The Americanization of World Culture
วัฒนธรรมโลก กับ ความเป็นอเมริกัน
cultural globalization / โลกาภิวัตน์ทางวัฒนรรม

The American ideal of world as a cultural melting-pot is being superseded by the Canadian vision of a multicultural mosaic. อุดมคติของชาวอเมริกันเกี่ยวกับโลกที่ว่า โลกคือเบ้าหลอมทางวัฒนธรรมนั้น ตอนนี้มันกำลังถูกแทนที่โดยทัศนะของชาวแคนาเดียนที่ว่า โลกคือโมเซอิคของความหลากหลายทางวัฒนธรรม.

James George เขียน : สมเกียรติ ตั้งนโม เรียบเรียง
(นิตยสาร Resurgence ฉบับที่ ฉบับที่ 174 เดือนมกราคม/กุมภาพันธ์ 1996) ความยาวประมาณ 5.5 หน้ากระดาษ A4.

"ในศตวรรษต่อไป, พวกเราจะมีความเสี่ยงต่อโลกาภิวัตน์ทางวัฒนธรรม. ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว, นี่หมายความถึงวัฒนธรรมโลก
ที่ถูกทำให้เป็นอเมริกันนั่นเอง".
(John Birt ผู้อำนวยการทั่วไปของ BBC)

คำกล่าวข้างต้นของ John Birt เป็นปัญหาที่ลึกซึ้ง ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันหมายถึงอะไร. เกือบทุกๆคน รวมทั้งชาวอเมริกันจำนวนมากด้วย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวแคนาเดี่ยนส่วนใหญ่เป็นกันหรือแสดงออกมา ล้วนได้รับอิทธิพลต่างๆทางวัฒนธรรมแบบอเมริกัน. นี่ไม่ใช่การปฏิเสธว่าโลกาภิวัตน์บางอย่างทางวัฒนธรรม กำลังเกิดขึ้นบนปีกของโลกาภิวัตน์ทางเทคโนโลยีของไซเบอร์สเพส. แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นเช่นนั้นอย่างไม่มีทางเลี่ยง... เนื่องจากมันมีองค์ประกอบอื่นๆอีกมาก เวลาที่เราจะปรุงซุปขึ้นมาตามรสชาติที่เราชอบ และเราต้องรู้สึกขอบคุณด้วยต่อการมีซุปหลายๆชนิด - ไม่ใช่มีซุปอยู่เพียงรสชาติเดียวเท่านั้น.


James George เป็นเอกอัครราชฑูตเกษียณอายุ และผู้เขียนหนังสือเรื่อง Asking for the Earth: Waking up to the Spiritual/Ecological Crisis.

อะไรคือนิยามที่แตกต่าง ซึ่งจำแนกวัฒนธรรมหนึ่งออกมาจากอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ?

วัฒนธรรมอาจจะมีความแตกต่างกันได้ทั้งในระดับแนวนอนและแนวตั้ง. โดยสาระแล้ว ความแตกต่างที่แท้จริงก็คือ ระหว่าง สิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกว่าวัฒนธรรมที่เป็นไปตามแนวนอนและแนวตั้ง, ซึ่งอันนี้ไม่ได้หมายความถึงความเท่าเทียมกันทางวัฒนธรรม(ความเสมอบ่า เสมอไหล่ทางวัฒนธรรม) กับ วัฒนธรรมที่มีสูงกว่ากับวัฒนธรรมที่ต่ำกว่าแต่อย่างใด, แต่ในความหมายของวัฒนธรรมที่รู้หรือยอมรับกันในระดับหนึ่ง กับวัฒนธรรมที่มีอยู่หลายๆระดับ มากกว่า. (หากฟังแล้วไม่เข้าใจชัดเจน ขอให้อ่านต่อไป ซึ่งจะไขความให้กระจ่างต่อไปข้างหน้า)

