บทสนทนาระหว่าง Gregory Stock นักฟิสิกส์ชีวภาพ กับ Glenn McGee นักปรัชญาผู้สนใจหลักจริยธรรมชีวภาพ : บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 180
บทความแปล เรื่อง
"วิวาทะจริยธรรมสำเนาพันธุ์" โดย : ผศ. สดชื่น วิบูลยเสข / ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (17 ก.พ. 2545)
H
home
120545
release date

หากปราศเสียซึ่งกฎหมายห้ามหรือ
การลงโทษทางสังคมแล้ว เราจะมีคนไข้
IVF อายุ 63 ปี หรือแม่ผู้มีลูกครึ่งคนครึ่งลิงเอป หรือพ่อผู้ปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบครอบครัวของตนอยู่ในสังคมอย่างแน่นอน กฎหมายไม่ได้ถูกจารึกบนหิน มันเป็นเพียงเสาบอกทาง เป็นเครื่องมือที่เราใช้สร้างสิ่งกีดขวางที่สามารถแทรกซึมได้บ้างระหว่างคนรวย แพทย์ผู้รักษาและเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นไปได้แต่ยังมีปัญหาเชิงศิลธรรมกำกับอยู่ การสั่งห้ามเป็นเพียงสิ่งที่ใช้อุดช่องโหว่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่เอกสารสั่งประหาร

การออกกฎหมายห้ามงานด้านพันธุวิศวกรรม โดยใช้อ้างเหตุผลจากการคาดการณ์แบบหลวมๆที่หล่นมาจากฟ้า - เช่นตัวอย่างเรื่องเด็กครึ่งคนครึ่งลิงของคุณ - เปรียบได้กับการห้ามใช้แลบทอปเพื่อปกป้องเราจากสมองชั้นยอดที่จินตนาการเรื่องนิยายวิทยาศาสตร์ เราควรจะชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างอันตรายที่เกิดขึ้นทันทีและความเป็นไปได้ โดยไม่พยายามที่จะทำตัวให้เหมือนกับหญิงแก่ผู้มีหน้าที่ควบคุมอนาคตอันไกลที่ยังมองไม่เห็น

ภาพประกอบดัดแปลง ผลงานต้นฉบับของ Julio Galan หนึ่งในผลงานนิทรรศการที่จัดแสดงขึ้นที่ Galeria Ramis Barquet ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน - 2 พฤษภาคม 1998 : scan มาจากนิตยสาร Art in America ฉบับเดือนเมษายน 1998่ / นำมาใช้ประกอบบทความทางวิชาการ บริการฟรีของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

การสำเนาพันธุ์มนุษย์ และเสรีภาพในการสืบสายพันธ์ - มุมมองของทนายความ
แปลโดย ผศ.สดชื่น วิบูลยเสข คณะวิทยาศาสตร์ มช.

รัฐสภากำลังพิจารณาร่างกฏหมาย "ฉุกเฉิน" เพื่อทำให้การใช้เทคโนโลยีสำเนาพันธุ์ในการมีบุตรเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย ฝ่ายตั้งป้อมค้านการออกกฏหมายดังกล่าวให้เหตุผลโดยการกล่าวอ้างถึงสิ่งที่เรียกว่า "คุณค่าของสามัญชนอเมริกัน" ก่อนที่เราจะทำให้เด็กที่เกิดมาจากการสำเนาพันธุ์เป็นเด็ก "ผิดกฏหมาย" สิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งคือ ผลักกระแสบ้าคลั่งที่ครอบงำสังคมอยู่ในปัจจุบันออกไปเสียก่อน และร่วมกันพิจารณาอย่างมีเหตุผลถึง "คุณค่าของสามัญชนคนอเมริกัน" สองประการที่เรากำลังมองข้ามไป กล่าวคือ สภาวะความเป็นแม่ และเสรีภาพในการสืบสายพันธุ์

