เอเลี่ยน รุกราน สัตว์ต่างถิ่นกินพื้นที่ทั่วโลก
        เรื่องราวของ 'ชะโด' รุกรานเข้าไปในสหรัฐ สร้างความกังวลใหญ่หลวง ต่อชาวอเมริกัน เพราะปลาขนาดใหญ่ ตัวโตเต็มที่ ยาวเกือบหนึ่งเมตรชนิดนี้ กำลังฮุบปลาเล็กปลาน้อย ประจำถิ่น แทบไม่เหลือ สร้างผลกระทบ ต่อห่วงโซ่อาหาร และอาจจะทำให้สัตว์ที่มีอยู่เดิม สูญพันธุ์ได้ สิทธิพงษ์ อุรุวาทิน มีรายงานสถานการณ์ ของสัตว์ต่างถิ่น ที่กำลังแพร่ไปทั่วโลก

        ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ศัพท์คำว่า Alien Invasion ปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ของสหรัฐ แต่อย่าเพิ่งเข้าใจว่า โลกกำลังถูกรุกราน จากอสูรร้ายจากนอกโลก เพราะคำว่า เอเลี่ยนในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงมนุษย์ต่างดาว หากแต่หมายถึงสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น ซึ่งหมายรวมทั้งสัตว์และพืช

        แต่สำหรับข่าวที่กำลังครึกโครมในสหรัฐนั้น Alien Invasion คือ การรุกรานของสัตว์ต่างถิ่นที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตพื้นเมือง ซึ่งในกรณีนี้ ก็คือ ปลาชะโด อันเป็นสัตว์พื้นเมืองของเอเชีย และแอฟริกา ที่เข้าไปสร้างปัญหาคุกคาม ปลาพื้นเมืองของอเมริกา

        จุดเริ่มต้นที่นำไปสู่ปัญหา Alien Invasion มาจากคำบอกเล่าของนักตกปลาในรัฐแมรีแลนด์ เกี่ยวกับปลาขนาดใหญ่ที่มีส่วนหัวเหมือนงู ซึ่งดูจากหน้าตาแล้ว ไม่น่าจะเป็นปลาพื้นเมือง และเมื่อตรวจสอบจึงพบว่า ปลาที่ว่านี้ คือ Snakehead ซึ่งหมายถึงปลาชะโด รวมถึงปลาช่อน อันเป็นปลาในตระกูลเดียวกัน

        สำหรับเจ้า Snakehead ที่พบในบึงน้ำตามธรรมชาติ ในเมืองครอฟตัน มลรัฐแมรีแลนด์ เป็นปลาชะโดสายพันธุ์เหนือ ซึ่งพบทั่วไปในแม่น้ำแยงซี โดยปลาชนิดนี้ มีหัวเหมือนงู ฟันแหลมคม กินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร โดยที่มันสามารถเติบใหญ่ได้ถึงขนาดความยาว 3 ฟุต

        นอกเหนือจากบึงน้ำขนาด 9 เอเคอร์ในรัฐแมรีแลนด์แล้ว ยังมีการค้นพบปลาชนิดนี้ในแหล่งน้ำธรรมชาติของอีกอย่างน้อย 6 รัฐ อันประกอบด้วย ฮาวาย ฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย เมน แมสซาชูเซตส์ และโรดไอส์แลนด์

        การค้นพบปลาชะโด ซึ่งเป็นสัตว์ต่างถิ่น แพร่พันธุ์ออกลูกออกหลานในแหล่งน้ำธรรมชาติของสหรัฐ สร้างความวิตกให้แก่ภาครัฐ ถึงขนาดที่กระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศข้อเสนอสั่งห้ามนำเข้า รวมถึงขนย้ายข้ามรัฐปลาชะโดทั้งหมด 28 สายพันธุ์