ในประวัติศาสตร์ และยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ มีการปะทะกันโดยพื้นฐาน ระหว่าง วัฒนธรรมที่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่สูงกว่าชีวิตธรรมดา, และ วัฒนธรรมที่ไม่ได้สูงกว่าชีวิตธรรมดา. สำหรับอดีตที่ผ่านมาราวๆสามศตวรรษหรือกว่านั้น สิ่งซึ่งตอนนี้เราเรียกมันอย่างกว้างๆว่า วัฒนธรรมทางวิทยาศาสตร์ของตะวันตก(Western scientific culture)ปฏิเสธว่า มันมีความแตกต่างกันในเรื่องของระดับ, หรือความสำนึกที่สูงกว่า, ซึ่งได้สร้างและธำรงรักษาจักรวาลเอาไว้

ด้วยการปฏิเสธเช่นนี้, ความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เคยมีมาในอดีต จึงดูเหมือนว่าเกือบจะเป็นความรู้สึกที่ได้สูญสลายหายไปหมดสิ้นแล้วในโลก. ทุกวันนี้ วัฒนธรรมตามแนวนอนจึงกำลังคุกคามและท่วมทับโลกเราอยู่.

การเผชิญหน้ากับความท้าทายข้างต้น, มันจะต้องมีการรวมตัวกัน (แต่ไม่ใช่การทำให้เป็นเนื้อเดียวกัน[homogenization])ของวัฒนธรรมทั้งหมด - ทั้งตะวันออกและตะวันตก, เหนือและใต้, - สำหรับผู้คนเหล่านั้น ซึ่งยังคงอยู่ในมิติของวัฒนธรรมแบบแนวตั้ง(verticle).

ในมุมมองอันนี้, ขอให้เราทั้งหลายมาพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของอำนาจและวัฒนธรรม.

ในคริสตศตวรรษที่ 20 มีศูนย์กลางอำนาจอยู่สองทวีปที่ทรงพลังอำนาจของโลก: นั่นคือ อเมริกาเหนือ กับ ยุโรป. แต่เมื่อย้อนกลับไปดูคริสตศตวรรษที่ 18-19 ตอนนั้นโลกเรามีศูนย์กลางอำนาจอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ ยุโรป. มาถึงคริสตศตวรรษที่ 21 หรือสหัสศวรรษใหม่ ดูเหมือนว่าเป็นไปได้ที่จะมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ 3 แห่งด้วยกัน คือ เอเชีย, อเมริกาเหนือ, และยุโรป.

อันนี้มันเป็นทัศนียภาพใหม่ทางวัฒนธรรมในระดับรากเลยทีเดียว ดังที่เราได้พบเห็นมาโดยตลอดประวัติศาสตร์. การครอบงำทางวัฒนธรรมมันตามมาด้วยเรื่องของอำนาจ. และพลังอำนาจทางเศรษฐกิจกำลังแปรผันไปอย่างรวดเร็ว, เช่นดังข่าวสารข้อมูล, เทคโนโลยี, และทุนซึ่งได้เคลื่อนผ่าน ข้ามแนวเขตพรมแดนด้วยความเร็วของช่องทางจดหมายอีเล็คทรอนิค(e-mail). ด้วยความรวดเร็วขึ้นตามลำดับ ทำให้สหราชอาณาจักรซึ่งเคยใช้เวลาถึง 60 ปีกว่าจะเพิ่มผลผลิตขึ้นมาได้เป็นสองเท่า; ญี่ปุ่นกลับใช้เวลาน้อยกว่านั้นเพียงครึ่งหนึ่ง; และทำให้จีนไปถึงจุดนนั้นโดยใช้เวลาเพียง 10 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น.

ในปี ค.ศ.1960 ญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออกมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 4% ของโลก, ขณะที่อเมริกาเหนือมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจถึง 37%. ทั้งคู่รวมกันตอนนี้มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจประมาณ 24%. ในช่วงทศวรรษที่ 90 มากกว่าครึ่งหนึ่งของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกได้เกิดขึ้นมาในทวีปเอเชีย.

เมื่อชาวยุโรป, อย่าง Mr Birt มองไปที่การครอบงำของวัฒนธรรมอเมริกันทุกวันนี้, ทำให้เราต้องเตือนตัวเองว่า "พลังอำนาจของเอเชีย/แปซิฟิค" ในไม่ช้า จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญอันหนึ่งต่อสิ่งที่เรารู้กันแล้วเกี่ยวกับวัฒนธรรมอเมริกัน. อันที่จริง, กระบวนการอันนั้นมันได้เริ่มต้นขึ้นแล้วทางฝั่งแคลิฟอร์เนีย.