ทำไมใครคนใดคนหนึ่งจึงต้องการถูกสำเนาพันธุ์?
คนอเมริกันไม่น้อยกว่า 15% ต้องทุกข์ทรมานจากการไม่สามารถมีบุตรได้ และอาการส่วนใหญ่ไม่อาจรักษาด้วยวิธีการทางแพทย์แผนปัจจุบัน ตัวอย่างเช่นรายงานผู้บริโภค ของคลินิกรักษาผู้มีบุตรยากแสดงว่า IVF และ เทคโนโลยีอื่นๆที่คล้ายคลึงกันใช้ได้กับคนไข้เพียง 25% เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า มีคนอีกหลายล้านคนที่ไม่อาจมีลูกได้ และบ่อยครั้งมาจากสาเหตุว่าเขาเหล่านั้นไม่สามารถผลิตไข่หรือสเปิร์มได้แม้จะใช้ยากระตุ้น แล้วก็ตาม จนถึงปัจจุบัน ทางเลือกทางเดียวของคนเหล่านี้คือ รับอุปการะเด็กเป็นลูกบุญธรรม หรือใช้ไข่หรือเสปิร์มที่คนแปลกหน้าบริจาคให้

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ทางเลือกเพื่ออุดมศึกษาไท : บทความชิ้นนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการ กรุณาอ้างอิงแหล่งที่มาตามสมควร : พค. 45

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ


Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ

สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิก member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
ข้างล่างของบทความชิ้นนี้

หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545@yahoo.com
midnightuniv@yahoo.com

อย่างไรก็ตาม ในโลกที่ได้รับพรจากการสำเนาพันธุ์ เราไม่ต้องการไข่หรือเสปิร์มที่ยังมีชีวิตเพื่อก่อเกิดชีวิตเด็กในครรภ์ - เซลล์ใดๆจากร่างกายก็ใช้ได้ทั้งสิ้น ดังนั้น การสำเนาพันธุ์จึงนำสิ่งที่คนอื่นๆถือเป็นเรื่องตายอยู่แล้ว - คือโอกาสที่จะมีลูก ทะนุถนอมเลี้ยงดูลูก และที่สำคัญยิ่งคือโอกาสที่จะได้รักลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขมาจากสายพันธ์แท้ของตนเอง มามอบให้กับคู่สามีภรรยาที่มีปัญหาด้านการมีบุตรแต่เดิม

ในการทำสำเนาพันธุ์ พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่จะเป็นผู้ให้ DNA ทำให้เด็กที่เกิดมาเป็นคู่แฝดพันธุกรรม อย่างแท้จริง อเมริกามีคู่แฝดเหมือนกันอยู่แล้วถึง 1.5 ล้านคู่ ซึ่งหาได้เหมือนกันทุกประการไม่ คู่แฝดเหล่านี้มีโครงสร้างสมองที่แตกต่างกัน มี IQ ต่างกัน มีลายนิ้วมือต่างกันและมีบุคคลิกภาพต่างกัน ฯลฯ

นอกจากนี้ เด็กสำเนาพันธุ์จะแตกต่างจากบิดามารดามากกว่าที่คู่แฝดเหมือนกันทุกประการต่างกัน ไข่จากผู้บริจาค(ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำสำเนาพันธุ์) จะมีส่วนในยีนส์ของเด็กประมาณ 5% เท่านั้น เด็กจะมีพัฒนาการในมดลูกที่ต่างออกไป(ซึ่งมีผลมากต่อการเติบโตของรก) และได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวใหม่ ทศวรรษใหม่ และโลกใหม่

กล่าวโดยย่อ เด็กที่ปฏิสนธิจากการสำเนาพันธุ์ มิได้เป็น "สำเนาถ่ายเอกสาร" ของผู้ใด พวกเขาเป็นเด็กซึ่งจะเจริญเติบโตขึ้นเป็นปัจเจกหนึ่งเดียว นี่คือสิ่งที่ทำให้การสำเนาพันธุ์มีค่าจูงใจคนอเมริกันหลายล้านคน ซึ่งมิฉะนั้นย่อมหมดโอกาสที่จะมีบุตรจากสายพันธ์ของตนเองได้ สำหรับคนผู้น่าสงสารเหล่านี้ การสำเนาพันธุ์หมายถึงสภาวะการเป็นแม่คนนั่นเอง

