Bmidtoon.jpg (29694 bytes)

 

WEBBOARD

1.TV.Program

2.Questionnaire

3. Information

4. Article and Knowledge  

5. Discussion

6. Schedule

7. Member

8. History

9. Alternative School

10. answer & Letter

11. art & movie

12. Webboard

13. midnight's report

14. midnight's special

15. psychology

16.link

17. criticism

18. creativity

19.art link

HOME

 

Banthology.jpg (12938 bytes)

อำนาจและพลังทางสังคม 3 ชนิด

หมายเหตุ ข้อมูลทั้งหมดนี้ เป็นการเก็บความมาจากการบรรยายของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ซึ่งบรรยายให้กับนักศึกษาของสถาบันพระปกเกล้าฯ (ที่เดินทางมาศึกษาภาคสนาม ณ เขตจังหวัดภาคเหนือ) ที่จังหวัดเชียงใหม่ ณ สวนบันรีสอร์ท อ.หางดง ในวันที่ 3 มิถุนายน 2543 เวลา 8.30 น. (ข้อมูลที่เก็บความมานี้ ได้มีการปรับปรุงขึ้นมาใหม่และจัดแยกหัวข้อตามที่ผู้เรียบเรียงเข้าใจ และประยุกต์ให้เข้ากันกับสื่ออิเล็คทรอนิค. ดังนั้น หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เรียบเรียงขอรับผิดชอบต่อข้อมูลเหล่านี้ที่นำเสนอ. สมเกียรติ ตั้งนโม)

  1. พลังทางสังคมออกเป็น 3 ส่วนคือ

  1. พลัง”พลานุภาพ” หมายถึงพลังอำนาจซึ่งมาจากการใช้กำลัง เป็นอำนาจของการใช้ความรุนแรงเข้าแก้ไขปัญหา พลังชนิดนี้ ยิ่งใช้ความรุนแรงมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เกิดความทุกข์ยากมากทั้งฝ่ายที่ถูกกระทำและฝ่ายที่กระทำ และในท้ายที่สุดผู้ใช้ความรุนแรงนั้นก็จะอยู่ไม่ได้. (สังคมที่ใช้พลังแบบ”พลานุภาพ”นี้ เป็นสังคมในรูปแบบที่เก่าแก่ที่สุด มีมาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน และมักเป็นสังคมที่ล้าหลัง)

  2. พลัง”ธนานุภาพ” หมายถึงพลังอำนาจซึ่งได้มาจากการใช้อำนาจทางการเงิน แทรกซึมเข้ามาในการแก้ปัญหา หรือเข้าแก้ปัญหาโดยตรง. อำนาจที่มาจากเงินนี้ไม่มีสัญชาติ แผ่ซ่านแทรกซึมไปได้ทั่วและซับซ้อน มีความแนบเนียนจนผู้ที่ถูกใช้อำนาจชนิดนี้ไม่ทันรู้ตัว ดังนั้น จึงเป็นอันตรายมากเพราะผู้ถูกกระทำไม่ทันได้ระวังตัวเหมือนกับคนที่ใช้ความรุนแรงกับเรา

  3. พลัง”สังคมานุภาพ” หมายถึงพลังทางสังคมหรือชุมชน บางท็เรียกว่า”ประชานุภาพ” พลังชนิดนี้เชื่อใน”อำนาจของความรู้”ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกัน ร่วมคิดร่วมทำ และการระดมสมองเพื่อเข้าแก้ไขปัญหาต่างๆ เป็นอำนาจในลักษณะของการประสานร่วมมือกัน อำนาจความรู้นี้มีความยั่งยืน. สำหรับ”สังคมานุภาพ”นี้ เป็นพลังอำนาจที่รวมตัวกันอยู่ในพื้นที่จริงทางภูมิศาสตร์หรือทาง cyber space ก็ได้ โดยผ่านสื่ออีเล็คทรอนิค ที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน พลังเช่นนี้จึงมาจากหลายแหล่งความคิด และมีอำนาจในการแก้ไขปัญหาทุกชนิด โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง

2. รูปธรรมโครงสร้างทางอำนาจ

    1. รูปธรรมทางโครงสร้างพลัง”พลานุภาพ” จะเป็นไปในลักษณะแนวดิ่งจากบนลงล่างตามลำดับ มีการสั่งการและมีผู้ปฏิบัติตาม. โครงสร้างทางอำนาจชนิดนี้มีลักษณะของผู้ชาย และอำนาจไม่ยั่งยืน กล่าวคือ เมื่อผู้มีอำนาจแบบนี้ตายลง โครงสร้างนี้ก็จะเสื่อมทรุดลง หรือบางครั้งก็พังครืนลงมา