ในอดีตสามสิบปีที่ผ่านมา ด้วยการแพร่ขยายในลักษณะพิเศษของศาสนาพุทธในรูปแบบของญี่ปุ่น(พุทธศาสนานิกายเซน)และธิเบต, สิ่งเหล่านี้ได้หว่านเพาะเมล็ดพันธุ์ลงไปในวัฒนธรรมอเมริกัน. แต่เมื่อย้อนกลับไปดูเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา บรรดานักวิชาการอเมริกันทั้งหลายได้เดินทางไปยังเอเชีย เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนา; นอกนั้นก็มีเพียงพวกฮิปปี้มผมยาวที่ไปยังที่นั่นเพื่อเรียนรู้พุทธศาสนาจากเอเชีย. แต่เรื่องทำนองนี้กำลังเปลี่ยนไป. มันอาจมาถึงเวลาที่การหลอมละลายเข้าหากันระหว่างวัฒนธรรมเอเชียและอเมริกัน จะสร้างวัฒนธรรมเอเชีย/แปซิฟิคขึ้นมา ซึ่งนั่นจะไม่เหมือนกับองค์ประกอบเดิมๆอีกต่อไป. ถ้าสิ่งนั่นได้ถือกำเนิดขึ้นมา แน่นอน ยุโรปก็จะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน.

โลกของกรีกคลาสสิค และเรื่องราวที่ต่อเนื่องตามมา ในจักรวรรดิ์พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช, ยุคเรอเนสซองค์ในยุโรป, จักรวรรดิ์ราชวงศ์พระเจ้าโมกุลในประเทศอินเดีย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยพระเจ้าอักบาร์), การผุดขึ้นมาของญี่ปุ่น และการปรากฎตัวขึ้นมาของเกาหลี, มาเลเซีย สิงค์โปร์, อินโดนีเซีย, และตอนนี้คือ จีน, ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของพลังงานที่ปะทุขึ้นมาของการหลอมละลายทางวัฒนธรรม. ความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆในเอเชียได้ก่อให้เกิดบัณฑิตเอเชี่ยนของมหาวิทยาลัยต่างๆของอเมริกัน. การหลอมละลายทางวัฒนธรรมดังกล่าวได้เกิดขึ้นมาในชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาเอง, และมันกำลังแผ่ขยายออกไป.

เมื่อการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของกันและกันอันนี้ ระหว่าง"เอเชีย"และ"อเมริกัน"มันกำลังเป็นไปอย่างมากมายหลายช่องทาง, เมื่อพวกเราชาวตะวันตกเริ่มเรียนรู้อย่างมากเกี่ยวกับชีวิตด้านในจากวัฒนธรรมเอเชีย เช่นดังที่พวกเขากำลังเรียนรู้จากเราเกี่ยวกับชีวิตด้านนอก, ข้าพเจ้าเชื่อว่า เราสามารถที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ซึ่งจะไม่ใช่ในลักษณะวัฒนธรรมโลกที่ถูกทำให้เป็นเนื้อเดียวกันแบบแบนๆ(ตามแนวนอน) แต่มันจะเป็นความเปลี่ยนแปลงในลักษณะของแนวตั้งที่เปิดสู่อิทธิพลที่สูงกว่า. เราไม่สามารถทำนายได้ว่า ความสุขจะมาถึงในไม่ช้า, แต่เราสามารถที่จะพบเห็นมัน ในฐานะของความเป็นไปได้อันหนึ่ง, ในเชิงคุณค่า.

บนเส้นทางที่นำไปสู่จุดหมายนั้น เราสามารถที่จะเริ่มต้นรู้สึกซาบซึ้งกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมในตอนนี้ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับแนวทางที่เรากำลังเริ่มต้นเข้าใจเรื่องของความหลากหลายทางชีวภาพ. อุดมคติอเมริกันเกี่ยวกับเรื่องของเบ้าหลอม กำลังถูกแทนที่โดยทัศนะของชาวแคนาเดียนเกี่ยวกับ"ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในแบบโมเซอิค"(multicultural mosaic), ซึ่งแต่ละชิ้นของโมเซอิคมันมีคุณค่าในตัวของมันเอง และพร้อมกันนั้น มันก็เป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมดที่ยิ่งใหญ่กว่า.