การสำเนาพันธุ์ และรัฐธรรมนูญ
ศาลสูงสหรัฐอเมริกาบัญญัติว่า คนอเมริกันทุกคน ทรงไว้ซึ่งสิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งประเทศที่จะ "มีหรือเสาะหามาซึ่ง" บุตรผู้สืบสกุล และตัดสินใจได้เองโดยปราศจากการแทรกแซงจากรัฐบาล บัญญัตินี้หมายรวมถึงสิทธิของคู่สามีภรรยาซึ่งไม่สามารถมีบุตรได้ที่จะเลือกใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ซับซ้อนละเอียดอ่อนเช่น IVF ดังที่ศาลแห่งหนึ่งให้คำอธิบายไว้ "ภายในกลุ่มของทางเลือกที่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญซึ่งรวมสิทธิที่จะเข้าถึงวิธีการคุมกำเนิดไว้ด้วยนั้น ต้องมีสิทธิที่จะใช้วิธีการทางการแพทย์ซึ่งทำให้ตั้งครรภ์ได้ด้วย แทนที่จะป้องกันการตั้งครรภ์อย่างเดียวเท่านั้น"

สำหรับคนอเมริกันจำนวนมาก เทคโนโลยีการสำเนาพันธุ์ที่ได้รับการศึกษาค้นคว้าจนสมบูรณ์แล้วเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้พวกเขาได้ใช้สิทธิในการสืบสายพันธุ์ สิ่งที่เขามองเห็นคือการออกกฏหมายห้ามใช้เทคโนโลยีสำเนาพันธุ์นั้นเทียบได้กับการบังคับให้ทำหมัน ศาลสูงใช้อำนาจศาลยกเลิกกฏหมายทำหมันกับอาชญากรที่ต้องโทษ โดยพิจารณาว่า "กฏหมายนี้ขัดกับหนึ่งในสิทธิพื้นฐานของความเป็นคน" แน่นอน อย่างน้อยที่สุดพลเมืองพิการ(ศาลบางแห่งกำหนดให้คนที่ไม่สามารถมีบุตรได้เป็นคนพิการ) ก็ควรมีสิทธิที่จะมีบุตรเท่าเทียมกับนักโทษคดีข่มขืนและใช้เด็กเพื่อสนองความต้องการทางเพศ

มีขีดจำกัดในการที่รัฐบาลจะควบคุมการเกิดด้วยเช่นกัน คณะลูกขุนไม่สามารถพิพากษาหรือออกคำสั่งได้ว่าเด็กคนใดคนหนึ่งไม่เป็นที่ปรารถนาหรือไม่สมบูรณ์พอที่จะเกิด นั่นเป็นกฏหมายคัดสายพันธ์ที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ นักการเมืองกำลังแสดงบทบาทพระผู้เป็นเจ้าอยู่

สรุปความคือระบบกฏหมายที่ยินยอมให้คนอเมริกันที่สุขภาพดีมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการทำแท้ง แต่กีดกันคนสุขภาพไม่สมบูรณ์จากความรื่นรมย์ที่จะได้จากการมีบุตร อาจจะดูดีในความคิดของนักการเมืองจำนวนมาก แต่ไม่มีวันที่กฏหมายนี้จะเดินทางไปถึงสภานิติบัญญัติได้สำเร็จ แม้ในครั้งแรก

ปลอดภัยไว้ก่อน- หรือเพียงข้ออ้าง?
เมื่อรัฐบาลพยายามจะทำให้การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ - เช่นการมีบุตร - เป็นเรื่องผิดกฏหมาย รัฐบาลก็มีภาระที่จะต้องพิสูจน์ต่อประชาชนว่ากฏหมายเป็นสิ่ง "จำเป็น" เพื่อ "ประโยชน์สูงสุดต่อรัฐ" ตาม "วิถีที่จำกัดน้อยที่สุด" เท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้ารัฐบาลล้มเหลวในภาระกิจนี้ ศาลสูงต้องพิพากษาให้กฏหมายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ความกังวลที่มีพื้นฐานจากปรัชญาความคิด หรือศาสนา หรือการคาดการณ์ ไม่มีน้ำหนักทางกฏหมายหรือมีน้อยมาก ผู้ไม่เห็นด้วยกับการสำเนาพันธุ์จึงเหลือข้อโต้แย้งที่อ่อนเปียกเพียงหนึ่งข้อเท่านั้น - คืออย่างน้อยที่สุด ในสถานะเริ่มแรกเช่นนี้ เทคโนโลยีสำเนาพันธุ์ยังไม่ปลอดภัยพอ

