Subject : บทสนทนาเรื่อง ความสุข 4 (ท่าทีต่อชีวิตและความตาย) กระบวนวิชา ความสุข 101 ของ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน มิถุนายน 2542 ณ สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Date : Tue, 29 Jun 1999 14:21:27 +0700
ทำไมกระบวนวิชาความสุขจึงไปเกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายได้ ก็เพราะเราส่วนใหญ่เข้าใจกันว่าความตายเป็นทุกข์ ความตายเป็นสิ่งที่ควรจะหลีกหนี ความตายเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาพูดถึง ท่าทีเช่นนี้เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นมาหรือเปล่ากับปรัชญาสุขนิยม บริโภคนิยม หรือเกิดมาพร้อมกับพัฒนาการทางการแพทย์แผนใหม่ ? อะไรคือความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ อะไรคือท่าทีที่ถูกต้องสำหรับสิ่งที่น่ากลัวข้างต้น (ช่วงที่หนึ่ง : ท่าทีต่อชีวิต, การทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตโดยผ่านความรู้ด้านหัตถศาสตร์ไทย และทัศนะต่อความสุขเรื่องเพศ)
ท่าทีต่อชีวิตและความตาย
สมเกียรติ : เมื่อคืนนี้พอดีผมได้คุยกับพี่วัลลภ และก็รู้สึกว่าผมคิดอะไรบางอย่างหลังจากที่สนทนากับพี่วัลลภ คือผมรู้สึกว่าลักษณะของการพูดคุยของเรามันช่วยสกัดเราขึ้นมาให้มีรูปมีร่าง ผมอยากจะเปรียบเทียบง่าย ๆว่าพวกเราทุกคนคล้าย ๆ กับหินก้อนหยาบ ๆ ก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ซึ่งไม่มีรูปร่างอะไรที่ชัดเจน การได้พูดคุยสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ หรือว่าถกเถียงกันมันเหมือนกับการที่เราได้สกัดตัวของเราเองขึ้นมาให้ปรากฏรูป ผมรู้สึกอย่างนั้นนะครับ ดังนั้น การพูดคุยของเราหรือการที่เราสกัดซึ่งกันและกัน พวกเราจึงเป็นศิลปินกันทุกคน เป็นศิลปินโดยธรรมชาติกันทุกคน ทั้งนี้เพราะเราได้ช่วยกันก่อรูป ช่วยกันสกัดช่วยกันพอกที่ทำให้เกิดรูปร่างชัดเจน ดังนั้นจึงคิดต่อไปว่า วงสนทนาของเราก็เป็นอย่างนั้น และก็สำหรับวันนี้ ผมเองจะเป็นคนรับผิดชอบในเรื่องหัวข้อท่าทีต่อชีวิตซึ่งในรายละเอียดถ้าเราดูในแผ่นพับเราจะเห็นว่าหัวข้อนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อ งกับท่าทีที่มีต่อชีวิตความตาย ความสุข ความทุกข์นะครับ หรือเรื่องของอำนาจซึ่งผมเติมเรื่องของความสัมพันธ์ทางเพศลงไปด้วย
อันหนึ่งซึ่งมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกระทำก็คือเราพูดคุยหรือเรียนรู้ในสิ่งซึ่งไม่อยู่ในห้องเรียน เราเรียนรู้กันกว้างๆ เรียนรู้กันทุกอย่างไม่ใช่ความรู้แบบกระแสหลัก ไม่ใช่ความรู้ที่มาจากตะวันตกเสียทีเดียวนะครับ แม้ว่าจะมีสิ่งเหล่านั้นปนอยู่ก็ตาม. วันนี้ผมจะเริ่มต้นในเรื่องของท่าทีที่มีต่อความทุกข์ ซึ่งความทุกข์บางอย่างถ้าเรารู้จักตัวเองมากขึ้นเราสามารถที่จะปลดปล่อยตัวของเราเองได้ ดังนั้นสิ่งที่ผมจะทำสำหรับวันนี้ภายใน 15 นาทีแรกก็คือว่าอันดับแรก ผมจะทำให้ทุกคนรู้จักตัวเองพร้อมกันนะครับ โดยผ่านลายมือของตนเอง
ทุกคนที่โตมาในยุคของเหตุผลนะครับจะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันตลก เพราะว่าดูเหมือนว่ามันปราศจากเหตุผล แต่สังคมของเราก็โตมาแบบนี้นะครับ เราดูลายมือเมื่อเรามีทุกข์ เรารู้สึกว่าแฟนไม่รักเราแล้ว เราก็ไปหาหมอดู เมื่อไหร่สามีจะกลับมาหรือไมก็ไปรับการพ่นน้ำหมาย ราดน้ำมนต์ หรืออะไรก็แลว้แต่ นี่คือการเผชิญกับความทุกข์ของสังคมทั่วๆไปของเรา. ในขณะที่สังคมของคนที่มีการศึกษาจะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้แปลกแยกนะครับ อันนี้คือเรื่องที่หนึ่งที่ผมจะทำให้ทุกคนรู้จักตัวเองพร้อมมัน โดยผ่านลายมือ
เรื่องที่สองผมจะตั้งคำถามพวกเราเอาไว้เกี่ยวกับท่าทีของชีวิต ซึ่งเป็นสองเรื่องอยู่ในระยะเวลา 15 นาที อันดับแรกผมจะใช้กระดานนะครับ สิ่งที่เราจะเห็นอยู่ตอนนี้นะครับอันที่หนึ่งนิ้วก้อย นิ้วนาง นิ้วกลาง อันนี้คือฝ่ามือของเรานะครับ ถ้าเราจะดูลายมือของเราไปด้วยพร้อมกัน(มีการเขียนภาพประกอบบนกระดาน)
เราจะรู้จักตัวเองโดยผ่านลายมือนี้ ผมเคยเขียนพุทธประวัติเป็นภาพเขียนของพระพุทธเจ้าผมเล่าเรื่องพระพุทธโดยผ่านลายมือ หรือความรู้ทางด้านหัตถศาสตร์ เพราะว่าถ้าเราเคยอ่านพุทธประวัติเราจะทราบว่าสิทธัตถะทรงอภิเษกสมรสเมื่อไหร่? ทรงเสด็จออกมหาพิเนษกรม(ออกบวช)เมื่อไหร่ ตรัสรู้หรือบรรลุพระนิพพานุเมื่อไหร่? สิ่งเหล่านี้ สามารถนำมาเขียนแสดงบนลายมือได้ทั้งหมด โดยอาศัยเส้นหลักบนฝ่ามือ คือ เส้นหัวใจ เส้นสมอง และเส้นชีวิต
ผมสามารถเขียนพุทธประวัติโดยยผ่านลายมือได้ โดยไม่จำเป็นต้องบรรยายเป็นตัวอักษร (แสดงว่าเชี่ยวชาญมาก) ดังนั้นสิ่งที่คุณจะติดตามผมต่อไปนี้จึงเชื่อมั่นและเชื่อถือได้นะครับ. เส้นแรกที่ผมจะเขียนให้ดูนะครับ อันนี้เขาเรียกว่าเส้นชีวิต เส้นต่อมาเขาเรียกว่าเส้นสมอง เส้นต่อมาเขาเรียกว่าเส้นใจ. ส่วนเส้นนี้คือเส้นสมรส(อยู่บริเวณริมขอบฝ่ามือใต้นิ้วก้อยลงมาถึงเส้นใจ เห็นชัดไหมครับด้านหลังทุกคนมองเห็นไหมครับ. ทีนี้สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับพวกเราส่วนใหญ่ถ้ายังไม่แต่งงาน เรามักจะสนใจเส้นนี้มาก คือเส้นสมรสของเราเป็นอย่างไร มันจาง มันเป็นลูกโซ่หรือว่ามันแข็งแรงนะครับ
ในหลักของหัตถศาสตร์เส้นสมรสของเรานั้นมันจะบอกช่วงของวัยที่เราจะแต่งงานได้ด้วย โดยดูจากช่วงห่างระหว่างฐานขององคุลีนิ้วก้อยกับเส้นใจ คุณจะเห็นว่ามันมีช่องว่าอยู่ ช่องว่างนี้บางคนก็กว้าง บางคนก็แคบ แต่อันนี้ไม่สำคัญ. เพราะไม่ว่าช่องว่างนี้จะกว้างหรือแคบ มันก็แปรมาเป็นอายุได้เท่ากัน มันหมายถึงอายุของวัยที่สามารถเจริญพันธุ์ได้ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ 14 ปี ผู้ชายไปหมดที่ 64 ผู้หญิงไปหมดที่ 56
ต่อมาให้สังเกตุเส้นสมรสที่ขีดขวางฝ่ามือสั้นๆนี้ว่า มันอยู่ระหว่างกลางช่องว่างนี้หรือเปล่า ถ้าอยู่ระหว่างกลาง ก็หมายความว่า ถ้าเป็นผู้ชายคุณจะแต่งงานอายุ 32 (ครึ่งหนึ่งของ 64 = 32) ในขณะที่ถ้าเป็นผู้หญิงคุณจะแต่งงานเมื่ออายุของคุณที่ 28 (ครึ่งหนึ่งของ 56 = 28) ชายใดก็ตามที่มีเส้นสมรสต่ำกว่าช่วงกลาง หมายถึงว่าคุณจะแต่งงานเร็วหน่อย ก่อนแายุ 32 ปี แต่ถ้าเกิดคุณมีเส้นที่สูงขึ้นไปถ้าเป็นผู้ชายคุณจะแต่งงานหลัง 32 ปี. ของผู้หญิงก็ใช้หลักการเดียวกันนี้เชิงสัมพัทธ์
ที่สำคัญคือ ่ถ้าเป็นผู้หญิงซึ่งมีเส้นสมรสสูงกว่าช่วงกลางของช่องว่างนี้ ตามจรรยาบรรณของหมอดูเขาจะไม่ดูเลยว่าจะแต่งงานเมื่อไร ? เพราะผู้หญิงที่อายุเกิน 28 ปีไปแล้ว โอกาสที่จะแต่งงานในสังคมที่มีค่านิยมความสาวแบบสังคมทั่วไป โอกาสจะยากเช่นเดียวกับการถูกหวย. ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครอยากจะดูหรือบอกได้ชัดเจน เพราะว่ามีโอกาสพลาดสูง อันนี้ก็คืออันแรกนะครับที่คุณจะกำหนดตัวคุณเอง. เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้หญิงทั้งหลาย หลังจากที่คุณมีวัยเกิน 28 ปีแล้ว ถ้าหากว่าคุณยังไม่ได้แต่งงานแล้วเส้นของคุณไม่ชัดเจน ให้คุณเริ่มดำเนินชีวิตอย่างจริงด้วยตัวเองได้เลย ไม่ต้องไปใฝ่พะวงหรือกังวลใจอะไรทั้งสิ้น
อันดับต่อมา มาดูที่เส้นสมองนะครับ. ตอนนี้คุณกำลังจะรู้จักตัวเองอีกเรื่องหนึ่งนะครับก็คือคุณเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวหรือเป็นคนที่มีเหตุผล ดูได้จากเส้นสมองนี้ครับ. ถ้าเส้นสองของคุณชี้ลงเนินจันทร์ เนินจันทร์นี้จะอยู่บริเวณต่ำลงมาจากนิ้วก้อยลงมาจนสุดขอบฝ่ามือ บริเวณนี้จะมีเนื้อมาก อันนี้หมายถึงเรื่องของ emotion หรือเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก เรื่องของจินตนาการ เรื่องของความคิดสร้างสรรค์. ถ้าคุณมีเส้นมีสมองชี้ลงเนินจันทร์คือบริเวณนี้ คุณจะมีลักษณะอุปนิสัยหรือมีอารมณ์ความรู้สึกที่อ่อนไหวมีจินตนาการ มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ข้อเสียคือจะเป็นคนขี้ใจน้อย และไม่ค่อยมีเหตุผล. เป็นคนชอบใช้เรื่องอารมณ์ความรู้สึกมาเป็นตัวตัดสิน
ในขณะที่ถ้าเส้นสมองของใครก็แล้วแต่ชี้ไปที่เนินอังคาร อยู่สูงจากเนินจันทร์ขึ้นมากลางฝ่ามือใต้นิ้วก้อย ตรงนี้เรียกว่าอังคารสูง ด้านตรงข้ามเรียกว่าอังคารต่ำ ด้านนี้อังคารต่ำนะครับ. ถ้าเส้นสมองของใครชี้มาที่อังคารสูงนี้หมายถึงคุณจะเป็นคนที่เป้นนักต่อสู้ เป็นคนที่มีเหตุผล นะครับ ชอบการเผชิญภัย ถ้าคุณเป็นคนที่เส้นแข็งแรงมาก คุณเป็นคนเป็นที่เข้มแข็งมาก และอาจจะก้าวร้าวด้วย นี่ก็คือการรู้จักตัวเองเส้นที่สอง แต่มีบางคนที่มีเส้นที่แยกเป็นง่ามแบบนี้ที่ปลายเส้นสมอง เราเรียกกันว่าเส้นที่แยกเป็นง่ามหรือว่าปากคีบ อย่างนี้จะหมายถึงว่าคุณเป็นคน 2 มิติ นั่นคือ คุณเป็นคนซึ่งมีเรื่องหรือมีความเข้าใจใน่เรื่องของจินตนาการ, อารมณ์ความความรู้สึก และยังเป็นคนที่รู้จักใช้เหตุใช้ผลด้วย ดังนั้นจึงเป็นคนที่มีความรู้เท่าทันคนอื่นๆ เป็นคน 2 มิติ. ถ้าขึ้นในมือของผู้ชายเขาบอกว่าจะดีกว่าผู้หญิง เพราะจะมีคุณสมบัติดังที่ผมว่าไว้ แต่ถ้าขึ้นในมือของผู้หญิงหมายถึงคนที่ช่ำชองและเจ้าชู้นิดหน่อยนะครับ
ต่อมา ให้เรามาดูกันที่เส้นชีวิต ให้ดูว่ามันมีความสมบูรณ์อย่างใด? ความสมบูรณ์สังเกตุได้จาก การที่เส้นมีความคม มีความชัด และมีความลึก และต้องเป็นสีชมพู. เส้นชีวิตไม่ได้หมายถึงอายุสั้นอายุยืน เส้นชีวิตหมายถึงสุขภาพที่ดี. ถ้าคนที่มีสุขภาพแข็งแรงเส้นก็จะแจ่มใส คม ชัด ลึก มีสีชมพู ไม่พัวพันกันเป็นลูกโซ่. เส้นชีวิตหรือเส้นสุขภาพไม่ต้องเป็นเส้นใหญ่ เส้นกว้าง และตื้น อันนี้ไม่ดีเท่าไหร่.