        เกล นอร์ตัน รัฐมนตรีมหาดไทยสหรัฐ ระบุว่า ปลาชะโดถูกขึ้นบัญชีในฐานะสิ่งมีชีวิตอันตรายที่ส่งผลคุกคาม หรือมีแนวโน้มจะส่งผลคุกคามต่อสิ่งมีชีวิตท้องถิ่น รวมถึงระบบนิเวศ เนื่องจากปลาชนิดนี้ เป็นปลานักล่า ที่กินปลา และสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร อีกทั้งยังมีน้ำอดน้ำทนสูงกว่าปลาอื่นๆ โดยสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น้ำแห้งได้นานถึง 3 วัน รวมทั้งสามารถพาตัวเองขึ้นบก เพื่อเสาะแสวงหาแหล่งน้ำอื่นที่มีความอุดมสมบูรณ์กว่า

        "ปลาชนิดนี้ เป็นเหมือนอะไรที่หลุดออกมาจากหนังสยองขวัญ" นอร์ตัน กล่าวต่อผู้สื่อข่าว พร้อมระบุว่า หากปล่อยให้ปลาชนิดนี้แพร่พันธุ์ออกลูกออกหลานในแหล่งน้ำธรรมชาติ จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศ อีกทั้งยังมีแนวโน้มจะสร้างความเสียหายให้แก่แหล่งพักผ่อนหย่อนใจ รวมถึงทำลายอุตสาหกรรมประมงท้องถิ่น

        คำกล่าวของนอร์ตัน แม้จะฟังดูเกินจริงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เลื่อนลอย เพราะปลาชะโดสายพันธุ์เหนือ ซึ่งมีขนาดเมื่อโตเต็มที่ร่วม 1 เมตร จัดเป็นนักล่าในลำดับชั้นสูงสุดของห่วงโซ่ธรรมชาติในแหล่งน้ำ อีกทั้งยังแทบจะไม่มีศัตรูตามธรรมชาติเลย

        "หากคุณยอมให้มีนักล่าในลำดับชั้นสูงสุดเข้ามาในระบบนิเวศ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา คือ การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อาหารทั้งหมด" นั่นคือ คำกล่าวย้ำของ วอลเตอร์ คอร์ทเนย์ นักสัตวศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านปลา จากสถาบันสำรวจภูมิศาสตร์สหรัฐในฟลอริดา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนักวิชาการที่เชี่ยวชาญด้านปลาชะโดมากที่สุดของสหรัฐ

        ชนิดพันธุ์ผู้รุกราน

        ในทางวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญเรียกสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นที่เข้ามาสร้างปัญหาให้แก่สภาพแวดล้อม ว่า ชนิดพันธุ์ผู้รุกราน (Invasive Species) ซึ่งชนิดพันธุ์ผู้รุกรานที่ว่านี้ มีคำนิยามที่ชัดเจนว่า 1.จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตพื้นเมือง และ 2.การเข้ามาของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ได้สร้าง หรือมีแนวโน้มว่าจะสร้างความเสียหาย ทั้งในทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม รวมถึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคน

        ชนิดพันธุ์ผู้รุกรานเหล่านี้ มีมากมายหลายรูปแบบ ตั้งแต่หมูป่าขนาดใหญ่ ไปจนถึงเชื้อไวรัสจากลุ่มน้ำไนล์ตะวันตก ที่ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องจึงจะมองเห็น แม้แต่หงส์ที่งามสง่า ก็ถือเป็นชนิดพันธุ์ผู้รุกราน เช่นเดียวกับตัวสกปรกจากถังขยะอย่างหนูนอร์เวย์

        ชนิดพันธุ์ผู้รุกรานเหล่านี้ บ้างก็ติดมากับเรือสินค้า บ้างก็เป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกเจ้าของทิ้ง แต่ก็มีไม่น้อยที่ถูกนำเข้ามาเพื่อประกอบเป็นอาหาร แต่สามารถเล็ดรอดเข้าสู่แหล่งพักพิงธรรมชาติได้

        ในกรณีของปลาชะโดสายพันธุ์เหนือ เป็นกรณีตัวอย่างของชนิดพันธุ์ผู้รุกรานที่หลุดรอดจากการเป็นเมนูอาหารจานเด็ด โดยเจ้าหน้าที่รัฐแมรีแลนด์ ระบุว่า ต้นตอของปลาชะโดที่พบในบึงของเมืองครอฟตัน มาจากหนุ่มชาวฮ่องกงคนหนึ่ง ซึ่งสั่งปลาชะโดจากตลาดปลาสดในนิวยอร์กมา 2 ตัว เพื่อเตรียมปรุงเป็นอาหารให้แก่น้องสาวที่กำลังป่วยหนัก เนื่องจากคนจีนมีความเชื่อว่า เนื้อปลาชะโดมีสรรพคุณในการรักษาโรค