แต่การแย้งเรื่อง "ความปลอดภัย" เป็นเพียงข้ออ้าง - เป็นคำแก้ตัวที่ใช้เพื่อทำให้บางสิ่งบางอย่างที่นักการเมืองไม่สบอารมณ์ จะด้วยเหตุผลใดก็ตามกลายเป็นเรื่องผิดกฏหมาย เมื่อพิจารณาร่างกฏหมายที่นักการเมืองเหล่านี้เสนอต่อสภา จะเห็นว่าไม่มีที่ใดเลยที่บอกถึงวิธีการที่ใช้ตัดสินว่า เมื่อใดเทคโนโลยีการสำเนาพันธุ์จึงจะ "ปลอดภัย" หรือเมื่อใดจึงจะยกเลิกกฎหมายห้ามหลังจากที่รู้ว่าเทคโนโลยีนี้ปลอดภัยแล้ว

นอกจากนี้กฏหมายห้ามที่ได้รับการเสนอนี้ยังขัดขวางกีดกันการทำวิจัยและการทดลองเชิงคลินิกกับคนซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อทำให้การสำเนาพันธุ์นี้ปลอดภัย

ลองเปรียบเทียบสิ่งที่กล่าวมานี้กับวิธีการรักษาของการแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งยังอยู่ในขั้นทดลองกับสัตว์และยังไม่พร้อมที่จะใช้กับมนุษย์อย่างปลอดภัย แต่ไม่เคยมีใครเสนอให้ห้ามการทดลองเหล่านี้ หรือออกข่าวเชิงตระหนก เพื่อข่มขวัญนักวิจัย ให้เลิกค้นหาวิธีที่จะทำให้เทคโนโลยีการสำเนาพันธุ์มีความปลอดภัย น้อยครั้งมากในประวัติศาสตร์ ที่ความก้าวหน้าทางการแพทย์จะเป็นสิ่งถูกกฏหมาย ถ้านักวิจัยต้องพิสูจน์ถึงความปลอดภัยของเทคโนโลยี ตั้งแต่ก้าวแรกที่เริ่มทดลองกับสัตว์

นอกจากนั้น ข้อโต้แย้งเรื่อง "ความปลอดภัย" ยังเพิกเฉยต่อประเด็นว่า ใครจะเป็นผู้ตัดสินว่าอัตราเสี่ยงเท่าใด จึงจะถือว่ายอมรับได้สำหรับแม่และเด็ก ในอเมริกาผู้ที่ตัดสินใจคือผู้ที่เป็นพ่อและแม่ ไม่ใช่รัฐบาล หรือแม้แต่ในกรณีที่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดอันตราย แน่นอนกว่าและร้ายแรงกว่าอันตรายที่มาจากการสำเนาพันธุ์

ตัวอย่างเช่น IVF และยาที่ทำให้มีบุตรได้ เป็นยาที่ถูกกฏหมาย แม้ว่ายาเหล่านี้จะทำให้มีอัตราเสี่ยงของการแท้ง หรือมีความไม่สมประกอบขณะคลอดสูงขึ้น แม้แต่คนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือทางจิต มารดาที่อายุมากและเสี่ยงต่อการที่ลูกที่เกิดมาจะเป็นโรค Down Syndrome และแม้แต่แม่ที่มีเชื้อเอดส์ ทั้งหมดนี้ได้รับอนุญาตให้มีบุตรสืบสายพันธุ์ได้ ทั้งแบบธรรมชาติและแบบ IVF แม้ว่าจะเสี่ยงต่อการที่ลูกที่เกิดมาจะพิการหรือป่วยอย่างร้ายแรง และถึงแม้รัฐต่างๆหลายรัฐจะมีกฏหมายการสืบสายพันธุ์ ซึ่งกำหนดให้มีการทำหมันคนปัญญาอ่อน (เพื่อป้องกันไม่ให้มีเด็กปัญญาอ่อนเพิ่มขึ้น) แต่กฏหมายดังกล่าวได้ถูกล้มล้างและยกเลิกไปนานแล้ว

คำถามที่แท้จริง
นักปรัชญาอาจคาดการณ์เกี่ยวกับนัยที่แอบแฝงของการสำเนาพันธุ์ แต่มีคำถามเพียงข้อเดียวเท่านั้นสำหรับนักการเมือง: ใครควรเป็นผู้ตัดสินว่าคนคนหนึ่งควรมีลูกหรือไม่และด้วยวิธีใด? ตัวเขาเอง หรือรัฐบาล? อันที่จริง คำถามนี้เป็นคำถามลวง รัฐธรรมนูญยินยอมให้มีคำตอบได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น!