ต่อมามีอีกจุดหนึ่งเรียกว่านิ้วนาง ผมอยากจะชวนให้พวกเราดูกันที่องคุลีบนสุดของนิ้วนาง ดูที่ลายก้นหอย. ถ้าขดเป็นก้นหอย คุณสมบัติของนิ้วนางที่ขดเป็นก้นหอยนั้นหมายถึงเราจะเป็นคนที่มีเสนห์ต่อเพศตรงข้าม ใครที่มีนิ้วนางเป็นก้นหอย 2 มือ คือทั้งมือซ้ายและมือขวา คุณจะใช้เสน่ห์ไปในทางที่ผิดเพราะว่ามีมากเกินไป
อีกนิ้วหนึ่งที่ผมจะแนะนำให้รู้จักคร่าว ๆ ตอนนี้ก่อนที่จะจบก็คือนิ้วก้อย. นิ้วก้อยคือนิ้วพุธ นิ้วพุธหมายถึงการเจรจาและพาณิชย์ นิ้วนี้ถ้ามันยาวเกินเส้นแบ่งองคุลีที่สองของนิ้วนาง คุณจะประสบความสำเร็จในการใช้คำพูดและการค้า แต่ถ้าเกิดคุณมีนิ้วนี้สั้น คือต่ำกว่าหรือเสมอกันกับเส้นแบ่งดังกล่าว ก็จะมีคุณสมบัติปานกลาง ถ้าต่ำกว่านะครับก็ควรจะเลือกอาชีพที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับคำพูดมากนัก และก็อย่าไปค้าขาย อันนี้ว่าตามตำรานะครับ
คนที่เป็นศิลปินให้สังเกตนิ้วนาง ส่วนใหญ่แล้วนิ้วนางจะยาวกว่านิ้วชี้ เมื่อเราแนวนิ้วทั้งหมดมาชิดกันเป็นระเบียบ แล้วดูเปรียบเทียบ นิ้วนางจะยาวกว่านิ้วชี้. แต่หากว่านิ้วชี้ใครก็ตามมีความยาวเสมอกันกับนิ้วนาง หลักหัตถศาสตร์บอกว่า คนๆนั้นจะเป็นคนที่รักอาชีพบริการ เป็นคนที่ชอบบริการคนอื่น. ส่วนใหญ่คนที่มีอาชีพบริการทั้งหมด เช่นเป็นครู เป็นหมอ เป็นพยาบาล เป็นพนักงานต้อนรับ เป็นอะไรก็แล้วแต่. มักจะมีนิ้วในลักษณะนี้. นั่นคือนิ้วของเราเสมอกันระหว่างปลายบนของนิ้วนางกับนิ้วชี้ อันนี้มีคุณสมบัติในการบริการที่ดีเยี่ยม. ดังนั้นเวลาที่คุณแต่งงานไปแล้วมันจะหมายความว่าถ้าเป็นผู้หญิงจะเอาใจสามีเก่ง ถ้าเป็นผู้ชายก็จะรู้จักนิสัยภรรยาและเอาใจเป็น และอันนี้ก็คือของคู่กัน. ผมคงจะเขียนภาพและอธิบายเรื่องเกี่ยวกับหัตถศาสตร์เอาไว้แค่นี้ก่อนนะครับ เพราะถ้าพูดมากไปกว่านี้อาจจะใช้เวลาที่กำหนดให้เกินไป.
ต่อมาผมอยากจะใช้ช่วงที่ 2 ของผมในเรื่องของการพูดเกี่ยวกับ"ท่าทีของชีวิต". สำหรับเรื่องนี้ ผมได้ตั้งคำถามเอาไว้หลาย ๆข้อด้วยกัน ลำดับที่หนึ่งก็คือ เรื่องของความสัมพันธ์ทางเพศ เป็นเรื่องของความสุขจริงหรือ. ข้อที่สอง, ทำไมคนเราจึงสนใจเรื่องของอำนาจ? อำนาจให้ความสุขอย่างไร? ผมอยากให้ทุกคนคิดนะครับและเลือกที่จะตอบคำถาม. ข้อที่สาม, เป็นเรื่องของความตาย. เรื่องของความตาย, ชีวิตโลกหน้า เราควรมีท่าทีเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร? มีใครบางคนเคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้หรือไม่? หรือว่ามันยังไม่ถึงวัย หรือว่าคนที่มีอาชีพที่ใกล้เคียงกับเรื่องความตายมองหรือว่ามีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง? ข้อที่สี่,ทุกวันที่เราพูดเรื่องความสุข เรามุ่งเข้าหาตัวเราเอง แทนที่เราจะมองถึงความสุขของคนอื่นหรือเปล่า. ผมเริ่มที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับศาสตร์ต่าง ๆ เช่น พุทธศาสนามีทัศนะต่อความสุขแบบที่มองพ้นไปจากตัวเองหรือมองกลับเข้ามาหาตัวเอง. มองออกไปหรือมองเข้ามานะครับ นี่คือคำถามที่ผมตั้งกับพุทธศาสนาในเรื่องความสุข. ข้อที่ห้า, มาถึงวิทยาศาสตร์ การที่วิทยาศาสตร์มุ่งค้นคว้าวิจัยอะไรต่างๆ วิทยาศาสตร์ทำไปเพื่ออะไร? ใช่เรื่องความสุขของมนุษย์หรือไม่? หรือเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างอื่นในปัจจุบันนะครับ และมาลงท้ายข้อที่หก, ศิลปะ, ศิลปะให้ความสุขกับมนุษย์อย่างไร? ศิลปะที่ทุกวันนี้เรายกย่องว่าเป็นสิ่งที่สูงส่งก็ดีหรืออะไรก็แล้วแต่ ให้ความสุขกับมนุษย์อย่างไรบ้าง? ต่อมา ข้อสุดท้าย, การมีรสนิยมเป็นความสุขชนิดหนึ่งใช่ไหมหรือไม่ใช่? ผมขอทิ้งคำถาม 7 ข้ออันนี้เอาไว้ ซึ่งอยากให้วงสนทนาคุยเรื่องอะไรก็ได้. ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับ 7 ข้อนี้หรือไม่เกี่ยวก็ได้ เชิญเลยครับ. ...ใครที่มีคำถามสำหรับข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในช่วงแรกนี้มีไหมครับขอให้ถามได้เลย.
ผู้เข้าร่วม : ถ้านิ้วชี้ยาวกว่านิ้วนางหมายถึงการมีอำนาจเหนือกว่าผู้อื่นหรือการเป็นผู้ปกครอง แต่ต้องดูที่เนินพฤหัสด้วย เนินพฤหัสก็คือเนินที่อยู่ใต้นิ้วชี้ เนินพฤหัสหมายถึงเนินของการมีอำนาจควบคุม หมายถึงการศึกษา เป็นเรื่องของการควบคุม. ถ้าเนินพฤหัสสมบูรณ์มาก จะหมายถึงการชอบบงการผู้อื่น หรือเป็นเผด็จการนี่คือคุณสมบัติของ ดาวพฤหัสที่อยู่ในมือเรา
อุทิศ : ข้อหนึ่งความสัมพันธ์ทางเพศเป็นความสุขหรือเปล่า? สำหรับผม 100 % เลยครับไม่น่าจะถามเลย. ผมยังงงอยู่ทำไมอาจารย์สมเกียรติตั้งคำถามนี้ขึ้นมา เพราะว่าสำหรับผมนี่ความรู้สึกทางเพศสำหรับผมมันมี 2 อย่าง. อย่างแรกก็คือความสุขจากผัสสะ จากสัมผัส เนื้อถูเนื้อ ทุกคนต้องยอมรับว่าเป็นความสุข เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนประสบการณ์สำหรับผม เป็นสิ่งที่ไม่รู้พระเจ้าสร้างให้หรือเปล่าไม่รู้อะไรอย่างนี้. และสิ่งที่สอง ก็คือว่า คำว่า"เพศ"หรือว่าคนสองคนที่ร่วมกันถ้ามันมีความรักเป็นพื้น ฐานมันยิ่งสุขใหญ่มันเป็นความสุขความอบอุ่นใจที่เราได้ใกล้ชิดกับคนที่เราพึ่งพอใจ อะไรอย่างนี้ สำหรับผมตอบง่ายจังเลยข้อที่หนึ่งไม่รู้ว่าถ้าคนอื่นไม่เห็นด้วยก็ลองดู.