        ทว่า ก่อนหน้าที่ปลาจะส่งมาถึง น้องสาวของเขาเกิดหายป่วย ทำให้หนุ่มชาวฮ่องกงคนนั้น ตัดสินใจปล่อยปลาทั้งคู่ลงสู่บึงน้ำใกล้ๆ บ้าน โดยไม่คิดว่าในอีก 2 ปีต่อมา ปลาชะโดคู่นั้นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในระดับชาติของสหรัฐ

        ในกรณีของ หนอนนิวเคลียร์เวียดนาม (Vietnamese Nuclear Worm) เป็นอีกชนิดพันธุ์ผู้รุกรานที่พบในรัฐแมรีแลนด์ เป็นสัตว์ที่ถูกนำเข้ามาเพื่อใช้เป็นเหยื่อตกปลาในแถบเชสพีค เบย์ ซึ่งนักวิชาการกำลังวิตกในเรื่องนี้มาก เนื่องจากเจ้าหนอนชื่อน่ากลัวตัวนี้ สามารถเติบโตได้ถึงขนาดความยาว 5 ฟุต

        นอกจากนี้ นักชีววิทยายังวิตกว่า หนอนนิวเคลียร์เวียดนาม จะส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรหอยนางรมท้องถิ่น รวมถึงอาจนำเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคร้ายต่อคน

        เกรกอรี รูอิซ นักชีววิทยา จากศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อมสมิธโซเนียน กล่าวว่า เฉพาะที่รัฐแมรีแลนด์ มีการพบชนิดพันธุ์ผู้รุกราน ทั้งพืชและสัตว์ ประมาณ 120-150 ชนิด ซึ่งคาดว่าจำนวนชนิดพันธุ์ผู้รุกรานในรัฐอื่นๆ น่าจะมีอยู่ใกล้เคียงกัน หรืออาจจะมากกว่า หากเป็นรัฐที่มีกิจกรรมการเดินเรือขนส่ง รวมถึงการทำประมง ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญในการเข้ามาของชนิดพันธุ์จากต่างแดน

        อย่างไรก็ดี สิ่งที่สร้างความวิตก ก็คือ การรุกรานของสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นเหล่านี้ ก่อให้เกิดผลกระทบ ทั้งในทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ รุนแรงกว่าที่หลายๆ คนคิดไว้

        ผลกระทบเกินคาดคิด

        หน่วยงานที่ศึกษาปัญหาการรุกรานของสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นในสหรัฐ ได้ศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง และประเมินว่า ผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในแต่ละปี

        ปัญหาโรคปาก-เท้าเปื่อย ซึ่งก่อให้เกิดโรคระบาดกับสัตว์เท้ากีบ ก็ถือเป็นอีกกรณีหนึ่งที่แสดงถึงผลกระทบจากการรุกรานของสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น โดยในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวในอังกฤษ สหรัฐได้สั่งระงับการนำเข้าเนื้อจากยุโรปเป็นการชั่วคราว ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่บริษัทส่งออกเนื้อในอังกฤษ 30,000 ล้านดอลลาร์

        เช่นเดียวกับกรณีของ หอยกาบม้าลาย (Zebra Mussel) ที่เข้ามาพร้อมกับเรือสินค้าจากยุโรปตะวันออก ในช่วงทศวรรษ 2520 ได้สร้างปัญหาใหญ่ในทะเลสาบเกรท เลค โดยจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างพุ่งพรวดของหอยกาบชนิดนี้ ทำให้เกิดการอุดตันของท่อในโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานน้ำ รวมทั้งเกาะติดกับใบพัดกังหันเทอร์ไบน์ในปริมาณถึง 700,000 ตัว ต่อ 1 ตารางเมตร

        นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้รุกรานจากต่างแดนนี้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตเกือบครึ่งหนึ่ง จากจำนวนทั้งหมดที่อยู่ในบัญชีสัตว์และพืชที่ใกล้สูญพันธุ์