บางที ด้วยเหตุผลที่ว่า มันเป็นความต้องการที่เปลี่ยนไปของชาวตะวันตก ซึ่งรู้สึกไม่มั่นคงสำหรับเรื่องความหมายและคุณค่าในแบบอเมริกานั่นเอง. เมื่อคุณพบตัวของคุณเองในสิ่งซึ่ง Eliot ได้อธิบายมานานแล้ว ในฐานะที่เป็นดินแดนแห่งความว่างเปล่าทางวัฒนธรรม(cutural westeland - ขาดเสียซึ่งจิตวิญญาน สุนทรียภาพ และคุณภาพความเป็นมนุษย์). ดินแดนเช่นนี้ ไม่ต้องการความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ต้องการความซึมซาบทางความรักของชุมชน. แต่ด้วยความเป็นมนุษย์, โดยธรรมชาติแล้ว คุณขาดสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ดังนั้นคุณจึงค้นหาสิ่งที่คุณกำลังขาดแคลนไป.

Allen Ginsberg ค้นหาพุทธศาสนา, และ Newt Gingrich ค้นหาคุณค่าต่างๆแบบวิคตอเรียน. ในหนทางที่แตกต่างกันของพวกเขา, ทั้งคู่กำลังรวบรวมบางสิ่งซึ่งสามารถที่จะเป็นตัวแทนสัญลักษณ์ที่สูงกว่า และให้อิสระแก่พวกเขาจากความหวาดกลัวของเส้นใต้ในบัญชีเงินฝากที่แสดงให้เห็นถึงกำไรหรือขาดทุน". ถ้าวัฒนธรรมทั้งหลายที่แตกต่างจากตัวเรา มันสามารถช่วยให้เราได้ค้นพบคำตอบต่างๆต่อปัญหาทั้งหลายของเรา, ทำไมเราจะไม่สำรวจมันล่ะ ?

ถ้าเผื่อว่า วัฒนธรรมของเราได้สูญเสียความรู้สึกทางด้านผัสสะบางอย่างในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ไป, หากเป็นเช่นนั้น เราสามารถที่จะค้นหาธาตุแท้ของชีวิตที่สูงส่งหรือมั่นคงกว่าได้ในอีกวัฒนธรรมหนึ่งได้ ไม่ใช่หรือ ?

โดยที่ได้ใช้ชีวิตไปกว่าครึ่งหนึ่งของข้าพเจ้าในวัฒนธรรมอื่นๆ, ข้าพเจ้าได้ยอมรับอย่างปลื้มปิติว่า มากแค่ไหนที่ข้าพเจ้าได้รับการช่วยเหลือโดยประสบการณ์อันนั้น. ในอินเดีย ศรีลังกา, เนปาล และอิหร่าน ข้าพเจ้าได้ค้นพบน้ำพุภายในของขนบประเพณีซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก 3 อย่าง: นั่นคือ ขนบประเเพณีของฮินดู, พุทธ, และอิสลาม. เนื่องจากผลอันนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เป็นนักโทษของอุโมงค์ทัศนะ(tunnel vision)ของวัฒนธรรมตะวันตกของตัวเองอีกต่อไป.