ข้อ 2 ความสุขที่ได้จากอำนาจไม่รู้ว่าอำนาจอะไร แต่ถ้าเกิดว่าเป็นอำนาจการซื้อ อำนาจเงิน อำนาจทางการเมืองตอบง่ายนิดเดียวบอกว่าโคตรสุขเลยอะไรอย่างนี้ เพราะว่าถ้าเราบอกว่าความสุขในแง่ของอำนาจการซื้อ หรือว่าอำนาจในแง่เศรษฐกิจ โดยเฉพาะสังคมทุนนิยม สินค้าและบริการเต็มเลยให้เราเลือกตั้งแต่เกรดเอ เกรดบี เกรดซี เกรดดี เกรดเอฟ ผมมีเงินเยอะผมจะเลือกเกรดเอ ผมอยากมีบ้านดี ๆ มีใหญ่ ๆ มีสนามหญ้ามีคนใช้ถึงเวลากินข้าวเอาวางให้ผมอะไรอย่างนี้ อยากนอนห้องแอร์ อยากขับรถฮอนด้าแอคคอร์ดอย่างอาจารย์วารุณี สำหรับผมตอบง่ายจังเลย ก็ว่าอำนาจทางเศรษญกิจให้ความสุขกับเราหรือเปล่า ให้ความสุข 100 % อำนาจทางเงินให้ความสุขกับเรา 100 % อำนาจของความรู้ความเข้าใจก็ให้ความสุข ทำให้คนเชื่อเราตามเราต้อย ๆ เพราะเราอธิบายให้คนอื่นเป็นทาสความคิดเราได้
ผมตอบแล้วว่าสำหรับผมเห็นด้วย ท่าทีต่อความตายต่อโลกหน้า อันนี้เป็นความทุกข์ คือประเด็นนี้ผมตอบได้ง่ายนิดเดียวว่าผมพยายามจะลืมครับ ผมเคยเห็นคนเคยไปโรงพยาบาลสวนดอก และเห็นศพเยอะ ๆ คนตาย ผมบอกกับตัวเองเลยว่าผมต้องประสบการณ์อย่างนี้ผมต้องหนีสุดชีวิต และถ้าเกิดประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องความตายเข้ามาในใจ ผมต้องพยายามลืมมันให้ได้ ด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา ขับรถไปหาเพื่อนหรือดูหนัง...(หมายถึงหนัง XXX) เพื่อให้ลืมอะไรอย่างนี้ เพราะว่าอะไร เพราะว่าผมรู้สึกว่า สำหรับความสุขสูงสุดของมนุษย์ก็คือความสุขที่เราได้ตื่นขึ้นมาได้มีชีวิตอยู่ ตรงนี้เป็นคุณค่าอันดับหนึ่งของผมเอง. และความตายรู้สึกว่ามันเป็นฝั่งตรงข้ามที่จะทำลายความสุขที่ผมรู้สึกว่าผมมีชีวิตอยู่อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นท่าทีต่อความตายเป็นยังไง สำหรับผมพยายามลืมมันให้มากที่สุด แต่ถ้ามันถึงเวลาก็ทำใจ เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าเราหนีไม่ได้ เราหนีมันไม่พ้น
ส่วนเรื่องโลกหน้าสำหรับผมตอบเลยว่าไร้สาระคือผมอยากมีความสุขแค่ได้ตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาแล้วเรารู้สึกเราต้องบริหาร เราต้องอยากจะเจอความสุขมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในชีวิตนี้ อะไรอย่างนี้. ความสุขที่มองพ้นจากตัวเอง ผมว่า 90 % ผมมองความสุขของตัวเองส่วนคนอื่นก็ให้ 10 % อะไรอย่างนี้. พุทธศาสนามองออกหรือมองภาพนี้ผมไม่รู้ วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน วิจัยเพื่อความสุขมนุษย์หรือไม่ ผมยืนยันว่าวิจัยเพื่อความสุขครับ แต่เป็นความสุขทางกายภาพ วิทยาศาสตร์ยังสนใจวิจัยที่จะประดิษฐ์ภูมิปัญญาประดิษฐ์ สินค้าประดิษฐ์บริการอะไรต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อที่จะเซิฟความสุขทางสัมผัส เดี๋ยวเราค่อยเถียงกันว่าดีหรือไม่ดี แต่สำหรับผมผมยืนยันว่าก็เป็นความสุขประเภทหนึ่งแต่เป็นความสุขทางรูปธรรม
ศิลปะให้ความสุขอะไรได้หรือไม่ก็คงให้ความสุขผมก็เป็นศิลปินอะไรอย่างนี้ ก็อย่างน้อยเรื่องความงาม ดูผู้หญิงงามดูภาพเขียนงาม ๆ ดูทิวทัศน์งาม ๆ ก็งามแล้วตัวเนื้อหาสาระของศิลปะก็เป็นเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับการนำประสบการณ์ชีวิต ที่เขาเห็นว่ามีคุณค่า ประสบการณ์ศาสนาบ้าง ประสบการณ์ได้ดูทิวทิศน์บ้าง ประสบการณ์อะไรซึ่งเขาเรียกว่าเป็นพื้นฐานของความสุขทั้งนั้น คือนำมนุษย์ไปเจอกับประสบการณ์ที่มีคุณค่า ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นความสุข.
รสนิยมเป็นเรื่องของความสุขหรือไม่ ก็สุขมันเป็นเรื่องอีโก้ ผมตอบแค่นี้ครับ
เกรียงศักดิ์ : ผมยังไม่ค่อย get อะไรบางอย่าง สำหรับของอาจารย์สมเกียรติ แต่เวลาพออาจารย์อุทิศพูดขึ้นมาทีไหร่ ผมรู้สึกมันทะแม่งๆทุกทีเลย คือผมรู้สึกว่าอาจารย์อุทิศพูดขึ้นมาจากจุดยืนที่มันเป็นปัจเจกน่าดูเลย แล้วมองจากความสุขอะไรที่มันสนองกิเลสตัวตนของตัวเองมากเลย. ผมเองก็ไม่ได้เป็นคนที่ปฏิเสธกิเลสส่วนนั้นด้วย แต่ผมคิดว่ากิเลสอย่างที่อาจารย์ว่าที่บอกว่ามันสุขๆ ถ้าเราเอาเข้าไปสู่เงื่อนไขของสังคมปัจจุบัน ผมคิดว่าคนที่จะมีความสุขอย่างที่อาจารย์บอกได้ ผมคิดว่ามีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของคนในโลกนี้ ผมคิดว่าสภาพสังคมหรืออะไรต่างๆ มันทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถบรรลุถึงความสุขอย่างที่อาจารย์บอกได้ในส่วนหนึ่ง. แล้วในอีกส่วนหนึ่ง ผมคิดว่าประเด็นสำคัญที่อาจารย์พูดบอกว่าอาจารย์ต้องหนีความตายแบบสุดชีวิตเลย ยังไงก็ไม่อยากจะพบกันมันและอีกอันหนึ่งก็คืออยากจะตื่นขึ้นมามีชีวิตอยู่ตลอดเวลา อาจารย์โกหกตัวเอง เพราะว่าจริง ๆ แล้วไม่มีคนที่เป็นอย่างนั้นได้หรอกอาจารย์
อาจารย์รู้อยู่ในใจว่าอาจารย์ต้องตาย ใช่ไหม? อาจารย์รู้ ทุกๆคนรู้ว่าตัวเองต้องตาย เพราะฉะนั้นถ้าอาจารย์หนีมันสุดฤทธิ์ นั่นก็คือลึกๆของอาจารย์กำลังมีความทุกข์ โครตทุกข์เลย. เพราะว่าอาจารย์มองเห็นว่าความตายก็คือจุดสิ้นสุด และอาจารย์ไม่ได้เสพสิ่งที่อาจารย์ต้องการมัน. ผมคิดว่าผมก็ยังนึกไม่ออกว่าเราควรที่จะมีท่าทีต่อความตายอย่างไร? แต่ผมมีความรู้สึกว่าต้องยอมรับความจริงว่าเราตายก่อน ผมมีแบบไม่เป็นระบบแค่นี้
วารุณี : พูดเรื่องความตายต่อนิดหนึ่งพอดีอาจารย์ทิ้งเอาไว้ คิดว่าอาจารย์อุทิศคิดเหมือนกับคนอื่นๆ. คิดว่าความตายเป็นเรื่องของความทุกข์อย่างแสนสาหัสเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่น่ากลัว และเรารู้สึกว่าความตายคือการที่เราต้องพลัดพรากแก่ความคุ้นเคยของชีวิต ซึ่งการพัดพรากจากความคุ้นเคยของชีวิตเป็นเรื่องที่ทุกข์มาก แล้วเราก็กลัว และเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อเราตายแล้วเราไปไหน? คิดว่าการที่เราไม่รู้ว่าเราจะไปเจออะไรก็คือความน่ากลัวอีกแบบหนึ่ง และก็มันก็เป็นความทุกข์ แต่อันนี้มันเป็นเรื่องซึ่งมนุษย์จะต้องอยู่กับมันเพราะว่าในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ แล้วเรากำลังเสพสิ่งต่างๆ เราก็รู้ว่าวันหนึ่งเราจะต้องตายเราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก. เรามีความสุขกับมัน ความสุขทางโลก แต่คิดว่าในเมื่อที่สุดแล้วเราต้องตายเราจะคิดอย่างไรที่จะทำให้ความตายนั้นมันไม่น่ากลัวจนเกินไป.
พอดีนึกขึ้นได้ของใครนะค่ะ คุณวสิทธิ์ เดชกุญชรที่เขียนเรื่อง"หักลิ้นช้าง" และเรื่องอะไรพวกนี้. เป็นตำรวจ คุณวสิทธิ์ เคยฟังเขาพูดทีหนึ่งแล้วรู้สึกว่าเขาพูดแล้วทำให้เรารู้สึกว่ามันจริง เขาบอกว่าเราควรที่จะทำความเข้าใจกับความตายแล้วมองว่าคือพูดถึงมันหรือนึกถึงมันอยู่ตลอดเวลา ให้เราใกล้ชิด ยิ่งเราใกล้ชิดกับความตายมากเท่าไหร่เราจะกลัวมันน้อยลง แล้วเราก็จะรู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราเพราะฉะนั้นอย่างสมมุติว่า เวลาเราอ่านหนังสือพวก"มรณานุสติ" หรืออะไรต่างๆ คือการที่เรายิ่งใกล้ชิดแล้วเราก็พูดถึงความตายบ่อยๆ คิดว่าเราจะใกล้ชิด... ดิฉันพยายามที่จะเตรียมตัวว่าวันหนึ่งดิฉันจะทำได้อย่างไรคือ มีแม่ที่แก่แล้ว แล้ววันหนึ่งดิฉันคิดว่าตัวเองจะทำได้ยังไงว่าในขณะที่คนที่เรารักไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ กำลังจะตาย เราสามารถที่จะไม่ร้องไห้แล้วเราสามารถที่จะไปพูดกับเขาให้เขามีสติให้เขานึกถึงสิ่งที่ดีที่สุดในขณะที่เขากำลังจะตาย เราจะทำได้ยังไง แล้วจะเข้มแข็งอย่างนั้นได้ยังไง?