        จากผลการศึกษาก่อนหน้านี้ ได้ยกตัวอย่างของ ต้นเพอร์เพิล ลูสสไตรฟ์ (Purple Loosestrife) ซึ่งไม่ใช่พืชท้องถิ่นของสหรัฐ แต่หลังจากที่มีการนำเข้าพืชชนิดนี้ ปรากฏว่า พวกมันสามารถแพร่พันธุ์สร้างเมล็ดได้ถึง 2.7 ล้านเมล็ดต่อต้นต่อปี อีกทั้งยังแพร่กระจายพันธุ์เป็นพื้นที่ราว 1 ล้านเอเคอร์ต่อปี

        หรือในกรณีของ งูต้นไม้สีน้ำตาล (Brown Tree Snake) ซึ่งเป็นสัตว์พื้นเมืองของออสเตรเลีย และหมู่เกาะทะเลใต้ ที่เล็ดรอดเข้ามาถึงเกาะกวม และทำให้นกพื้นเมืองสูญพันธุ์ไปถึง 13 ชนิด กิ้งก่าอีก 6 ชนิด จากทั้งหมด 12 ชนิด และค้างคาวอีก 2 ชนิด จากทั้งหมด 3 ชนิด

        เดวิด ลอดจ์ นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยนอเตรอ ดาม กล่าวว่า ปัญหาจากชนิดพันธุ์ผู้รุกราน ถือเป็นปัญหามลพิษในรูปแบบที่ไม่สามารถแก้ไขให้ฟื้นคืนสภาพได้ เนื่องจากว่า "แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกำจัด หรือทำลายผู้รุกรานจากต่างถิ่นเหล่านี้ให้หมดไปได้"

        'ฆ่าล้างบาง' หรือคือทางออก

        แม้ว่าการกำจัดชนิดพันธุ์ผู้รุกรานให้สิ้นซากจะไม่ใช่วิธีการที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ แต่ก็ดูเหมือนว่า วิธีการนี้ยังคงเป็นแนวทางที่ภาครัฐมุ่งมั่นจะทำ ในการจัดการแก้ปัญหาผู้รุกรานจากต่างถิ่น

        ในกรณีของปลาชะโดที่บึงครอฟตัน คณะกรรมการที่มาจากนักวิชาการแขนงต่างๆ ได้ลงความเห็นว่า การใช้สารพิษโรยลงสู่บึง น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด คณะกรรมการกำจัดปลาชะโด ได้เสนอให้ใช้สารเคมีที่มีชื่อว่า โรเทโนน ซึ่งเป็นสารพิษที่ย่อยสลายได้ง่าย และไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์ขนาดใหญ่

        ดอน โบเอสก์ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ในฐานะประธานคณะกรรมการ กล่าวว่า จากการทดสอบกับปลาชะโดขนาด 2-4 นิ้วหลายสิบตัวที่จับได้จากบึงครอฟตัน ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และเตรียมเสนอให้ดำเนินการ 'ปฏิบัติการฆ่าล้างบึง'

        ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการได้พิจารณาวิธีการต่างๆ ในการกำจัดปลาชะโด ตั้งแต่การใช้แหจับ การใช้กระแสไฟฟ้าช็อต ไปจนถึงการระบายน้ำทั้งหมดออกจากบึง แต่วิธีการเหล่านี้ ก็ไม่ได้รับความเห็นชอบ เนื่องจากไม่สามารถรับประกันได้ว่า จะสามารถกำจัดปลาได้ทั้งหมด รวมทั้งบางวิธีก็ไม่สามารถทำได้จริง

        ในกรณีของหงส์ สัตว์ที่แสนสวยงาม การฆ่าดูจะเป็นเรื่องที่โหดเหี้ยมเกินไป แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย เพราะหลังจากที่นกที่งามสง่าชนิดนี้ ถูกนำเข้าจากยุโรปมาสู่รัฐแมรีแลนด์ เมื่อ 40 ปีที่แล้ว พวกมันได้คุกคามการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างรุนแรง