บทความโดย Mark D. Elbert : ทนายความผู้มีสำนักงานทางกฏหมายอยู่ที่เมือง San Mateo, มลรัฐคาลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา / แปลและเรียบเรียงจาก: Section 6, The Cloning Newsletter: May 2001

http://www.reproductivecloning.net/updates.htm

 

สำเนาพันธุ์มนุษย์(cloning) - ใกล้เพียงมือคว้า

ท่านเป็นคนหนึ่งใช่ไหมที่คิดว่าเรื่องการสำเนาพันธุ์มนุษย์เป็นเรื่องไกลตัว และยังไม่เกิดขึ้นแน่ อย่างน้อยก็ในช่วงอายุเรา(คนหนุ่มน้อย สาวน้อย) แต่…..รู้ไหมว่า…..

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2545 บริษัท Stem Cell Sciences ในออสเตรเลีย เปิดแถลงข่าวว่า พร้อมแล้วที่จะสำเนาพันธุ์ตัวอ่อนของคน เพื่อใช้เป็นแหล่งผลิต stem cells สำหรับงานวิจัย และคาดว่าคงจะเริ่มงานได้ปลายปีนี้ เหตุผลที่ยังไม่ทำตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องวิชาการ แต่เกี่ยวกับการจดลิขสิทธิ์เทคโนโลยีซึ่งจะลงตัวเรียบร้อยประมาณกลางปี ค.ศ.2545 (stem cells : เซลล์ที่มีความสามารถที่จะแบ่งตัวได้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ และเกิดเป็นเซลล์พิเศษ)

คำแถลงของบริษัท Stem Cell Sciences อ้างอิงถึงความสำเร็จของนักวิจัยสตรีชาวจีน ซึ่งได้โคลนตัวอ่อนคนทำเป็น stem cells ได้แล้ว โดยใช้เทคนิกสำเนาพันธุ์เชิงอายุรเวท (therapeutic cloning - การสำเนาพันธุ์เชิงอายุรเวท: การสำเนาพันธุ์โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในการรักษาบำบัดทางการแพทย์) ที่ร่วมพัฒนาโดยนักวิจัยจาก Melbourne เมื่อสองปีก่อน แน่นอน เงินสนับสนุนการวิจัยย่อมมาจากบริษัท Stem Cells Sciences งานของนักวิจัยกลุ่มนี้บ่งชี้ว่า นอกจากใช้ได้ดีกับคนแล้ว ยังสามารถใช้เทคนิคนี้กับสัตว์เพื่อจัดหาเนื้อเยื่อที่ไปกันได้กับการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อใหม่อีกด้วย

"เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ที่การค้นพบซึ่งเกิดขึ้นในประเทศออสเตรเลีย(ในหนู) ดูเหมือนจะใช้ได้กับระบบของคนด้วย" Dr. Peter Mountford ประธานกรรมการบริหารของบริษัท Stem Cell Sciences กล่าวในตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2545

"ทีมวิจัยชาวจีนใช้เทคนิคซึ่งบริษัท Stem Cell Sciences มีลิขสิทธิ์แต่ผู้เดียว" Dr. Mountford กล่าวในตอนหนึ่งของคำแถลงว่า "ความสำเร็จของงานวิจัยนี้เป็น "ก้าวย่างที่สำคัญของมนุษยชาติ" Dr. Mountford กล่าวต่อไปอีกว่า นักวิจัยควรได้รับอนุญาตให้ใช้ไข่ตัวอ่อนของสัตว์ เช่นเดียวกับไข่ของคน ดังที่ทีมวิจัยของจีนอีกทีมหนึ่งได้ทำไว้แล้ว เพื่อป้องกันการขาดแคลนไข่ตัวอ่อนของคน