    2. รูปธรรมทางโครงสร้างพลัง”ธนานุภาพ” มีลักษณะเป็นแนวดิ่งและแนวนอน ทั้งในลักษณะของการสั่งการของผู้มีอำนาจเงินมากกว่าลงมาตามลำดับ และการแพร่กระจายไปตามแนวนอนแบบเชื้อโรค อีกทั้งยังทำงานร่วมกับอำนาจแบบ”พลานุภาพ”ได้ด้วย ซึ่งจะทำให้อำนาจความรุนแรงเข้มข้นมากขึ้น. ส่วนการสืบทอดอำนาจนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

    3. รูปธรรมทางโครงสร้างพลัง”สังคมานุภาพ” จะเป็นไปในลักษณะแนวนอน และร่วมประสานความร่วมมือ อำนาจนี้มีความยั่งยืนกว่า และเป็นอำนาจแบบผู้หญิง คือถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่มีลักษณะของความเป็นผู้นำที่โดดเด่น หรือการสืบทอดอำนาจตลอดกาล

3. สังคมานุภาพ

สังคมานุภาพ เกิดขึ้นมาได้จากหลายๆสาเหตุ บางครั้งเริ่มต้นขึ้นมาจากการพยายามหาทางแก้ปัญหาร่วมกันในสิ่งที่นำมาซึ่งความทุกข์ อาจเริ่มจากความทุกข์ของปัจเจกชน และพัฒนาไปสู่การร่วมกันกับคนที่มีความทุกข์อย่างเดียวกัน และพยายามค้นหาทางออกพร้อมๆกัน. การร่วมทุกข์นี้ในทางพุทธศาสนาถือว่าจะทำให้ความรู้สึกทุกข์นั้นน้อยลง และที่สำคัญ การร่วมทุกข์ทำให้ได้มีการปรับทุกข์ ได้รับการปรึกษาหารือกัน จากหนักกลายเป็นเบา

4. หลักธรรมแห่งสังคมานุภาพ

ในทางพระพุทธศาสนา มีหลักธรรมที่นำมาประยุกต์ใช้ได้กับพลังแห่ง”สังคมานุภาพ”คือ หลักแห่ง”อปริหานิยธรรม”(หรือ ธรรมะที่ไม่ทำให้ฉิบหาย)[ปริหานิยธรรม – ธรรมแห่งความฉิบหาย] ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนให้มีการ”หมั่นประชุมกันเนืองนิจ”

ในหนังสือเรื่อง Making Democracy World : civic tradition of modern Itary เป็นหนังสือเกี่ยวกับการไปศึกษาเชิงเปรียบเทียบถึงความแตกต่างของประเทศอิตาลีว่า ทำไมเมืองมิลาโน ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี จึงมีความเจริญทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง, แต่พอมาศึกษาที่ซิซิลี ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ ทำไมจึงพบว่ามีแต่การคอรัปชั่น การฆ่ากัน การโกงกัน และมาเฟีย. ผมสรุปของการศึกษาเชิงเปรียบเทียบนี้ออกมาคือ เป็นเพราะเมืองมิลาโนมีประชาคม ในขณะที่ซิซิลีไม่มีประชาคม. การมีประชาคม ทำให้การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมดี มีศีลธรรม

สรุปทั้งหมดของหนังสือเล่มนี้ หากใช้คำพูดที่รวบรัดและสั้นที่สุดก็คือ “ประชาคม”, “ประชาสังคม”, และ”ความร่วมมือกัน”นั่นเอง

Bantho1.jpg (15267 bytes)

เก็บตกสาระ (Anthology)