เราจะเข้มแข็งอย่างนั้นได้เราจะต้องเข้าใจความตายแล้วมองว่ามันเป็นปกติของชีวิต แล้วดิฉันก็คิดว่าพยายามที่ทำใจให้ได้ อย่างการไปงานศพมันเป็นการฝึกที่ดีมาก ที่เราจะใกล้ชิดกับความตายหรือว่า ซึ่งก็มีหลายอย่าง ก็พยายามที่จะใกล้ชิดเพราะว่าดิฉันก็เหมือนกับอาจารย์อุทิศที่เหมือนกับคนอื่น ๆ กลัวในเรื่องของความตาย
สมเกียรติ : ผมเกรงว่าผมจะตั้งคำถามไม่เข้าท่าเลย เพราะว่าอาจารย์อุทิศตอบได้หมดเลย. ไม่ใช่ว่าอาจารย์อุทิศตอบไม่ดี แต่เป็นคำถามที่ไม่ค่อยดี เพราะว่าคำถามทีให้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่มันจะมีเหตุผลที่สนับสนุนน้อยมาก แต่ถ้าเริ่มต้นด้วยว่าทำไมถึงเชื่อแบบนั้นทำไมคนถึงชอบเรื่องอำนาจ ตั้งต้นด้วยคำถามที่ว่าทำไม? เหตุผลจะมากกว่านี้เยอะ. บังเอิญเวลาที่ผมคิดเรื่องนี้ ผมเอาประเด็นของประเด็นใหญ่ๆในท่าทีของชีวิตที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นมาตั้งมากกว่า เลยลืมคำถามไปว่าน่าจะใช้คำว่าทำไม? ถ้าเราจะเปลี่ยนคำถามทั้ง 7 ข้อนี้ด้วยคำถามที่ขึ้นต้นด้วยว่าทำไม พวกเรามีใครอยากจะคุยถึงประเด็นไหนบ้างครับ
สุชาดา : ขอมองใกล้มาอีกนิด คงไม่มองไปถึงเรื่องความตายนะคะ. ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเคยเฉียด ๆ แต่ว่ายังไม่ทันคิดอะไรกับมันได้ และยังไม่แน่ใจนักว่าตัวเองจะมีท่าทียังไงเมื่อสิ่งนั้นมาถึงจริงๆ. มองดูว่าถ้าเราคิดขณะนี้ให้ยังไงมันก็ยังไม่สามารถเป็นความจริงแท้ 100 % ได้ เพราะฉะนั้นท่าทีในการที่จะมองว่าอะไรคือสุขอะไรคือทุกข์สำหรับดิฉันแล้วคิดว่า อะไรที่คนเมื่อ 100 ปีที่แล้วหรือยุคของพระพุทธเจ้าได้รับแล้วมีความสุขไม่ได้รับแล้วเป็นความทุกข์ อันนั้นต่างหากที่เป็นสุขเป็นทุกข์ที่แท้ เอาตั้งแต่มนุษย์ยุคหินก็ได้มั้งค่ะว่าเราใช้เวลากับการหาอยู่หากินวันไหนไม่มีอาหารบริบูรณ์สมบูรณ์ ได้กินอะไรอย่างที่อยากกินอย่างนี้ก็รู้สึกว่าชีวิตขณะนั้นมันมีความสุข.
ในวันที่พระพุทธเจ้าเห็นภาพปรากฏต่อหน้า ที่เป็นเรื่องคนเฒ่าคนแก่เจ็บป่วยล้มตายอยู่ข้างทาง แล้วเกิดรู้สึกเป็นทุกขเวทนาขึ้นมาจนทุกวันนี้ดิฉันเชื่อว่าความทุกข์ชนิดนั้น ก็ยังคงมีอยู่ในความเป็นมนุษย์ส่วนใหญ่ เพียงแต่ว่าบางคนอาจจะมีเงื่อนไขปัจจัยอะไรที่ทำให้มันหยาบไป บางคนอาจจะมีเงื่อนไขปัจจัยที่มันละเอียดขึ้น อะไรนี้ก็แล้วแต่. เพราะฉะนั้นสำหรับดิฉันสรุปง่ายๆเพียงแค่ว่าความสุขความทุกข์มันอาจจะมีทั้งสุขทุกข์ที่แท้ กับความสุขทุกข์ที่เป็นเรื่องของชั่วคราว
วันนี้อากาศร้อนจังเลยรู้สึกหงุดหงิดและก็ร่างกายไม่สบาย แต่บางทีก็รู้สึกเป็นทุกข์อย่างนี้เป็นต้น มีปัญหาที่อยากปรึกษาในกลุ่มสักนิดหนึ่งด้วยซ้ำ และก็เป็นความทุกข์ที่คาใจมานานพอสมควรจนถึงขณะนี้ ดิฉันทำงานธุรกิจซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการประมูลงานของราชการแห่งหนึ่ง ซึ่งมีงบประมาณเยอะมาก แล้วก็ถูกอำนาจอิทธิพลอะไรต่างๆ เรียกว่ากลั่นแกล้งทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้พบเห็นได้ใช้คำว่าเรื่องเก่าๆ ซ้ำซากของแผ่นดินไทย ก็คือการฉ้อโกง การใช้เส้นสายเลห์เหลี่ยมแบบทุกชนิดไม่ได้ด้วยเลห์ก็เอาด้วยกล หรือแม้แต่กระทั้งเป็นเรื่องของการครองอำนาจของแก๊งเกย์แก๊งหนึ่ง มีความทุกข์ที่รู้สึกว่าตัวเองหมดอำนาจต่อรองกับสถานการณ ์และเหตุการณ์ตรงนั้น และเป็นความทุกข์ที่ซ้อนขึ้นมาอีกชั้นตรงที่ว่านี่แหละบ้านเมืองมันถึงได้ฉิบหายอย่างแบบนี้ เพราะว่ามันมีเรื่องราวอย่างนี้เต็มแผ่นดินไทยเลย โดยที่หลายๆคนไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไร ไม่รู้ว่าจะมีท่าทีกับมันอย่างไร? ไม่รู้จะต่อกรกับมันอย่างไร แล้วดิฉันขณะนี้กำลังอยู่ในภาวะนั้น
ผู้เข้าร่วม : ขอกลับคืนมาหาอาจารย์อุทิศตอบคำถามข้อหนึ่ง. ซึ่งผมเข้าใจว่าความสัมพันธ์ทางเพศเป็นเรื่องความสุขจริงหรือ? ถ้าเกิดเป็นคำถามชุดใหม่ก็ต้องบอกว่าทำไมมันถึงเป็นความสุข ผมรู้สึกว่าทำไมมันถึงมีความสุข ผมมีปัญหาแล้วคือ อาจารย์อุทิศยืนยันว่าเป็นความสุขปุ๊บ ทุกคนไม่มีการพูดถึงเลย ดูเหมือนว่ายอมรับเลย ดูเหมือนว่ายอมรับ. ผมไม่รู้ว่ายอมรับแต่ทุกคนเงียบ ยังสงวนท่าทีอยู่ คือผมไม่รู้ตอนนี้ ผมจะลองตั้งคำถามนิดหนึ่งก็แล้วกันว่า ถ้าอธิบายไปในทางพุทธศาสนา มันคงมีปัญหาและไม่ใช่ เช่นอะไร ถ้ามันเป็นความสุขจริงพอหลังจากที่คุณมีความสัมพันธ์ทางเพศแล้วมันก่อให้เกิดความอยาก ความติดในเนื้อหนังมังสา อยากจะมีขึ้นอีก. เรื่องนี้ทางพุทธก็บอกว่ามันเกิดความอยาก เกิดความร้อนรนอันนีล่ะ พุทธบอกมันผิดอีกแล้ว คือคำถามผมง่ายๆ ถ้าเกิดว่าเราทุกคนเชื่อว่ามันเป็นความสุขหรือเราส่วนใหญ่คิดว่ามีความสุข. คำถามก็คือว่า ทำไมในทางศาสนา ไม่ใช่เพียงแต่พุทธ ผมเข้าใจว่าทางคริสต์ก็เป็น จึงดูเหมือนจะพยายามกำหราบความรู้สึกต่าง ๆ เช่นนี้. ทำไมอย่างทางคริสต์ พออาดัมกับอีฟออกมาปุ๊บ ต่างคนต่างเห็นอะไรที่กินผลไม้แห่งความรู้ผิดชอบชั่วดี ต่างคนต่างอายต้องหยิบใบมะเดื่อมาปิดไอ้นั่นไว้ เพื่อไม่ให้เกิดกิเลส เพื่อไม่ให้เกิดกามราคะขึ้นในใจแห่งตน. คือถ้ามันเป็นความสุขจริง ทำไมในทางศาสนาส่วนใหญ่จึงมีท่าทีอย่างนี้ต่อความสัมพันธ์ทางเพศอย่างนี้. ผมลองตั้งคำถามดู
อุทิศ : พอเห็น topic ผมรู้เลยว่าเป็น topic ที่อิงพุทธศาสนา. เพราะอะไร? เพราะว่าพอบอกว่า ท่าทีเกี่ยวกับเรื่องชีวิตแล้วอ้างถึงทุกข์ ทุกคนก็นึกถึงนิยามของพุทธศาสนา ชีวิตมีทุกข์ ผมไม่เห็นด้วยเลย. แต่ผมจะเล่าให้ฟังว่าไม่เห็นด้วยอย่างไร? และก็พูดถึงความตาย ผมก็เคยรู้มาว่า เวลาพระต้องการละกิเลส ต้องการเข้าถึงสัจธรรมต้องไปดูศพ ต้องปลงอสุภะ ซึ่งผมก็รู้ว่ามันจะมาจากไหน? หรือว่าอำนาจหรือการเบียดเบียนอะไรอย่างนี้. ผมนึกถึงหนังเรื่องอะไรที่ธิเบตที่ทำตึก ซึ่งไปขุดโดนแมลงแล้วก็ตาย แล้วก็ทำไม่ได้อะไรอย่างนี้ คือเป็นผม ใช้คำว่าสุดโต่ง ไม่เบียดเบียนสรรพสัตว์อะไรซึ่งผมก็ไม่เห็นด้วยนะ. หรือว่าเรื่องกรรม เรื่องกรรมผมเห็นด้วยหน่อย ๆ อะไรอย่างนี้ หรือว่าเรื่องความสุขสุงสุดก็คือความสงบก็คือสมาธิผมก็ไม่เห็นด้วย. หรือว่าการต่อต้านความสุขทางเพศ พระละเว้นทางเพศ ผมก็ไม่เห็นด้วยอะไรอย่างนี้.