        หงส์เหล่านี้กินสาหร่ายในบึงน้ำเป็นอาหารหลัก โดยแต่ละตัวต้องการอาหารถึง 10 ปอนด์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ของมลรัฐแมรีแลนด์ ระบุว่า จำนวนหงส์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และคาดว่า จากจำนวน 4,000 ตัว เมื่อปี 2533 จะเพิ่มเป็น 38,500 ตัว ในปี 2553

        แม้ว่าคณะกรรมการแก้ปัญหาของรัฐแมรีแลนด์ จะเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการกำจัดสัตว์แสนสวยเหล่านี้ แต่พวกเขาก็พยายามหาทางออกที่ทำร้ายจิตใจคนให้น้อยที่สุด โดยแทนที่จะใช้วิธีฆ่าแบบซึ่งๆ หน้า เหมือนเช่นการกำจัดปลาชะโด พวกเขาเลือกจะใช้วิธีควบคุมการขยายพันธุ์ของหงส์เหล่านี้แทน

        วิธีการควบคุมการขยายพันธุ์หงส์ที่รัฐแมรีแลนด์ นำมาใช้ มีตั้งแต่การไล่มันออกจากแหล่งอาหาร การแยกกลุ่มตามเพศเพื่อไม่ให้พวกมันได้มีโอกาสผสมพันธุ์ รวมถึงการขัดขวางไม่ให้แม่หงส์สามารถฟักไข่จนกลายเป็นตัว

        ปัญหาในเมืองไทย

        ขณะที่ปัญหาผู้รุกรานจากต่างถิ่น ถูกโหมประโคมข่าวใหญ่โตในสหรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะท่าทีของภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาอย่างจริงจังตั้งแต่เนิ่นๆ แต่สำหรับในประเทศไทย ปัญหาเรื่องนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร ทั้งที่นักวิชาการพยายามออกมาชี้แจงถึงกรณีการรุกรานของสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นหลายต่อหลายครั้ง

        อันที่จริงแล้วปัญหาเรื่องชนิดพันธุ์ผู้รุกราน ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนไทยเลย ตรงกันข้าม ในบ้านเราเคยเกิดปัญหานี้มาตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ปัญหาผักตบชวาที่พบตามลำคลองหนองบึง จนเป็นปัญหากับการสัญจรทางน้ำ รวมถึงส่งผลกระทบต่อระบบชลประทานการเกษตร คือ กรณีตัวอย่างที่ชัดเจนของชนิดพันธุ์ผู้รุกราน เนื่องจากพืชน้ำชนิดนี้ ไม่ใช่พืชพื้นเมืองของไทย หากแต่มีการนำเข้ามาตั้งแต่เมื่อกลางสมัยรัตนโกสินทร์

        กรณีของหอยเชอรี่ ที่สร้างปัญหาให้กับชาวนาในประเทศ ก็เช่นเดียวกัน แต่ยังโชคดีที่ชนิดพันธุ์ผู้รุกรานนี้ มีศัตรูตามธรรมชาติที่คอยจัดการควบคุมการขยายพันธุ์ของมัน ซึ่งศัตรูที่เป็นเหมือนวีรบุรุษสำหรับชาวนาไทย ก็คือ นกปากห่างที่จับหอยเชอรี่กินเป็นอาหารนั่นเอง

        ปัญหาการรุกรานของสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นในเมืองไทย มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการนำเข้าสัตว์แปลกๆ จากต่างประเทศเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นกิ้งก่าอีกัวน่า หรือแม้แต่ปลาปิรันยา ซึ่งเริ่มมีข่าวมาแล้วว่า มีผู้พบอยู่ตามแม่น้ำลำคลองหลายแห่ง

        หากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ตลอดจนถึงประชาชน ยังไม่ตระหนักถึงผลกระทบจากปัญหาการรุกรานจากสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น และเร่งหามาตรการจัดการตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ไม่แน่ว่า ในอนาคต เราอาจต้องปวดหัวกับการหาวิธีการฆ่าล้างโคตรเผ่าพันธุ์ที่เราไม่ต้องการก็เป็นได้

Copyright ? 2000-2001 by Ingreen Group. Report technical problems to Pratheep180@hotmail.com . This document was build on: 25/02/2001 . Best view in IE4x or higher,800x600 pix.Font Medium.