ในงานวิจัยของ Melbourne stem cells ทั้งหมดของมนุษย์ได้มาจากตัวอ่อนส่วนเกินของ IVF (in vitro fertilization : เทคนิกสำหรับการปฏิสนธิของตัวอ่อนมนุษย์นอกร่างกายของแม่ ไข่จากรังไข่ถูกนำมาไว้ในจานเฉพาะ(Petri dishes)สำหรับเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในห้องปฏิบัติการ แล้วปล่อยเสปิร์มจากพ่อลงไป ถ้าการปฏิสนธิสำเร็จ ไข่ที่ผสมแล้วและเกิดการแบ่งเซลล์หลายครั้งแล้วนี้ จะถูกถ่ายโอนกลับเข้าไปในร่างกายของมารดาหรือของ "แม่รับฝาก" เพี่อให้เจริญเติบโตตามปกติในมดลูก หรือมิฉะนั้น ก็อาจนำไข่ที่ผสมแล้วนี้ไปแช่แข็งไว้เพื่อปลูกถ่ายต่อไปภายหลัง หรือในทำนองเดียวกัน อาจแช่แข็งไข่ที่ยังไม่ผสมเก็บไว้เพื่อการผสมและปฏิสนธิภายหลังก็ได้เช่นกัน) นักวิจัยคาดว่า stem cells ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นเนื้อเยื่อชนิดใดก็ได้ในร่างกาย จะเปิดประตูสู่การรักษาแบบใหม่สำหรับโรคเบาหวาน(diabetes) โรคสมองเสื่อม (Alzheimer's) และโรคประสาทสมอง(motor neurone disease)

ทีมวิจัยของจีนซึ่งนำโดย Lu Gangxiu แห่งวิทยาลัยแพทยศาสตร์ Xiangya ไม่ได้เผยแพร่ผลงานวิจัยของกลุ่มในวารสารวิทยาศาสตร์ ศาสตราจารย์ Lu ผู้เป็นเจ้าของคลินิก IVF บอกกับหนังสือพิมพ์ Wall Street ว่า ตัวอ่อนสำเนาพันธุ์เพียง 5% เท่านั้น ที่รอดชีวิตไปสู่สถานะที่สามารถใช้สร้าง stem cells ได้ (สถิติเดิมเมื่อใช้เทคนิกอื่น 2.1%)

หลายรัฐในประเทศออสเตรเลียไม่มีกฏหมายห้ามการสำเนาพันธุ์เชิงอายุรเวท แต่รัฐบาลกลางเสนอให้พักการวิจัยสำเนาพันธุ์ไว้ก่อนเป็นเวลา 3 ปี

Dr. Mountford กล่าวว่า เมื่อบริษัทของเขาได้จดลิขสิทธิ์เทคโนโลยีนี้จากมหาวิทยาลัย Melbourne และมหาวิทยาลัย Monash แล้วเช่นนี้ ก็สมควรจะทำวิจัยในประเทศออสเตรเลีย แต่การทำเช่นนั้นคงจะไม่เหมาะสมนัก ขณะที่รัฐบาลยังคงอยู่ในขั้นตอนของการร่างกฏและระเบียบข้อบังคับอยู่ ดังนั้นบริษัทจึงเปลี่ยนสถานที่ทำวิจัยเป็นประเทศอังกฤษ ซึ่งยินยอมให้มีการวิจัยสำเนาพันธุ์เชิงอายุรเวทได้ โดยจะเริ่มงานราวปลายปีนี้

ขณะเดียวกัน Greg Pike แห่งสถาบันจริยธรรมชีวภาพ Southern Cross ใน Adelaide แสดงความเห็นว่า การสร้างตัวอ่อนสำเนาพันธุ์มนุษย์ขึ้นมา เพื่อไปถูก "ฆ่าทำลาย" ในงานวิจัยนั้น เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น "ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนในฐานะมนุษย์คนหนึ่งจะต้องอธิบายความหมายของการกระทำเช่นนี้สำหรับระบบคุณค่าของมนุษยชาติ"

ที่มา: ข่าว AP 08/03/2002

 

ทัศนะส่วนตัว : สดชื่น วิบูลยเสข

หลักการ "ระวังภัย" ของวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่เกิดความไม่แน่นอนเชิงวิทยาศาสตร์ และท่านสงสัยว่าจะเกิดอันตรายขึ้น จงถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว หยุดพิจารณาและปฎิบัติทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง

คนกลุ่มหนึ่งผลักดันให้รีบเร่งดำเนินเทคโนโลยีสำเนาพันธุ์มนุษย์เพราะต้องการมีบุตร เทคโนโลยีถูกขับดันด้วยตลาดความต้องการ นักวิทยาศาสตร์ย่อมรู้ดีว่าไม่ควรใช้เทคโนโลยีจนกว่าจะมั่นใจว่าปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ การมั่นใจมาจากผลการทดลองกับสัตว์