สำหรับคนหนุ่มสาวชาวตะวันตกที่เดินทางไปยังประเทศอินเดียในช่วงทศวรรษที่ 60-70, ขณะที่ข้าพเจ้ายังพำนักอยู่ที่นั่น(ผู้เขียนเคยเป็นเอกอัคราชฑูตในประเทศเอเชียต่างๆ), วัฒนธรรมดังกล่าวได้ช็อคพวกเขา แต่ความรู้สึกที่ปรับตัวไม่ได้ หรือความรู้สึกไม่คุ้นเคยกลับเพิ่มเป็นทวีคูณเมื่อเขาหวนกลับไปยังบ้านเกิด ความรู้สึกเช่นนี้มันมากยิ่งกว่าเมื่อตอนที่เขามาถึงประเทศอินเดียเสียอีก. สำหรับข้าพเจ้าก็ด้วยเช่นกัน, มันเป็นความรู้สึกประหลาดๆเมื่อค้นพบว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว ผู้ซึ่งได้จากบ้านมาหลายปีก่อนหน้านั้น. ยกตัวอย่างเช่น ข้าพเจ้ารู้สึกขึ้นมาในทันทีถึง ระดับหนึ่งของความสูญเปล่าและการบริโภคที่ฟุ่มเฟือย ซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป. มาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้ามีชีวิตด้านในอันหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าแทบไม่รู้สึกตัวเลย. วัฒนธรรมของข้าพเจ้าได้แปรเปลี่ยนไป. ข้าพเจ้าเป็นความหลอมละลายของตะวันออกและตะวันตก. และข้าพเจ้ารู้สึกว่านั้นเป็นอะไรทั้งหมด.

ถ้าหากว่านี่มันสามารถเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าได้ มันก็สามารถที่จะเกิดขึ้นกับคนเป็นล้านๆได้ ซึ่งสำหรับพวกเขาเหล่านั้นแล้ว พหุนิยมของวัฒนธรรมอันหลากหลายไม่ใช่เพียงแค่เป็นไอเดียอันหนึ่งเท่านั้น แต่มันเป็นประสบการณ์ที่ได้ไปเปลี่ยนแปลงและไปเพิ่มเติมชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาให้รุ่มรวยและอุดมสมบูรณ์มากขึ้น. ข้าพเจ้าเห็นมันเกิดขึ้นมากับคนเป็นจำนวนพันๆ ทั้งจากตะวันออกและตะวันตก, ผู้ซึ่งได้รับวัฒนธรรมของกันและกัน, และกำลังทำให้มีการปรับปรุงตัวเองของพวกเขาเองอยู่.

จากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ ซึ่งเกิดการหลอมละลายทางวัฒนธรรม, ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า มันจะไปช่วยวัฒนธรรมตะวันตกของพวกเราเองจากความเสื่อมทรามทางด้านจิตใจในทุกวันนี้ ขณะเดียวกันก็จะไปช่วยชาวเอเชียจำนวนมากจากความยากจนและทุพพลภาพ.

สำหรับคนเหล่านั้นที่กลัวว่า บริโภคนิยมแบบอเมริกันจะมีอิทธิพลไปทั่วโลก พวกเขากำลังต่อเติมเสริมแต่งความเข้มแข็งของวัฒนธรรมหนึ่งเกินความเป็นจริงไปในการส่งผ่าน, และก็กำลังประเมินการฟื้นคืนสู่สภาพปกติของวัฒนธรรมแบบจารีตต่ำเกินไป ซึ่งมันมีอายุมาไม่น้อยกว่า 2 หมื่นปี, ยาวนานกว่าความเบี่ยงเบนไปจากปกติสมัยใหม่นี้มาก. คำถามจริงๆคำถามเดียวก็คือ การหลอมละลายทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นมาตอนนี้ จะน้อมนำความเป็นมนุษย์ไปสู่ความเป็นชุมชนและการมีส่วนร่วม หรือนำไปสู่ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของลัทธิปัจเจกนิยมที่เลยเถิด ซึ่งไม่รู้อะไรเลยที่สูงไปกว่าตัวของมันเอง.

ความเจริญรุ่งเรืองที่เพิ่มขึ้นในเอเชียกำลังฝังรากความมั่นใจของผู้คนขึ้นมาในวัฒนธรรมของพวกเขา. เช่นดังความมหัศจรรย์ของทางเศรษฐกิจของเอเชี่ยน หลังจากการเชื่อมต่ออีกอันหนึ่ง ขบวนแถวต่างๆของความสะดวกสบายค่อนข้างมาก, พวกเขาเห็นถึงความบีบคั้นน้อยลงๆที่จะต้องเลียนแบบหุ่นจำลองต่างๆของอเมริกัน. บ่อยครั้ง ชาวตะวันตกได้วิเคราะห์อย่างผิดๆ เกี่ยวกับความคิดที่ว่า... สำหรับเอเชีย การที่จะก้าวไปข้างหน้านั้น พวกเขาจะต้องดำเนินรอยตามรอยเท้าของเราโดยการกลายเป็นตะวันตกมากขึ้น. นั่นดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สิ่งที่พึงปรารถนา หรือน่าจะเป็นไปของเอเชี่ยน.

