ป่า : เภสัชสถานที่สำคัญของโลก
นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่า 25% ของยาที่มนุษย์บริโภคทุกวันนี้ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากพืช เช่น ยาควินิน ได้จากเปลือกของต้นซินโคนา (cinchona) หรือมอร์ฟีนก็ได้จากฝิ่น เป็นต้น เมื่อตัวเลขของความจริงเป็นเช่นนี้ ดังนั้น เราจึงไม่น่าสงสัยเลยว่า เหตุใดบริษัทยาที่มีพลังทรัพย์มหาศาล จึงได้ทุ่มเทเงินทองและจ้างนักวิจัยมากมายให้ค้นหาตัวยาชนิดต่างๆ จากป่าทุกหนแห่งของโลก แต่ความคิดที่จะนำพืชทุกชนิดมาทดสอบและวิเคราะห์ในห้องทดลอง เพื่อหาตัวยาที่มีประสิทธิภาพนั้น เป็นเรื่องสุดวิสัยที่มนุษย์ปกติจะทำได้ในเวลาที่จำกัด ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์หลายคนจึงคิดพึ่งพาอาศัยภูมิปัญญาโบราณของผู้คนในท้องถิ่นต่างๆ ในการค้นหายาใหม่ๆ
ในประเทศ Ghana เวลาใครเป็นหืด หมอผีจะแนะนำให้กลืนสมุนไพรชนิดหนึ่ง การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยของยุคปัจจุบัน ได้ทำให้เรารู้ว่า ในสมุนไพรชนิดนั้นมีสาร hydroxyoya saponin ที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาหืด หรือในประเทศฟิลิปปินส์ก็ได้มีการพบว่า ชาวบ้านนิยมนำใบของต้น Carmona refusa มาชงดื่มต่างชา เพราะได้มีการพบว่า หลังจากที่ได้ดื่มน้ำต้มใบไม้ชนิดนี้แล้ว ผู้ดื่มรู้สึกกระปรี้กระเปร่า การวิเคราะห์หาสารเคมีที่มีบทบาททำให้ผู้ดื่มมีอารมณ์สม่ำเสมอ แสดงให้เห็นว่ามันมีสารประเภท antimutagenic จริง ส่วนชาว Aborigine ในออสเตรเลีย ก็มักใช้ใบของต้น Melaleuca alternifolia ในการปิดแผลที่ถูกทำร้าย หรือแผลไฟไหม้ เป็นต้น
คนไทยโบราณก็รู้จักใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ในการทำเป็นยารักษาโรคเช่นกัน เช่น เรามียาแก้วห้าดวง ยาห้าราก ยาเบญโลกวิเชียรที่มีสรรพคุณกระทุ้งพิษหรือถอนพิษต่างๆ นอกจากนี้ เราก็มียาที่ได้จากรากไม้ เช่น รากมะเดื่อชุมพร (Ficus racemosa) รากชิวซี่ (Capparis micracantha) รากเท้ายายม่อม (clerodendron siphonanthus) รากย่านาง (Tiliacora triandra) และรากคนทา (Harrisonia perforlata) สำหรับแก้ไข้ แม้แต่ต้นจามจุรี (albizia lebbeck) ซึ่งเป็นไม้พื้นเมืองที่ยืนต้นและมีขนาดใหญ่ เปลือกของมันก็มีสรรพคุณเป็นยาฝาดสมาน แก้ท้องร่วง เมล็ดเป็นยาแก้กลากเกลื้อน และเป็นยาเย็นใช้ดับพิษไข้ได้ นอกจากนี้ คนไทยเรายังได้เครื่องยาสมุนไพรจากจุลินทรีย์ ราและเห็ดด้วยเช่น เห็ดขี้วัว-ขี้ควาย (Psilocyte cubensis) หรือที่ในตำรายาบางเล่มเรียก เห็ดมูลโค เพราะเป็นเห็ดที่ได้จากมูลโค คนที่เสพเห็ดนี้จะมีอาการมึนเมา หมอตามบ้านนอกชอบเอามาทำเป็นยาที่กินแล้วทำให้ง่วงนอน แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อให้ผู้บริโภคไม่ขยะแขยง เป็นยาสุขไสยาสน์ เป็นต้น