หลังจากที่ผมไล่หัวข้อมา ผมรู้สึกว่านี่เป็นปรัชญาพุทธ ซึ่งผมไม่เห็นด้วยเลยสำหรับผมเป็นปรัชญาของการหลอกตัวเองอะไรอย่างนี้. เป็นปรัชญาเขาเรียกว่าไปยืนฝั่งตรงข้าม ของผมใช้คำว่าจุดตั้งของชีวิต. จุดตั้งของชีวิตคืออะไร? ก็คือความสุขใช่ไหมครับ ทุกคนต้องการความสุข. แต่พุทธศาสนาจะไปยืนฝั่งตรงข้าม. จุดตั้งของชีวิตคืออะไร เรารักชีวิต ทุกคนรักชีวิตตัวเอง ทุกคนรักอีโก้ มีใครบ้างรวยแล้วยกให้คนอื่น... ไม่มี. ทุกคนอยากมีอาชีพแข่งขันกันทุกคน อยากมีบ้านดี ๆ อยากมีอะไร ถามตัวเองจริงๆ อย่างไม่หรอกตัวเอง มีใครบ้างไม่เห็นแก่ตัวอะไรอย่างนี้ มีใครบ้างไม่รักชีวิต พุทธศาสนาก็ชวนให้เราไปยืนฝั่งตรงข้าม หรือว่าเบียดเบียน ผมว่าคนทุกๆคนเบียดเบียนต้องการอภิสิทธิ์ ผม... บางครั้งก็ต่อต้านว่าตัวเองเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่พอไปติดต่อกับใครก็บอกว่าตัวเองเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เพราะรู้ว่าเป็นอภิสิทธิ์ รู้ว่าเป็นการเบียดเบียน รู้ว่าอะไร รู้ว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบ.
บ้านผมมีคนงาน 20 กว่าคน เขาทำงานหนัก พ่อผมไม่เห็นทำอะไรเลยอะไรอย่างนี้เพราะเป็นเจ้าของกิจการ. เวลางานเสร็จ จบงานทีไรซื้อรถให้ลูก. แต่กับคนงานยังจนเหมือนเดิมอะไรอย่างนี้. เราก็เห็นอยู่ว่ามีการเบียดเบียน มีการใช้อำนาจเขาเรียกว่าปลาใหญ่กินปลาเล็ก ซึ่งผมก็เห็นเป็นสัจธรรมอะไรอย่างนี้ ผมเคยเชื่อ และผมเคยอ่านนิทเช่ ที่เขาบอกว่า ทำไมต้องบอกว่าสิงโตกินม้าลายแล้วเป็นบาป เพราะว่าธรรมชาติ ทำไมคุณต้องกลัวเรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็กนั่นคือธรรมชาติของมัน นั่นคือกฏที่แฟร์มาก ถ้าคุณอยากกินคุณก็พยายามเป็นปลาใหญ่ซิ ทำไมคุณไปล้มกระดาน นี่คือธรรมชาติของสังคม.
หรือเรื่องกรรม. เรื่องกรรมนี้ผมเห็นด้วย แต่ผมไม่พูดหรือเรื่องความสงบสำหรับผมมันเป็นประเภทหนึ่งของความสุข ถ้าสรุปง่ายๆ ก็คือว่าผมยังมองว่ายืนอยู่กับข้อเท็จจริงตรงนี้ และบริหารมัน. สำหรับผม ศิลปะการใช้ชีวิตคืออะไร ชีวิตก็คือการบริหารมัน บริหารความสุข ความทุกข์ ความสงบ ความเอาเปรียบบ้าง อะไรบ้าง กลัวบ้าง อะไรบ้าง คือความอร่อยของการได้เจอประสบการณ์ ผมยังมองว่าชีวิตเป็นอย่างนี้. ทำไมเราไปปฏิเสธชีวิต ผมตั้งคำถามตรงนี้ว่าสำหรับผม. ผมไม่เห็นด้วยเลย เป็นศาสตร์ว่าด้วยการหลอกตัวเอง ผมอยากจะชวนให้ในที่นี้เห็นว่ามีกับสิ่งที่เราอยู่กับมัน นั่นแหละว่าเราเห็นแก่ตัวเรารักความสุขอะไรอย่างนนี้ แล้วก็บริหารมัน และก็ทำให้มันมีสีสันสำหรับผม.
วารุณี : คือรู้สึกว่าดิฉันคิดว่าอาจารย์อุทิศแสดงจุดยืนของตัวเองค่อนข้างเยอะแล้วโดยเฉพาะในชั่วโมงนี้ แล้วดิฉันคิดว่าจุดยืนของอาจารย ์ก็ค่อนข้างวนอยู่ตรงนั้น. ซึ่งดิฉันคิดว่าอาจารย์ก็ได้เสนอในที่ประชุมเยอะพอสมควรแล้ว ดิฉันอยากจะฟังจุดยืนของคนอื่นบ้าง อย่างเช่น อาจารย์ไม่เห็นด้วยกับพุทธก็ไม่เป็นไร เพราะว่าพุทธศาสนาไม่เคยบังคับให้ใครต้องเห็นด้วย. อาจารย์ไม่เห็นด้วยก็เป็นสิทธิของอาจารย์ แต่ดิฉันคิดว่าในวงนี้อาจารย์ก็แสดงจุดยืนค่อนข้างที่ชัดเจนแล้วน่าจะให้โอกาสคนอื่นแสดงจุดยืนอื่นบ้าง
เครือมาศ : เมื่อครู่ที่อาจารย์อุทิศพูด..ทำไมต้องปฏิเสธชีวิตที่มันงดงามมาก. อาจารย์เข้าใจสิ่งที่อาจารย์อุทิศพูดในทางพุทธศาสนา เพราะเราค่อนข้างจะ... คือดิฉันก็ไม่ใช่พูดจากสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมา อาจารย์ชัชวาลย์นั่งอยู่ตรงนี้ก็พออุ่นใจบ้าง ดิฉันพูดอะไรผิดไปอาจารย์ชัชวาลย์จะพอท้วงติงได้. ...มหัศจรรย์มากเลยที่อาจารย์อุทิศพูดว่าทำไม? ที่จริงเป็นประเด็นที่ค่อนข้างที่จะท้าทายมากเลยในทางพุทธศาสนาว่าทำไมเราถึงต้องปฏิเสธชีวิต ทำไมพุทธศาสนาถึงจะต้องปฏิเสธความสุขทางเพศ. จริงๆแล้วเราอยู่ในฐานของความเข้าใจ. ฐานของความเข้าใจซึ่งถือได้ว่าค่อนข้างแคบมากเลย ฐานที่ว่าใครๆก็รู้กันคือเรื่องชีวิต.
สักไม่กี่ปี 10 ปี 20 ปีมานี่เอง ที่เราเพิ่งขยายฐานความเข้าใจเรื่องพุทธ. พุทธมหายานเริ่มมา ซึ่งค่อนข้างลำบากมากต่อคนไทยจะยอมรับ เพราะว่าระยะหลังฐานของความเข้าใจค่อนข้างที่จะกว้างมากเลยที่อย่างน้อยคนไทยเริ่มอ่านหนังสือพุทธศาสนานิกายตันตระ อริยะนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการพูดถึงพุทธศาสนาตันตระของสายธิเบตเข้ามา. ดิฉันพอดีเพิ่งไปที่คาจุฬาโห. คาจุฬาโหนี้ยอมรับว่าเป็นของตันตระที่มีการนำเอาหลักกามสูตรมาใช้. เป็นวัดเล็กๆอยู่ในมัธยะประเทศ เข้าไปไกลมากเลย. ที่คาจุฬาโหนั้น ใครเรียนศิลปะก็ต้องไป ใครสนใจพระศาสนาก็ไป. เป็นที่ที่คนไปนั่งภาวนากันหรือไม่จนกระทั่งบุโรพุทธโธ ถ้าใครมา ฐานข้างล่างที่เป็นฐานอันนี้เราทราบกันดีอยู่. แต่ว่าของพวกทางบ้านเรา ไม่ค่อยเห็นยอมรับความสุขทางด้านกามกันนัก.
มีคนตั้งคำถามหลายปีมาแล้ว ดิฉันเข้าใจว่าอาจารย์มช.ถามอาจารย์ผู้หนึ่งบอกว่าทำไมพุทธศาสนาให้ร้ายกามารมณ์มาก. อาจารย์ท่านนั้นบอกว่า อันนี้คุณกล่าวร้ายพระพุทธศาสนอย่างแรงมากเลย. อาจารย์ก็อธิบายไปในเรื่องว่าจริงๆแล้ว กามคุณมันก็เป็นคุณเหมือนกัน พุทธเจ้าบอกและบางทีบางครั้งดิฉันไปอ่านที่ไหนมาไม่ทราบอย่าง นางสุชาดา ท่านให้เสกกามคุณฆราวาสบางคนให้เสกด้วยซ้ำไปเพื่อที่จะถึงความสุขคือดิฉันคิดว่าประเด็นนี้ถ้าใครรู้ช่วยขยายฐานจากเถรวาทนิดหนึ่งก็ได้
ดิฉันคิดว่าเรายังมีที่ให้พูดให้กว้างไปกว่านี้มาก. จริงๆ ถ้าพูด... ถูกต้องทีเดียว ที่พูดบอกว่าพุทธศาสนาพูดถึงแต่เรื่องความทุกข์. เป็นไอเดียของฝรั่งนักปรัชญาบางคน ทำไม่ไม่เบื่อเลยพูดเรื่องทุกข์ๆตลอดเวลาเลย แต่ถ้าหากเรามองไปที่ผลงานพุทธศิลป์ เราจะเห็นว่า แทบจะไม่มีพุทธรูปองค์ไหนหน้าตาบิดเบี้ยว และเป็นความทุกข์เลย มันไม่มี. ยกเว้นถ้าจำไม่ผิดจะเป็นของคันถะระที่ปั้นความต่างระหว่างพุทธรูป 2 ระยะ ซึ่งคันถระจะปั้นพุทธเจ้ากับเจ้าชายสิธถะคนละคนกันคือปางทรมาน ซึ่งทุกข์มากเลย. แต่ว่าอย่างของคุปตะเขาไม่ได้แยกว่าเป็นคนเดียวกัน แต่มีความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ว่าไม่มีพุทธรูปองค์ไหนแสดงว่าทุกข์เลย
สมเกียรติ : ความจริงพุทธศิลป์ ที่แสดงออกในรูปของหน้าตาบูดเบี้ยวก็มี อย่างพระในนิกายเซน มักจะเขียนรูปพระในลัะกษณะที่บูดเบี้ยว ซึ่งเราเรียกกันในทางศิลปะว่าเป็นรูปลักษณ์แบบ deformation. รายละเอียดเรื่องนี้ ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ เคยอธิบายไว้แล้ว. หากใครสนใจอาจถาม อ.ประมวลดูก้ได้ หรือลองไปดู text ทางด้านนี้พร้อมภาพประกอบที่คณะวิจิตรศิลป์ ก็มีให้ดูเยอะแยะ.
สมชาย : ทำไมศาสนาจึงมีทัศนะที่ไม่ดีต่อเรื่องของกามารมณ์ ผมขอถามเพียงสั้นๆเอาไว้เท่านี้ก่อนครับ
สมเกียรติ : ผมคิดว่าคำถามมาบรรจบกันนะครับระหว่างอาจารย์เครือมาศกับอาจารย์สมาชาย. เมื่อสักครู่นี้ที่ผมติดตามมาตลอดก็คือว่า อาจารย์สมชายตั้งคำถามว่า ทำไมศาสนาจึงมีทัศนะที่ไม่ดีต่อเรื่องของกามารมณ์ ในขณะที่อาจารย์เครือมาศ ต้องการให้ใครก็ตาม พวกเราใครก็ได้ที่ ี่รู้เรื่องพุทธศาสนาช่วยตอบคำถามนี้ด้วย จะเป็นอาจารย์หมออุทัยวรรณ หรืออาจารย์ชัชวาลย์ดีครับ.