  • เขื่อนกับการทำลาย / การสร้างเขื่อนกักน้ำขึ้นมาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้านั้น เพื่อนำไปใช้ในเชิงธุรกิจ อุตสาหกรรม และเกษตรกรรม เป็นการลงทุนให้กับเศรษฐกิจแบบกระแสหลัก โดยทำลายเศรษฐกิจแบบพอเพียงของผู้คนที่อยู่หลังเขื่อนนับเป็นหมื่นคนอย่างถาวร. การที่เราเข้าไปเดินในห้างสรรพสินค้าซึ่งติดแอร์คอนดิชั่นเย็นฉ่ำ เราเคยรู้สึกสำนึกไหมว่า ความสะดวกสบายเหล่านี้ที่ได้มา แลกมาด้วยความทุกข์และความตายอันเนื่องมาจากเขื่อนขนาดใหญ่ เบื้องหลังของความสบายของเรา คือความเดือดร้อนของผู้คนและการทำลายธรรมชาติที่อยู่หลังเขื่อน คนเล็กคนน้อยเหล่านี้เป็นผู้ที่ต้องจ่ายให้กับความสะดวกของคนในเมือง เพราะถูกผลกระทบ เช่น น้ำท่วมที่อยู่ที่ทำกิน ซึ่งได้อาศัยอยู่มาแต่เดิมนับชั่วอายุคนลงไปอย่างไม่มีวันเรียกคืนกลับมาได้ พันธุ์ปลาหายไปเป็นจำนวนมาก ปัญหาดินเค็ม เหล่านี้คือต้นทุนทั้งหมดที่ต้องนับรวมเข้าไปด้วยกับโครงการเขื่อน ซึ่งผู้ที่จ่ายไม่ได้ใช้ และผู้ใช้ไม่ได้จ่าย และสิ่งที่ต้องจ่ายเป็นต้นทุนเหล่านี้มันจึงไม่ใช่เพียงแค่งบประมาณในรูปตัวเงิน

  • ปลักควายคือแหล่งน้ำสุดท้าย และเป็นที่มาของความคิดบ่อปลาของพ่อสุก / คุณโสภณ สุภาพงษ์ ได้เล่าให้นักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าฯฟังว่า เคยไปถามเรื่องบ่อปลาของพ่อสุกว่า “ทำไมจึงเก็บน้ำเอาไว้ได้ ทั้งๆที่อยู่ในภาคอีสาน ?”. พ่อสุกอธิบายว่า ความเป็นครูของตน. เพราะตนเรียนรู้เรื่องนี้ได้โดยการสังเกตุปลักควายว่า สภาพอากาศในฤดูร้อนอย่างนี้ ทำไมปลักควายจึงยังมีน้ำอยู่ ทำไมมันจึงไม่แห้งเหือดไปเหมือนกันกับแหล่งน้ำอย่างอื่นๆ จากคำถามและข้อสงสัยนี้ทำให้ค้นหาคำตอบออกมาได้ว่า เป็นเพราะควายมันลงไปนอนกลิ้งเกลือกอยู่ในปลัก ในขณะที่มันนอนกลิ้งเกลือกเพื่อคลายความร้อนนั้น มันก็ได้ทำหน้าที่ยาก้นบ่อด้วยดินเหนียวไปในตัวด้วย ทำให้น้ำไม่ดูดซึมหายลงไปในดิน ทั้งหมดนี้ พ่อสุกสรุปว่า”ควายเป็นครูของตน, ควายกำลังสอนคน. หลังจากนั้นพ่อสุกจึงทำบ่อปลาของตนขึ้นมาโดยยาก้นบ่อด้วยดินเหนียว และบ่อปลาของพ่อสุกนั้นยังป้องกันเรื่องดินเค็มในภาคอีสานได้ด้วยทั้งนี้โดยการยกขอบบ่อขึ้นมา แทนที่จะเป็นการขุดลงไป

  • การกำหนดเส้นแบ่งของความยากจนในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี คุณโสภณ สุภาพงษ์ กล่าวถึงเส้นแบ่งความยากจนโดยอาศัยปริมาณของสารอาหารที่บริโภคเข้าไปในแต่ละวัน ด้วยการดูที่การได้มาซึ่งปริมาณแคลอรี่ที่บริโภคเข้าไปในแต่ละวัน และพบว่า ทุกๆ 4 คนที่เดินสวนกันกับเรา จะมี 1 คนที่เรียกว่าเป็นคนจนตามเส้นแบ่งนี้ ทั้งนี้เพราะคน 1 คนนั้น ได้แคลอรี่ต่อวันไม่ถึงมาตรฐาน, คน 1 คนนั้นจึงมีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ต่ำกว่าวัว เพราะวัวแต่ละตัวได้แคลอรี่จากอาหารที่มันบริโภคเข้าไปพอเพียง (เก็บความมาจากการบรรยายของคุณโสภณ สุภาพงษ์ ซึ่งบรรยายให้กับนักศึกษาของสถาบันพระปกเกล้าฯ ที่เดินทางมาศึกษาภาคสนาม ณ เขตจังหวัดภาคเหนือ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ณ สวนบันรีสอร์ท อ.หางดง ในวันที่ 3 มิถุนายน 2543)

 

Back to Home Next to Article