คราวนี้มาถึงทางสองแพร่ง, แพร่งที่หนึ่ง ควรไหมที่มนุษย์จะไฝ่หาความเจริญ ความสุข ความอยู่รอดของตนเองโดยการเอาประโยชน์จากสัตว์ เพราะสัตว์ขัดขืนไม่ได้? สัตว์มีสิทธิที่จะไม่เป็นเครื่องทดลองให้มนุษย์ไหม? องค์กรพิทักษ์สิทธิของสัตว์แห่งโลกคงจะให้คำตอบเอง

ถ้าถามดิฉัน ดิฉันว่าไม่ควร คำตอบชัดอยู่ในตัวเองแล้ว เมื่อแม้แต่กับสัตว์ยังไม่ควร แล้วกับตัวอ่อนของคน จะควรหรือไม่?

แพร่งที่สอง แพทย์ทั่วโลกยินดีจะรอจนกว่าจะมีหลักฐานยืนยันว่าเทคโนโลยีโคลนนิงปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในสัตว์ก่อนไหม?

ตัวอย่างมีให้เห็นอยู่แล้วจากเรื่องของ เทคโนโลยี ICSI เมื่อไม่เกินสิบปีมานี้. ICSI เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อเอาชนะสภาพการไม่สามารถมีบุตรได้(infertility) แพทย์ใช้เทคโนโลยีนี้กับคนไข้ที่ต้องการมีบุตรอย่างผลีผลามโดยไม่รอการพิสูจน์ว่า จะทำให้เกิดความไม่สมประกอบในการคลอด การคลอดก่อนกำหนด หรือผลเสียอื่นๆหรือไม่ ผลคือความสูญเสียที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สำเนาพันธุ์คือการดึงเอา genetic material จากเซลล์ที่เจริญแล้วมาใส่ในไข่ที่ได้เอา genetic material เดิมออกแล้ว ภายใต้เงื่อนไขที่พอเหมาะ ไข่จะพัฒนาเป็นตัวอ่อนแล้วแบ่งตัวเป็นเซลล์หลายเซลล์ ซึ่งเมื่อใส่กลับเข้าไปในมดลูกก็จะพัฒนาเป็นตัวอ่อนในครรภ์ และเป็นเด็กในที่สุด เด็กสำเนาพันธุ์ก็จะสัมพันธ์กับพ่อหรือแม่คนเดียวแทนที่จะเป็นทั้งสองคน เมื่อแม่เลือกวิธีนี้สำหรับมีลูก อาจกล่าวได้ว่าลูกเป็นน้องสาวพันธุกรรมของแม่ แต่สังคมไม่พูดอย่างนั้น เช่นเดียวกับที่ถ้าพ่อของเรามีฝาแฝด ที่เหมือนกันทุกประการ อาหรือลุงของเราก็เป็นพ่อทางพันธุกรรมของเราด้วย แต่แน่นอน สังคมไม่ได้ใช้คำเรียกอย่างนั้น

หลายคนวิตกว่าเมื่อมีการสำเนาพันธุ์มนุษย์ จะมีพวกหลงตัวเองที่ต้องการจะโคลนตัวเองไว้ให้เป็นอมตะนิรันดร์กาล แต่ความจริงคือ การสำเนาพันธุ์ไม่ได้วิเศษขนาดนั้น สิ่งที่ได้คือเด็กที่หน้าตาเหมือนเขาแต่อาจจะไม่เชื่อฟังเขาเลยก็ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่พ่อแม่สำเนาพันธุ์จะได้คือลูก ก็เท่านั้นเอง พ่อแม่สำเนาพันธุ์ไม่สามารถควบคุมบงการชีวิตลูกสำเนาพันธุ์ของเขาได้ หน้าที่ประการแรกของนักวิทยาศาสตร์คือต้องส่งข้อสนเทศนี้แก่สังคมให้ชัดเจนและแพร่หลายที่สุด