สำหรับเอเชี่ยน มาถึงตอนนี้ เห็นแล้วว่าพวกเขาสามารถทำได้ดีในโลกโดยไม่ต้องสังเวยหรือบูชายัญวัฒนธรรมต่างๆของพวกเขาในกระบวนการดังกล่าวแต่อย่างใด. พวกเขาเห็นว่าจักรพรรดิ์ของอเมริกันไม่ได้สวมเสื้อผ้า - นั่นมันเป็นอะไรที่เขาควรที่จะหลบเลี่ยงไปเสียจากตัวอย่างของอเมริกัน. ผู้คนชาวเอเชี่ยนดูเหมือนจะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างใหม่ที่จะถือครอง ในสิ่งที่พวกเขาพบว่ามันเป็นประโยชน์ แต่ยังคงเชื่อถือได้ต่อรากเหง้าต่างๆของพวกเขา, และเป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับพวกเขาเอง. พวกเขากำลังเรียนรู้ที่จะเคารพให้เกียรติในความแตกต่างระหว่างตัวของพวกเขาเองและชาวอเมริกันทั้งหลาย, แทนที่จะขออภัย.

วัฒนธรรมอเมริกันไม่ใช่ฐานหินก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียว ซึ่งบางครั้ง มันปรากฎตัวภายนอกอย่างนั้น. ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงการรุกล้ำเข้าไปเกี่ยวกับศาสนาใหม่ต่างๆของเอเชีย, กระทั่งแม้แต่วิทยาศาสตร์ก็กำลังเปิดตัวอย่างน่าประหลาด เพื่อสนทนากับขนบประเพณีศาสนาอันยิ่งใหญ่. ยกตัวอย่างเช่น, รางวัล Templeton Prize อันมีชื่อเสียง (มูลค่า 1 ล้านเหรียญ)เมื่อเร็วๆนี้ ได้ให้กับ Dr Paul Davies, นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษที่สอนอยู่ในออสเตรเลีย, ผู้ซึ่งได้เห็นถึง การปรากฎตัวขึ้นมาของชีวิตและความสำนึก ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ที่มีนัยสำคัญมากเกี่ยวกับธรรมชาติของกฎต่างๆทางด้านฟิสิกส์โดยเฉพาะ ในจักรวาล การสร้างสรรค์ตัวเอง และ การรวมตัวมันเอง. และต่อมาภายหลัง David Bohm, นักฟิสิกส์ชาอเมริกันคนหนึ่ง (และผู้เขียนเรื่องมาลงและให้การสนับสนุนนิตยสาร Resurgence) ก็เป็นผู้ซึ่งมีอิทธิพลอย่างเข้มแข็งคนหนึ่งในการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา.

แน่นอน วัตถุประสงค์ของการสนทนากันอันนั้น เป็นการสำรวจตรวจตราเกี่ยวกับรากฐานที่มาพบกันทางวัฒนธรรม ซึ่งสามารถที่จะร่วมกันได้กับทุกๆวัฒนธรรม. เพียงโดยผ่านการสำรวจและพูดคุยกันอันนั้น เราสามารถที่จะสร้างวัฒนธรรมอันหนึ่งขึ้นมา ซึ่งกว้างขวางมากพอที่จะเป็นโมเซอิคทางวัฒนธรรมโลก, และเปิดกว้างพอที่จะยอมให้แสงสว่างส่องลงมาจากเบื้องบน...

James George เป็นเอกอัครราชฑูตเกษียณอายุ และผู้เขียนหนังสือเรื่อง
Asking for the Earth: Waking up to the Spiritual/Ecological Crisis.

เรียบเรียงจากนิตยสาร Resurgence ฉบับที่ 174 เดือนมกราคม/กุมภาพันธ์ 1996 (เผยแพร่ผ่าน website มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน - ไม่จำหน่าย)

back to midnight's home e-mail / midnightuniv@yahoo.com