ชัชวาลย์ : ผมขอไม่ตอบนะครับเพราะว่าไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาก แต่อยากจะเล่าจากความเข้าใจของตัวเองตัวเองว่ามันเป็นเรื่องของการฝึก มากกว่าเป็นข้อห้ามนะครับ คือเราเข้าใจว่าเป็นข้อห้าม แต่จริงๆ เป็นการฝึก ผมขอยกตัวอย่างว่าพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธเรื่องกามารมณ์ เพราะว่าแม้แต่นางวิสาขา ซึ่งเป็นพระโสดาบันเป็นอริยบุคคล ท่านทั้งที่เป็นโสดาบันก็มีครอบครัว มีลูกมีหลานเยอะไปหมด. พระเจ้าสุโธทะนะก็ดี ีหรือว่าบุคคลต่างๆในพุทธประวัติมีครอบครัวทั้งนั้นเลย พูดง่ายๆ ก็คือว่า อาศัยชีวิตครอบครัวและยังบรรลุคุณธรรมขั้นสูงด้วย อันนี้เป็นอันที่หนึ่งนะครับ.
อันที่สองก็คือว่าท่าทีต่อพุทธศาสนาที่มีต่อเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของการฝึกฝน ไม่ใช่ห้าม. สมมุติว่าเรามีชีวิตครอบครัวอยู่ธรรมดาอยู่ทุกๆวัน วันหนึ่งเราบอกว่าเราจะมีความสุขจากที่ไม่ต้องพึ่งพิงสิ่งอื่นใด. ทุกทีเคยพึ่งสิ่งต่างๆจึงจะมีความสุข จะต้องไปดูหนังอะไรอย่างนี้ แล้วบอกว่ามันถึงจะมีความสุข. จะบอกว่าอาทิตย์หนึ่งเรางดไปดูหนังสักวันหนึ่งได้ไหม เรามันถึงจะมีความสุข ทดลองดู. ก็ลองดูมันก็อยู่ได้. วันหนึ่งเราบอกว่าเราเคยนอนที่นอนแล้วเรารู้สึกว่ามันมีความสุข. แต่อีกวัน เราบอกว่าเรานอนกระดานสักวันหนึ่งได้ไหมไม่ต้องนอนฟูก ขอทดลองดูก็พอได้ อาทิตย์ละวันก็พอได้ ก็ฝึกไปอย่างนี้เรื่อยๆ เขาก็เรียกว่า"สมาทาน" ก็คือการรับเอาแบบฝึกหัด คือพระจะให้แบบฝึกหัดเวลาเราขอศีล. เวลาฆราวาสขอแล้วพระก็ให้ศีล. ตามความเป็นจริงพระไม่ได้ให้ศีลหรือไม่ได้ให้ข้อห้าม แต่พระให้ข้อฝึกหัดไป ให้ท่านจงฝึกดูซิว่าถ้าไม่นอนบนฟูกจะนอนได้ไหม? พูดง่ายๆ ก็คือว่า ให้เป็นอิสระจากสิ่งอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วได้แค่ไหนก็แค่นั้น. อันนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของการห้ามหรือการบังคับ เป็นข้อฝึกหัดเท่านั้นเอง. ผมขอเสนอแค่นี้ครับ
ชื่อภาพ : ทองบ้านนอก. ศิลปิน : ปริทรรศ หุตางกูร. เทคนิค : สีน้ำมันบนผ้าใบ. ขนาด 110X136 ซม. 1992
ผู้เข้าร่วม : ผมถามให้ชัดขึ้นอีกนิดหนึ่ง. คือเมื่อครู่มันอาจจะไม่ชัดคือ ถ้าโดยทั่วไปการมีเพศสัมพันธ์ในครอบครัวผมเข้าใจว่า ก็เป็นสิ่งที่พุทธศาสนาหรือพุทธศาสนาหรือว่าศาสนาอื่นๆรับได้ แต่คำถามที่ผมถามก็คือ พวกมักมากในกามารมณ์นี่แหละ ผมเข้าใจว่าทางคริสตศาสนาจะไม่เห็นด้วยแน่ๆ อย่างน้อยๆ อย่างเช่นจากการตีความจากไบเบิล, ถ้าไม่ผิด ในไบเบิลบอกอะไรหละ หลังจากที่เราสร้างเจ้ามาแล้ว เจ้าจงไปมีลูกมีหลานออกไปอะไรอย่างนี้ การมีเพศสัมพันธ์ในทางคริสตศาสนา น่าจะเพื่อจุดมุ่งหมายอะไรที่มุ่งถึงการสืบพันธ์มากกว่าความเมามันในแง่ของเนื้อหนังมังสาอะไรพวกนี้. คำถามผมถ้าให้ชัดก็คือเป็นการมีเพศสัมพันธ์ในแง่ของการอะไรเป็นผู้มักมากอะไรแบบนี้ ทำไมท่าทีของพุทธศาสนาคือถ้าเกิดผมยังไม่เป็นใคร แต่ถ้าผมยืนอยู่ข้างๆ อาจารย์นิธิ ถ้าเกิดผมบอกว่าความสุขทางเพศมันฃนดีจริงๆ ผมก็ยิ่งมักมากก็ยิ่งมีความสุข ทำไมผมจะต้องมามักน้อยหรือฝักใฝ่อยู่กับคนๆเดียวอะไรทำนองนี้ครับ
สมเกียรติ : ผมอยากจะตอบคำถามนี้นิดหนึ่งในทางคริสตศาสนามันจะมีกฏทางศาสนาอยู่ข้อหนึ่งนะครับ ผมจำรูปศัพท์ภาษาอังกฤษไม่ได้จะไปค้นมาให้วันหลัง. แต่มันจะแปลเป็นไทยว่า"การช่วยเหลือสมาชิกที่เป็นคริสตชนให้รอด"ทำนองนี้ คือการช่วยเหลือสมาชิกคริตชนให้รอดโดยการสารภาพ ดังนั้นตั้งแต่สมัยกลางเป็นต้นมา การประพฤติผิดทางกาม, การมีชู้หรือการร่วมเพศที ่ไม่สมควรต่างๆ(หมายถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ เพื่อดำรงเผ่าพันธ์แห่งคริสตชน, แต่เพื่อความสนุกเพื่อความอร่อย และการมีเพศสัมพันธ์อันเป็นไปโดยจะทำให้เกิดความไม่สงบและความพอใจในสังคม เช่นการมีชู้ อะไรต่างๆเหล่านี้ หรือเสพกามกับเพศเดียวกัน ฯลฯ)การกระทำเหล่านีทั้งหมด ถือว่าไม่ถูกต้อง. อันนี้เราต้องเข้าใจว่า back ground ในสมัยกลาง ศาสนคริสต์ครอบงำตะวันตกทั้งหมด ข้อห้ามหรือบัญญัติเหล่านี้มันอยู่ในจิตสำนึกของคริสตชนในสมัยกลาง ดังนั้นการที่คุณไปมีเพศสัมพันธ์ ประพฤติผิดทางกาม, คุณไปมีชู้หรือว่าการไปทำอะไรก็แล้วแต่มันละเมิดข้อบัญญัติ.
เมื่อมีการละเมิดข้อบัญญัติ ซึ่งฝังรากลึกมานับร้อยปี จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จนคิดไปว่าบัญญัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องอันไม่อาจละเมิดได้ การกระทำที่นอกกฎเช่นนี้ จึงทำให้รู้สึกว่าตนเองผิด หรือ guilty ซึ่งจะทำให้รู้สึกกังวลใจตลอดเวลาหากไม่ได้มีการระบายถ่ายเทออกมา. วิธีการช่วยในทางจิตวิทยานะครับสำหรับให้คนเหล่านี้พ้นไปจากความรู้สึกปาบในตัวเองก็คือว่า ใช้วิธีการสารภาพ และการสารภาพเท่าที่ผมอ่านพบในงานเรื่องประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องทางเพศของฟูโก, เขาบอกว่า ผู้กระทำผิดจะต้องสารภาพถึงรายละเอียดทุกอย่างตั้งแต่ว่า ใช้เวลานานเท่าไหร่ ทำกันกี่ครั้ง สัมผัสกันตรงไหนบ้าง ที่ไหนและทำกันอย่างไร กลางวันหรือกลางคืน คือตอบทุกอย่างเลย. ทั้งนี้ เพื่อที่จะดึงเอาสิ่งที่ฝั่งอยู่ในจิตใต้สำนึกนั้นออกมาให้หมด.
ทีนี้ข้อมูลต่อมาก็คือว่า พอมาถึงยุคประมาณคริสตศตวรรษที่18-19 ศาสนาคริสตได้เริ่มหมดอิทธิพลลงไป แนวคิดของการที่จะกดเรื่องกามารมณ์ของคนตะวันตกมันเปลี่ยนไปจากศาสนา มันเปลี่ยนมาอยู่ที่แพทย์กับครูแทน ในยุคคริสตศตวรรษที่ 18-19 มันถูกเปลี่ยนแล้ว. ความศรัทธาหรือนับถือในศาสนาคริตส์มันมีอำนาจความมั่นคงของตัวมันเองน้อยลง ดังนั้นการที่จะสะกดคนหรือว่าใช้อำนาจอื่นมาสะกดคนต่อไป จึงจำเป็นต้องใช้สิ่งอื่นเข้ามาแทนที่ มันต้องใช้คำอธิบายซึ่งมีเหตุมีผลมากขึ้น ในยุคของเหตุผลสิ่งที่มาสะกดได้ก็คือ เราต้องพูดในฐานะที่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องทางการแพทย์และการอบรมสั่งสอน ดังนั้น บทบาทดังกล่าวจึงมาอยู่ที่แพทย์กับครู.
ฟูโกมองถึงวิธีการที่อยู่เบื้องหลังของสิ่งเหล่านี้ว่าทำไปทำไมในการสะกดคนไม่ให้เกิดการมักมากในกามารม์. เขาบอกว่ามันอาจจะมีพื้นฐานมาจากเรื่องของเศรษฐกิจ. ในทางเศรษฐกิจนั้นเราต้องการคนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คนที่มีแรงงานเข้มแข็งที่สุดและคนที่มีความฉลาด การที่คุณกระทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ต่อการให้กำเนิดชาติพันธุ์เหล่านี้ทั้งมวล จะถือเป็นสิ่งที่ต้องห้าม เพราะไม่ก่อให้เกิดประสิทธิผลในทางเศรษฐกิจเลย เช่น การมีเพศสัมพันธ์หรือการเสพสังวาสกันทางช่องทวารหนัก อันนี้ในยุคของความต้องการแรงงานในยุคอุตสาหกรรมเริ่มต้น จะถือว่าไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นทางเศรษฐกิจ เพราะไม่ได้ช่วยเพิ่มเติมแรงงานขึ้นมาสำหรับกิจกรรมทางเพศนั้นๆ อันนี้จึงมีข้อห้าม. และการกระทำทางเพศอื่นๆอีกหลายอย่าง ที่มันวิตถารแต่ไม่ก่อให้เกิดการสืบพันธุ์ที่มีหลักประกันของเชื้อพันธุ์ที่ดีหรือทำให้เกิดบุตรที่แข็งแรง ถูกห้ามหมดเลย. คนที่เสพสังวาสที่ผิดปกติเหล่านี้ พวกนี้ทั้งหมดจะถูกถือว่าเป็นโรคจิตบ้าง, จะถูกถือว่าเป็นพวกแมลงบ้าง, คือมันมีจะมีศัพท์เรียกต่างๆแปลกๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าไม่เป็นประโยชน์เลย ผมไม่แน่ใจว่าผมตอบคำถามของอาจารย์เล็กหรือเปล่า.