มะเกลือ (Diospyros mollis) ก็เป็นพืชที่คนไทยรู้จักตั้งแต่สมัยโบราณ และคนจีนรู้จักมะเกลือในฐานะเป็นสารย้อมสีแพรขาวให้เป็นสีดำ มะเกลือเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ผลมีสีเขียว ชาวบ้านใช้ผลมะเกลือดิบขับพยาธิในท้อง ส่วนผลสดนั้นเวลาเอามาโขลกพอแหลกแล้วเติมกะทิ จะทำให้มีรสชาติดี แต่ถ้าใส่น้ำปูนใสในมะเกลือแหลกของผสมที่ได้จะเป็นพิษ คืออาจทำให้ตาบอดได้ การวิจัยส่วนประกอบที่สำคัญของมะเกลือแสดงให้เห็นว่า มันมีสารประกอบชื่อ diospyrol ที่สามารถขับพยาธิในท้องได้จริง แก่นของต้นมะหาด (Artocarpus lakoocha) เวลานำมาต้มจะมีฟองเกิดขึ้นมากมาย เมื่อชาวบ้านช้อนเอาแต่ฟองขึ้นมาแล้วปล่อยทิ้งให้แห้งจะได้ผงสีขาวนวลที่เรียกกันว่า ผงฝุ่นแก่นหาด สำหรับเป็นยาขับพยาธิตัวตืด งานวิจัยแก่นของต้นไม้ชนิดนี้แสดงให้เห็นว่า มันมี 2, 4, 3, 5-tetrahydroxy stilbene ที่มีสรรพคุณขับพยาธิตัวตืดได้ดี
สมุนไพรไทยอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ เปล้า ซึ่งมีหลายชนิด เช่น เปล้าหลวง เปล้าน้ำเงิน และเปล้าน้อย (Croton sublyratus) และคนไทย โบราณรู้จักใช้เปล้าน้อยบำรุงธาตุ เปลือกของต้นเปล้าใช้บำรุงโลหิต แก้ท้องเสีย ดอกใช้ขับพยาธิ เมื่อไม่นานมานี้ได้มีบริษัทเอกชนของญี่ปุ่น เดินทางเข้ามาเก็บตัวอย่างเปล้าชนิดต่างๆ ในบ้านเรา แล้วเอาไปวิเคราะห์หาตัวยาแก้โรคกระเพาะอาหาร ที่คนญี่ปุ่นเป็นกันมาก การวิจัยเปล้าน้อยแสดงให้เห็นว่า ใบของมันมีตัวยาสำคัญพวก diterpene alcohol ที่มีฤทธิ์ในการรักษาโรคกระเพาะอาหารได้ เกษตรกรรมพืชชนิดนี้จึงเกิดขึ้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้วส่งไปสกัดเป็นยาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น
ตัวอย่างที่ยกมาพอเป็นสังเขปนี้ แสดงให้เห็นว่าคนไทยเรารู้จักใช้พันธุ์ไม้ของไทยเราเป็นยามานมนานแล้ว ต้นไม้บางชนิดได้ถูกนำไปเป็นยาแผนปัจจุบัน บางชนิดก็ได้รับการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า มีสรรพคุณดังที่กล่าวอ้างจริง ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้น คนต่างชาติก็รู้จักใช้พืชทำยาเช่นกัน
ประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า Galen และ Hyrpocrates ผู้เคยมีชีวิตอยู่ในสมัยคริสตกาลได้เคยเสนอแนะให้สตรีมีครรภ์บริโภคใบของต้นหลิว เพื่อบรรเทาอาการเจ็บครรภ์ซึ่งก็ได้ผล ส่วนพืช silphion ที่ Hyrpocrates อ้างว่า มีสรรพคุณในการคุมกำเนิดของสตรีนั้น นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็พบว่า มันมีสารประกอบเคมีที่มีฤทธิ์ยับยั้งการตั้งครรภ์ได้ และสำหรับใบของต้น Mentha pulegium แพทย์โรมันชื่อ Serenus ก็เคยใช้มันเป็นยาทำแท้ง และนักเคมีปัจจุบันพบว่าสารเคมีในใบมันมีอำนาจในการขับทารกจากครรภ์มารดาได้ดี
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความนิยมชมชื่นในการใช้ยาโบราณได้ลดถอยลง คือความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้ทำให้คนหลายคนคิดว่า ยาโบราณเป็นยาที่ด้อยคุณภาพในการรักษาโรคและเมื่อผู้คนเชื่อเช่นนี้ สูตรยาและคุณประโยชน์ต่างๆ ของยาก็ถูกผู้คนลืม
