วัดธาตุทอง เกิดขึ้นจากการย้ายมารวมกันของวัดทองและวัดหน้าพระธาตุ เนื่องจากการเวณคืนที่ดิน เพื่อสร้างท่าเรือคลองเตย เมื่อปี ๒๔๘๐ ในครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้มอบหมายให้ พระมหานพ อังกุรปัญโญ มารักษาการเจ้าอาวาส เพื่อดูแลและควบคุมการก่อสร้าง
บนพื้นที่กว่า ๕๐ ไร่ ริมถนนสุขุมวิทสมัยนั้นยังเป็นท้องนาห่างไกลจากชุมชน ยังไม่มีความเจริญ การสร้างวัดใหม่จึงเป็นสิ่งที่ยากลำบาก จากคำบอกเล่าของหลวงปู่ช่วง พระอาวุโสที่ย้ายมาพร้อมกับวัดเก่าว่า เริ่มนำเอาเครื่องก่อสร้างซึ่งรื้อจากวัดเก่าที่ยังใช้ได้มาปลูกเป็นกุฎี และศาลาการเปรียญ เพื่อให้พระได้อยู่อาศัย ทำวัตรสวดมนต์ โดยมีโรงครัวสำหรับทำอาหารถวายพระ ซึ่งตอนนั้นมีอยู่ไม่กี่รูป พระแก่ที่ย้ายมาด้วยกัน ชื่อหลวงปูใย แรกๆ ต้องอาศัยลูกหลานเดินทางมาทำบุญเลี้ยงพระที่วัด
จนถึงปี ๒๔๙๐ จึงได้มีพิธีวางศิลาฤกษ์ ลงเสาเข็มพระอุโบสถ ช่วงนั้นมีชาวบ้านจากหัวไผ่ พระโขนง และคลองเตย มาทำบุญกันมากขึ้นก็ได้คุณพระเจนสถลรัถย์ และคุณนายแดง ภูมิจิตร โยมอุปัฏฐากที่บวชให้ท่านเจ้าคุณฯ เมื่อครั้งที่อยู่วัดปทุมวนาราม ในเมืองเป็นหัวเรือใหญ่ ได้ชวนญาติพี่น้อง และชาวบ้านมาร่วมกันเสียสละจัดงาน ๕ วัน ๕ คืน ท่านเจ้าคุณฯ ดีใจมาก บอกกับพระลูกวัดเสมอว่าวัดเจริญูได้เพราะชาวบ้าน จึงต้องปลูกศรัทธาให้สมกันที่เขาตั้งใจทำบุญ
พระอุโบสถวัดธาตุทองใช้เวลาก่อสร้างนานถึง ๑๕ ปี ทำพิธียกช่อฟ้าอุโบสถเมื่อปี ๒๔๙๘ และผูกพันธสีมา ฝังลูกนิมิตอุโบสถ เมื่อปี ๒๕๒๕ ช่วงนั้นท่านเจ้าคุณฯ ทำงานหนัก แวะมาปรึกษากับหลวงปู่ทุกวัน บอกว่างานใหญ่ของวัดสำเร็จแล้ว ต่อไปวัดจะต้องทำเพื่อตอบแทนชาวบ้าน หลวงปู่เล่าว่าครั้งหนึ่งท่านเจ้าคุณได้เล่าถึงความฝันของท่านที่เห็นเรือสำเภาใหญ่สวยงามจอดอยู่ในวัด แสดงว่าต่อไปวัดจะเจริญ และพูดติดตลกว่าจะทำหลังคาคลุมวัด เพื่อให้ชาวบ้านได้พักอาศัย หลบร้อน หลบฝน
เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่ท่านพูดไว้ค่อยๆ เป็นความจริง ท่านให้ความสำคัญกับการศึกษามาก บอกว่าต้องสร้างโรงเรียนให้ลูกหลานชาวบ้านได้เรียนสูงๆ ต่อไปจะได้ช่วยพ่อ แม่ทำงาน ครอบครัวจะได้ไม่ลำบาก ทั้งยังมองว่าเวลาเจ็บไข้ชาวบ้านต้องเดินทางไปรักษาในที่ไกลๆ เป็นเรื่องลำบากจึงดำริให้สร้างสาธารณะสุขไว้หน้าวัด พระเณรจะได้อาศัย แม่ครัว แม่ชี ที่โรงครัวก็สบายขึ้น ไม่ต้องเดือนร้อนให้ลูกหลานพาไปรักษาในเมือง
จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า ๕๐ ปี วัดธาตุทองได้เจริญรุ่งเรืองขึ้น พร้อมๆ กับชุมชนของชาวพระโขนง เป็นการพึ่งพาอาศัยกันตามอย่างโบราณที่ว่า บ้านกับวัดเป็นของคู่กันจะขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นคงจะเจริญไม่ได้
วัดจึงเป็นศูนย์กลางของชุมชน แม้ปัจจุบันทั้งหลวงปู่และท่านเจ้าคุณฯ จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่คำบอกเล่าถึงอดีตแสดงความผูกพันของบ้านกับวัดก็ยังคงอยู่ เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่อนุชนรุ่นหลัง จะได้รำลึกถึงและจดจำไว้เป็นแบบอย่างเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของพระคุญท่านทั้งสองให้คุญความดีได้ปรากฎ อยู่คู่กับชาวพระโชนงตลอดไป |