ย้อนมาที่ อ.ชัชวาล. ผมคิดว่าศาสนาในทัศนะของผม ซึ่งผมพอใจพอคำตอบของอาจารย์ชัชวาลย์มาก แต่เท่าที่ที่ผมคิดตอนนี้ก็คือ การมีเพศสัมพันธ์ที่ผิดไปจากบทบัญญัติไม่ว่าจะศาสนาใดก็ จะก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาในสังคมอย่างง่ายดาย เพราะศาสนาในทัศนะของผม ก็คือคลองธรรมอันหนึ่งที่จะทำให้สังคมเป็นสุข และเล็กลงมาจนกระทั่งถึงปัจเจกชนทุกคนเป็นสุข. มีคนเคยกล่าวว่า, ...พวกเราเคยได้ยินไหมครับที่เขาบอกกันว่า คนที่ติดคุกอยู่ในปัจจุบันนี้ทั่วโลก ส่วนใหญ่แล้วเนื่องมาจากการกระทำความผิดอยู่ 2 อย่างเท่านั้นเอง ซึ่งคนที่ถูกจำคุกถึง 80 % ทำหรือละเมิดกัน นั่นก็คือ"เรื่องเพศ"และ"เรื่องเงิน-ผลประโยชน์".
เกรียงศักดิ์ : ผมท้วงนิดหนึ่ง. เวลาที่ฟูโกพูดถึงเรื่องนี้ ฟูโกพูดในแง่ที่มันสัมพันธ์กับระบบทุนนิยมนะอาจารย์ อย่างที่อาจารย์บอกว่าการเสพสังวาสที่มีผิดเพศอะไรต่างๆ จะก่อให้เกิดพันธุ์ที่ไม่ดีหรืออะไร การเสพสังวาสที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรมันทุนนิยมชัดๆ เลย เพราะว่ามันเปลี่ยนผ่านความคิดที่เกี่ยวกับการที่บอกว่ามันก็ได้ประโยชน์สูงสุดหรืออะไรต่างๆ มันก็ต้องผ่านอันนี้ เพราะฉะนั้นเวลาพูดถึงอย่างนั้นฟูโกหมายถึงอย่างนี้. ผมคิดว่าไม่ค่อยเกี่ยวกับศาสนาผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ คราวนี้ผมคิดไปเรื่อยๆ เวลาที่อาจารย์พูดกันผมก็คิดไปเรื่อยๆ ว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องสมมุติเมื่อครู่เรากำลังพูดถึงเรื่องการเสพทางเพศเป็นเรื่องความสุขเป็นเรื่องอะไรต่าง ๆ เรากำลังพูดอยู่บนฐานของอะไร? เรากำลังพูดอยู่บนฐานของสังคมซึ่งมันนิยมการเสพสุขใช่ไหม? เรากำลังพูดอยู่บนฐานของสังคมทุนนิยมใช่ไหม? ที่บอกว่าการบรรลุความสำเร็จทางเพศเป็นเรื่องเกี่ยวกับเป็นประโยชน์สูงสุดหรืออะไรต่างๆ เหล่านั้นแล้วเราก็เอาศาสนาไปผูกอยู่กับตรงนี้
คือผมมีความรู้สึกว่าเรื่องเพศเรื่องอะไรต่างๆ มันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ทั้งหลายสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ต้องมีเรื่องนี้ แต่ว่าลักษณะของสังคมต่าง ๆ วิธีคิดต่างๆที่มาจัดการกับเรื่องนี้มันแตกต่างกัน. เราไม่เคยพูดถึงเรื่องสังคมแบบนับถือผีเลย พูดแบบพุทธ พูดแบบคริสตศาสนาอะไรต่างๆ ดูประหนึ่งราวกับว่าโลกนี้มันมีแต่ความคิดตรงนี้ที่จะถึงความจริงได้ ผมไม่คิดว่าพุทธศาสนาจะทำให้เราบรรลุโสดาบันแบบอย่างชนิดว่า ให้เกิดความว่าเป็นหนึ่งเดียว ผมคิดว่าเป็นวิธีการเข้าถึงความจริงอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่ absolute หรืออะไรต่างๆ ผมว่าทำไมถ้าผมเชื่อเรื่องผี ผมจะเข้าสู่ความจริงไม่ได้หรือ แล้วในสังคมโบราณการที่มันต้องผิดผี คุณจะไปเสพสังวาสกันโดยไม่มีกฏเกณฑ์ไม่ได้ เพราะว่าในชุมชนโบราณ ซึ่งนับถือผีพลังการผลิตมันต่ำมากเลย ถ้าคุณขืนมีพลเมืองมากๆจะแย่งกันกิน. ผมคิดว่าวิธีคิดต่างๆ มันมีเหตุผลของมันในแง่ของสภาพการณ์ และบริบททางสังคม อย่างเรื่องผี เรื่องพุทธผมมานั่งนึกๆ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน เพราะว่าผมอาจจะไม่ใช่คนในศาสนาก็ได้ใช่ไหมครับ ก็เลยให้คำตอบไม่ได้ เพราะว่าบางมีเวลาทำงานวิจัยมักจะไปทำงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องอะไรที่เป็นผีๆ หรือไม่ก็เรื่องขึดเรื่องอะไรพวกนี้ มันก็เลยไม่ค่อยนั่น
แต่ในแง่ของวิทยาศาสตร์ พอเรานำระบบคิดเข้าไปสู่ระบบคิดแบบวิทยาศาสตร์แล้ว ผมคิดว่าเรื่องเพศมันไม่เห็นจะต้องกังวลใจเลย เพราะเราคุมมันได้นี่. อันนี้หมายถึง คุณมียาคุมกำเนิด คุณมีถุงยางอนามัย คุณมีอะไรต่างๆ คุณมีวิธีการที่จะจัดการกับมันได้มากเพียงพอ และวิทยาศาสตร์ก็เห็นว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาหรือเรื่องธรรมชาติที่จะต้องสืบพันธุ์ที่ต้องอะไรต่างๆ อันนี้ผมนึกขึ้นได้เท่านี้เองครับ
ผู้เข้าร่วม : (อาจารย์เล็กผู้หญิง) คิดว่าเรายังอยู่ในหัวข้อที่หนึ่งพอดีมาสายก็เลยตามไม่ทันพอฟังอาจารย์เกรียงศักดิ์ก็คือ ดึงความคิดของเรามาในแง่ของการมีความสัมพันธ์ทางเพศที่อยู่บนพื้นฐานทางสังคมใช่ไหมค่ะ ก็เลยมานึกว่าจริงๆแล้ว ความต้องการทางเพศของมนุษย์มันมีอยู่แล้วในตัวคนตราบใดที่คนยังมีสมองอยู่ครบทุกส่วน. ตราบใดที่อวัยวะเพศของคนไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิงยังมีคริสตอรีสอยู่. ถ้าในเชิงวิทยาศาสตร์หรือในเชิงสรีรศาสตร์แล้ว ตรงนั้นเป็นสิ่งที่อยู่มาแล้วคือ พระเจ้าสร้างให้มาเรียบร้อยแล้ว. เพราะฉะนั้นในสมองของเรายังมีความอยากอยู่ไม่ว่าอยากอะไรก็ตาม เพราะฉะนั้นหนึ่งในความอยากนั้น ก็คือยากในการมีความสัมพันธ์ทางเพศ ซึ่งหมายถึงการม sexual intercourse. เพราะฉะนั้น ก็เลยนึกไปถึงในเรื่องของสังคมศาสตร์ที่แต่ก่อนนั้น ถ้าทางเอเชีย ถ้าเราดูแต่ละประเทศแล้วไม่ว่าประเทศไทยเองหรือจีนเอง ฮ่องเต้องค์หนึ่งมีฮองเฮาได้องค์เดียว แต่ว่ามีนางสนมได้เยอะแยะใช่ไหมค่ะ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นครอบครัวหนึ่งต่อหนึ่งมาก่อน หรือกษัตร์ไทยหรือคนไทยเองในโบราณเองก็ตามก็ยังมีลักษณะ คงไม่ใช้คำว่าส่ำส่อนทางเพศ มัวเมามากๆตรงนั้นคือพื้นฐานของสังคมที่สร้างมาอย่างนั้น แต่ต่อมาตะวันตกเข้ามาถึงทางเอเซียมากขึ้น ระบบครอบครัวเดี่ยวที่เราใช้คำว่าผัวเดียวเมียเดียว มันเริ่มเข้ามามากขึ้น เพราะฉะนั้นก็เลยมองว่าเป็นความผิดหรือเปล่าถ้าไม่มีผัวเดียวเมียเดียว ถ้าเป็นลักษณะมากกว่าหนึ่ง ถือว่ามีชู้อะไรอย่างนั้น กลายเป็นเรื่องของความผิด.
สมเกียรติ : ผมอยากจะคุยต่อเรื่องที่อาจารย์เล็กพูด คือเท่าที่ผมทราบก็คือว่า ในสังคมยุคบุพกาล ลักษณะของก่อนหน้านี้ ผู้หญิงเป็นใหญ่และการมีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงจะเป็นผู้นำและเป็นคนเลือกผู้ชาย. ก่อนที่จะถึงสังคมที่เขาเรียกอะไรปิตาธิปไตยก็แล้วกัน สังคมก่อนประวัติศาสตร์เป็นสังคมมาตาธิปไตย. สมัยก่อนเลย ผู้หญิงทำหน้าที่เป็นหัวหน้า มันมีลักษณะของอำนาจที่เกี่ยวกับผู้หญิงซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นคนที่เลือกผู้ชาย และผู้ชายไม่รู้ว่าเป็นใคร กล่าวคือไม่ได้มีการระบุเจาะจงลงไปต้องเป็นสามี ดังนั้น ลูกที่เกิดมาเป็นจำนวนมากจึงนับถือแม่ เพราะรู้ว่าใครเป็นแม่แน่นอน ส่วนพ่อไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะไม่ได้เป็นคนตั้งท้อง ทำหน้าที่ผสมพันธ์เท่านั้น ผู้สืบทอดหรือทายาทจึงรู้แต่ผู้เป็นแม่ แม่จึงเป็นใหญ่
แต่หลังจากที่ปิตาธิปไตยเกิดขึ้นผู้ชายเริ่มรู้สึกการเป็นเจ้าของผู้หญิง การรู้สึกการเป็นเจ้าของผู้หญิงเริ่มมาจากการที่มนุษย์สามารถผลิตมูลค่าส่วนเกิน เกิดขึ้นได้เป็นครั้งแรก และผู้ชายถือว่าตนเองเป็นผู้ผลิตมูลค่าส่วนเกินนั้นขึ้นมา และต้องการสะสม พอสะสมมากเข้าก็ใช้กันไม่หมดเลยกลายเป็นมรดก ที่ต้องหาคนมาช่วยดูแลมรดกนั้นต่อไป.