แต่ ณ วันนี้ โลกมีนักเภสัชวิทยาหลายคนที่กำลังศึกษาและวิจัยยาโบราณต่างๆ ซึ่งต้นไม้ที่ใช้ในการศึกษานี้ ได้จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าในชุมชน ทั้งนี้ ก็เพื่อเชื่อมโยงภูมิปัญญาท้องถิ่นกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการแสวงหายาที่มีสรรพคุณ โดยไม่ต้องลงทุนมาและไม่เสียเวลานาน
แต่ความลำบากยากเข็ญในการค้นหายาลักษณะนี้ก็ใช่ว่าไม่มี ทั้งนี้เพราะมนุษย์รู้จักพืชเพียง 5% ของพืชที่โลกมีส่วนอีก 95% ของพืชนั้น มนุษย์ยังไม่รู้จักเลย และไม่แน่ใจว่าจะรู้จักมันเมื่อใดหรือไม่ เพราะป่าดงดิบต่างๆ ในทุกภูมิภาคของโลกกำลังถูกทำลายและถูกเผาไปทุกวัน และนั่นก็หมายความว่าต้นไม้ที่มีเภสัชคุณจะถูกผู้คนล้มมันทิ้งจนสูญพันธุ์ไปก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะได้เห็น หรือตั้งชื่อมันด้วยซ้ำไป
เมื่อเหตุการณ์เผาผลาญป่ากำลังทวีความรุนแรงขึ้นๆ นักวิชาการและนักอนุรักษ์ทรัพยากรป่า จึงได้เล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายคุ้มครองป่าเพื่อให้นักเคมี นักเภสัชวิทยา นักพฤกษศาสตร์ ฯลฯ ได้มีโอกาสวิเคราะห์หาตัวยาจากต้นไม้ป่าหรือพืชป่าก่อนที่จมันจะถูกโค่นทิ้งหรือเผาทิ้ง
แต่มาตรการนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาในการดำเนินการ เพราะความจริงมีอยู่ว่าในบรรดาประเทศที่เจริญแล้ว การค้นคว้าวิจัยทางด้านเภสัชกรรมมีมาก แต่ประเทศเหล่านี้กลับแทบไม่มีป่าให้อนุรักษ์เลย ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนามักปรากฏว่ามีป่าอุดมสมบูรณ์ แต่ขาดนักวิจัยยา ดังนั้น ประชากรในประเทศที่กำลังพัฒนาจึงทำใจไม่ได้ที่จะอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาวิจัยยาในป่าของตน เพื่อนำสารยาที่พบนั้นๆ กลับมาขายเป็นยาในประเทศตนในราคาที่แพง
เมื่อเหตุและผลเป็นเช่นนี้ องค์การสิ่งแวดล้อมและองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ จึงได้ดำริเสนอบทบัญญัติว่า หากผลิตภัณฑ์ใดๆ ของป่ามีคุณค่าทางเศรษฐกิจ รัฐบาลของประเทศที่เป็นเจ้าของป่านั้น ควรได้คำตอบแทน (บ้าง)
หากบทบัญญัตินี้เป็นที่ยอมรับ เราก็รุ้ว่าเหตุการณ์สังหารผลาญป่าในประเทศที่กำลังพัฒนา ก็คงจะลดความรุนแรงเป็นแน่
ในอดีตเมื่อปี พ.ศ. 934 ห้องสมุดแห่งแรกของโลกที่เมือง Alexandria ในอียิปต์ ซึ่งเป็นแหล่งสะสมวรรณกรรม บทประพันธ์และตำราของปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงของโลกได้ถูกไฟไหม้ การที่วรรณคดีของโลกหลายเรื่องถูกไฟเผา ทำให้โลกต้องสูญเสียทรัพย์สินทางปัญญาที่ประมาณค่ามิได้ไปอย่างถาวร ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าป่าของเราที่มีตัวยาสมุนไพรมากมายถูกตัดหรือเผา นั่นก็คือการทำลายสรรพความรู้ในป่า และทำลายยาที่จะใช้รักษามนุษย์ด้วย
ถ้ารักป่าและเลี้ยงป่า จะได้ทั้งความรู้และยาด้วย
|
|
Copyright ? 2000-2001 by Ingreen Group.
Report technical problems to Pratheep180@hotmail.com .
This document was build on: 25/02/2001 .
Best view in IE4x or higher,800x600 pix.Font Medium.
|
|
|
|
|