครือ ข่ายข่าวสารระดับโลก นิตยสาร Asia, Inc. หรือแม้กระทั่งหนังสือพิม พ์รายวันของภูมิภาคเอเชีย "ASIA TIMES"

อีกระดับหนึ่ง ในสาระของข้อมูลข่าวสารเองก็มี "คุณค่า" และ "มูลค่า" มหาศาล ในความคิดของสนธิ ลิ้มทองกุล การสร้างระบบข้อมูลข่าวสารสมัยใหม่ กระบวนทัศน์ และความคิดริเริ่มในการเชื่อมโยง "สาระ" ของข้อมูลข่าวสาร จากสื่อสิ่งพิมพ์ไปสู่สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นความคิดสำคัญอย่างยิ่งของนักธุร กิจสื่อสารมวลชนไทย รวมไปถึงระดับเอเชียด้วย

ความคิดและการทำงานของเขาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีอิทธิพลระดับโลกมากทีเดียว สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนไทยคนหนึ่งที่สื่อตะวันตกกล่าวถึงมากที่สุด

นี่คือ เรื่องราวของคนคนหนึ่งที่มีแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ ถือเป็นบทเรียนและ พลังความคิดของสังคมไทยที่ต้องก้าวไปข้างหน้า แม้ว่าสิ่งนั้นจะบรรลุได้ จะต้องผ่านอุปสรรคขวากหนามมากเพียงใดก็ตาม.

(หมายเหตุ จากบทนำในหนังสือ "สนธิ ลิ้มทองกุล ต้องแพ้เสียก่อน จึงจะชนะได้" โดย วิรัตน์ แสงทองคำ กำลังจะวางจำหน่ายสัปดาห์หน้า)





>> กลับไปหน้าเดิมค่ะ...:)

| HOME | WORK'S EXPERIENCE | SIGN &VIEW GUESTBOOK |

© 2001 "Complain or Opinion" Created and Published by JaRuWaN yUnG-yUeN All rights reserved.