ดังนั้น ใครที่คิดจะสำเนาพันธุ์ อ.นิธิ , คุณอาจจะได้เด็กที่หน้าตาเหมือน อ.นิธิ แต่ แม่…งทำร้ายสังคมชิบหา….ยเลยก็ได้(นี่พูดสำนวนสำเนาพันธุ์ อ.นิธิมานะคะ) ส่วนคนที่อยากสำเนาพันธุ์ Madonna (ถ้า Madonna เห็นแก่เงิน 70 เหรียญสหรัฐ ยอมบริจาคไข่พันธ์) คุณอาจจะได้เด็กที่เหมือนเธอทางพันธุกรรมทุกประการ แต่ไม่มีทางที่เด็กคนนั้นจะได้ขึ้นติดอันดับ pop chart เพราะว่า Madonna เป็นอะไรที่มากกว่ายีนส์ของเธอ เธอฝึกซ้อมเต้นหนักมากมาก ยีนส์เป็นเพียงโครงกรอบและศักยภาพ แต่เอกลักษณ์มีส่วนอื่นประกอบด้วย

สิ่งที่น่าเกรงเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้มีหลายประการ แต่ที่น่ากลัวมากที่สุดอย่างหนึ่งคือ พ่อแม่ย่อมอยากให้ความได้เปรียบ หรือประโยชน์แก่ลูก ในสังคมที่พื้นฐานจิตใจของคนมองทุกอย่างเป็นการซื้อขาย เรายอมรับว่าพ่อแม่ที่มีเงินย่อมซื้อความได้เปรียบให้ลูกได้มากกว่าพ่อแม่ที่ไม่มีเงิน เพราะฉะนั้น เรื่องแบบนี้ก็จะเกิดในการสำเนาพันธุ์ด้วย และแน่นอน มียีนส์ที่ได้เปรียบหรือดีกว่ายีนส์อื่น เช่นความได้เปรียบที่ทำให้อายุยืน ลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็ง การวิกลจริต เป็นต้น เด็กสำเนาพันธุ์ที่มาจากพ่อแม่มีเงินก็จะได้รับประโยชน์นี้ และเด็กสำเนาพันธุ์ที่พ่อแม่ไม่สามารถ"ซื้อ" ได้ก็จะเสียเปรียบ นั่นคือช่องว่างในสังคมระหว่าง กลุ่ม "มี" และ "ไม่มี" ก็จะกว้างยิ่งขึ้น

อีกเรื่องหนึ่งที่น่าเกรงพอๆกันคือ ความผูกพันระหว่างพ่อแม่กับเด็กสำเนาพันธุ์ พ่อแม่บางคนอาจทุ่มเงินซื้อหรือเพิ่มศักยภาพยีนส์ให้ลูกสำเนาพันธุ์ เพราะคิดว่าลูกจะมีปรีชาญาณ ฉลาดเฉลียว มีความจำดีกว่า ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้ ถ้าเราเข้าใจมากพอว่ายีนส์มีผลต่อความฉลาดอย่างไร แต่เราไม่ทราบ เพราะฉะนั้น เงินที่พ่อแม่จ่ายไปเพื่อการนี้ จึงเป็นเพียงไปเพิ่มโอกาสที่จะฉลาดเท่านั้น ไม่มีใครรับรองได้ ถ้าพ่อแม่ตั้งความหวังไว้สูง และไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ความรู้สึกของพ่อแม่ต่อลูกที่ไม่แสดงความเด่นของยีนส์ออกมาจะเป็นเช่นไร จะควบคุมความผิดหวังไม่ให้แสดงออกเป็นผลร้ายต่อลูกได้หรือไม่

นี่คือผลต่อเนื่องจากการสำเนาพันธุ์ ซึ่งทุกคนตั้งแต่นักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง จนถึงแพทย์ในคลินิก โรงพยาบาล พ่อแม่ที่ตัดสินใจจะมีบุตรสำเนาพันธุ์ ตลอดจนสังคมต้องช่วยกันคิด เพราะ สำเนาพันธุ์มนุษย์นั้น---ใกล้เพียงมือคว้า

 

คลิกไปหน้าบทความที่เกี่ยวเนื่องกัน

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา I webboard

e-mail : midnightuniv@yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv@yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545@yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้

1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด หรือ Ctrl + A
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V จะได้ข้อมูลมา ซึ่งยอหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ

(บทความนี้ยาวประมาณ 7 หน้ากระดาษ A4)

 

 

 

ความยาวประมาณ 8 หน้ากระดาษ A4
180/2
B
back