การที่มนุษย์สามารถผลิตมูลค่าส่วนเกินขึ้นมาได้ทำให้เกิดมีการสะสมทรัพย์เกิดมรดกขึ้น. ลักษณะของปิตาธิปไตยก็คือ การพยายามที่จะรักษาทรัพย์สินส่วนเกินนั้นให้อยู่ในวงศ์ตระกูลของตนเอง ดังนั้นผู้ชายจึงเริ่มกำหนดว่าผู้หญิงคนไหนจะมาเป็นภรรยา และพยายามป้องกันไม่ให้ภรรยาของตนไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นอีก ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ลูกที่อยู่ในครรภ์ของฝ่ายหญิงนั้น เป็นลูกของตนเองแน่ๆ จะได้ยกทรัพย์สมบัติที่สะสมมาตลอดชีวิตให้ดูแลรักษาและใช้ประโยชน์กันต่อไป. ฝ่ายชายจึงเริ่มกำหนดให้พฤติกรรมทางเพศจำกัดอยู่กับเฉพาะกับตนเอง และนอกจากนี้ ฝ่ายชายยังสามารถมีภรรยาได้หลายคนได้ด้วย ที่สำคัญก็คือ ภรรยาเหล่านี้จะไปมีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นไม่ได้ เดี๋ยวจะไม่รู้ว่าเป็นลูกใคร. ดังนั้นคำตอบที่ไปถึงว่าพระจักรพรรดิพระมหากษัตร์หรืออะไรก็แล้วแต่ในระบบของปิตาธิปไตย ที่มีนางสนมมาก ก็มาจากข้อมูลประวัติศาสตร์นี้นั่นเอง อันนี้ผมเล่าแบบคร่าวๆที่สุดนะครับ อาจจะฟังดูแล้วไม่มีบริบทหรือคำอธิบายมาสนับสนุนให้มันสมเหตุสมผลเท่าไรนัก. จนกระทั่งมาถึงผัวเดีวเมียเดียวเพื่อที่จะทำได้ว่าลูกฉันนะ หลานฉันนะ ซึ่งจะเป็นคนที่ดูแลสมบัติที่ฉันหาไดในชีวิตนี้ต่อไปนั่นเอง
อาจารย์เล็ก(ผู้หญิง) : ตรงนี้เข้าใจว่ามันเกิดมาในยุคที่เริ่มมีการพัฒนาของเขา, เรียกยุคอะไรค่ะ เปลี่ยนยุคทางยุโรป แล้วก็เริ่มมีอย่างที่อาจารย์สมเกียรติพูด. ต่อมาเมื่อวิทยาศาสตร์เริ่มพัฒนาขึ้น การแพทย์เริ่มพัฒนาขึ้น ก็พบว่าการที่คนหนึ่งไปมีลูกกับผู้หญิงหลายๆ คน แล้วแต่งงานกันภายในเครือญาติใช่ไหมค่ะ(incest) ซึ่งทำให้เกิดความผิดปกติของชาติพันธุ์มนุษย์มากขึ้น. ความผิดปกติในที่นี้หมายถึง ต่อมาได้ค้นพบว่าความผิดปกตินั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของยีนต์เกิดขึ้น ทำให้ได้คนที่ไม่มีคุณภาพออกมามากขึ้น มีความผิดปกติ ไม่ว่าจะด้านร่างกาย หรือจิตใจอะไรก็แล้วแต่มากขึ้น. เข้าใจว่าตรงนี้เองที่เป็นที่มาของลักษณะผัวเดียวเมียเดียวทางตะวันตกจุดหนึ่ง
วารุณี : คือดิฉันจะไม่ตัดประเด็นนี้สักเท่าไหร่ ดิฉันไม่ทราบว่าคนอื่นๆ ในที่ประชุมคือรู้สึกว่าหัวข้อมันไปตกอยู่ในประเด็นความสัมพันธ์ทางเพศสูง และก็ไม่แน่ใจเพราะว่าคนแลกเปลี่ยนก็จะอยู่ในกลุ่มเล็กๆ ไม่แน่ใจว่าคนอื่นอยากจะคุยประเด็นอื่นไหม? คือไม่จำเป็นที่จะต้องลงในประเด็นนี้ก็ได้เพราะว่าอาจารย์สมเกียรติก็ได้เสนอประเด็นหลายๆประเด็นออกมาว่าใครสนใจ เพราะว่าคิดว่าประเด็นนี้ บางคนอาจจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่จะพูดในที่สาธารณะก็ได้อะไรอย่างนี้ ไม่ทราบว่าใครอยากจะเปิดประเด็น อย่างประเด็นที่คุณสุชาดาพยายามเสนอออกมาอย่างนี้ ก็ไม่มีใครจะยอมต่อให้เลย ไม่ทราบว่าคนอื่นคิดยังไง
ผู้เข้าร่วม : กลับมาในหัวข้อความสุขและท่าทีต่อชีวิตเมื่อครู่ยังติดใจที่อาจารย์อุทิศพูดถึงว่า ทำไมเราถึงต้องปฏิเสธชีวิตอย่างนี้ จริงๆแล้ว ชีวิตจริงๆที่มันเกี่ยวพันกับความสุขนี้มันคืออะไรบ้าง บางทีเราอาจจะก้าวไปไกลเกินไปก็ได้ ประเด็นเล็กๆก็ได้ อีกอันหนึ่งที่น่าจะอยู่ในหัวข้อนี้ก็คือความรัก. เราลืมไป ความรักเราอาจจะไม่ต้องพูดถึงเรื่องอะไรที่มันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะเป็นสากล เราอาจจะไม่พูดอิงหลายศาสนา หรืออะไร.
โปร่งนภา : เท่าที่ฟังมา ดูเหมือนว่าพวกเราไปอยู่ที่ว่า จะเข้าถึงความสุขได้อย่างไร? เพศสัมพันธ์ก็เป็นอันหนึ่ง, การศึกษาในเรื่องของศาสนา ในเรื่องของศิลปะก็เป็นวิถีทางหนึ่ง ที่จะเข้าสู่ความสุข. แต่ทีนี้ว่าในชีวิตของคนเรา มันคงไม่ได้เลือกทางเดียวมันก็อาจจะปนๆกันไปในหลายๆ อย่างในแต่ละคน สุดแต่ความเหมาะสมของเวลาและก็สถานที่
ขอเริ่มที่เพศสัมพันธ์นิดหนึ่ง เพราะว่าเป็นประเด็นที่ท่านอธิการติดใจ(หมายถึงอาจารย์อุทิศ) จริงๆแล้ว ดิฉันพิจารณาดูแล้ว เส้นสมรสก็เลือนลางมองไม่ค่อยเห็น แต่บังเอิญมีประสบการณ์จากการที่ได้ไปสัมภาษณ์คนไข้ที่ติดเชื้อที่เป็นคู่สมรสเยอะมากหลายร้อยคู่ เพราะว่าประเด็นหนึ่งที่เราห่วงโดยไม่กล้าพูดออกนอกหน้าก็คือเกรงว่าคนที่ติดเชื้อ HIV เหล่านี้ปัญหาเกี่ยวกับโรคที่เกิดจากเพศสัมพันธ์มันจะไปกระทบในเรื่องของอารมณ์ในเรื่องของการหาความสุขในชีวิตคู่ของเขา เป็นประเด็นหนึ่งที่ถามทุกครั้งในเวลาที่ให้คำปรึกษา. เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก มันไม่ใช่ว่าเพศสัมพันธ์เป็นคำตอบของทุกอย่างมันขึ้นกับเวลา มันขึ้นกับสถานที่ ขึ้นกับอะไรหลายๆอย่าง. อย่างในเวลานี้อากาศร้อนขณะนี้อาจารย์อุทิศอาจจะไม่อยากอยู่กับภรรยาที่บ้าน มานั่งที่นี่อาจจะมีความสุขกว่า แต่ทีนี้มันมีอีกวิธีหนึ่งที่เข้าถึงความสุขก็คือ เราพูดถึงความทุกข์ ความทุกข์สุดยอดของความทุกข์ของคนก็คือเรื่องของความตาย. ดิฉันคิดว่าวิธีที่เขาทำให้เราคิด เหมือนกับน้ำร้อนน้ำเย็ นคือถ้าสุขน้อยก็คือทุกข์มาก แต่ถ้าเราสามารถดับในความทุกข์สิ่งที่เป็นสุดยอดของทุกข์ในชีวิตคนลงได้มันก็ทำให้เราสุขมากขึ้น ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงเรื่องของท่าทีเกี่ยวกับความตาย
ความตายนี้เป็นอะไรที่ทุกคนกลัว คนที่ไม่ค่อยเห็นคนตายจะกลัว คนที่อยู่กับคนตายบ่อยๆ อย่างในชีวิตดิฉันหลายร้อยคน นึกว่าตัวเองไม่กลัว ครั้งหนึ่งเคยถูกหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคฮิต ไม่ใช่ HIV แต่เป็นโรคมันติเบิลโครโรซีส เพราะว่าตัวเองกลัว กลัวโดยที่ว่านั่งสั่นไปทั้งตัว โดยที่ควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้เป็นชั่วโมงๆ เพราะว่าจริงๆ เรากลัวเรื่องของความตาย. เนื่องจากว่าประสบการณ์ในชีวิตที่เราเรียนรู้มา ความตายเป็นเรื่องที่น่ากลัว. จากการทำงานพบว่า กว่าคนที่จะไปถึงความตายในโรงพยาบาลมันเป็นสิ่งที่น่ากลัว มันต้องผ่านอะไรหลายๆอย่าง กว่าจะตาย และหลังจากตายก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวเพราะว่าซากสังขารที่เหลืออยู่มันจะเป้นอะไรที่เละเทะทุกท่านคงเคยเห็นในหนัง มันจะไม่เหมือนโกโบริที่ร่ำราฮิเดโก๊ะที่พูดๆ จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้าย แต่ถ้าคุณเข้าไปตายในโรวพยาบาลสัญญาณชีพทุกอย่างคุณจะถูกวัด สัญญาณคือสิ่งที่วิทยาศาตร์สามารถพิสูจน์ได้ จับต้องได้ มีเครื่องมือวัดจึงยืนยันว่ามันเป็นความจริง จึงยืนยันว่ามันเป็นสิ่งที่เรียกว่าต้องยอมรับ แต่อย่างอื่นในเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกจิตวิญญาณเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ ก็ไม่ยอมรับ แต่ทุกๆคนจะต้องมีความคิดขัดแย้งอยู่ในใจว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งงมงาย หลายคนมันสัมผัสได้ แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่เหนือวิทยาศาสตร์ แต่ยังหาเครื่องมือวัดไม่ได้
ดังนั้นถ้าท่าทีต่อความตายในระดับทางวิทยาศาสตร์ในทางระดับของเทคโนโลยีทางการแพทย์ เราก็ทำทุกอย่างไปจนกว่าเมื่อไหร่ที่ชีวิตนั้นเราวัดไม่ได้ สัญญาณชีพที่วัดไม่ได้ ชีพจรหยุดเต้น ลมหายใจขาดลง. เอาเครื่องมาเสียบดูแล้วว่าคลื่นไฟฟ้าในสมองพบว่ามันไม่มีคลื่นไฟฟ้าแล้ว เราถือว่าตรงนั้นตาย เราชินกับสภาพนี้เรื่อยมาทำให้เรากลัวต่อความตาย จนกระทั่งครั้งหนึ่ง ดิฉันเคยลองให้คนไข้เข้าสู่ความตายโดยการที่เราไม่ไปกำหนดอะไรเขา แต่มันต้องหมายถึงว่าภายหลังจากที่ หนึ่งญาติยินยอม, สองสภาพร่างกายของคนไข้ถึงที่สุดของชีวิตแล้ว, พิจารณาทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดแล้วลุ้นยังไงก็ไม่ขึ้น. สมมุติว่าไปปั๊มหัวใจต่อไปให้ยาต่อไปใส่เครื่องช่วยหายใจต่ออาจจะมีหัวใจต่อหรือเต้นไปอีกสัก 1-2 วันแต่ว่ามันไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ ปล่อยให้เขาเข้าไปสู่ความตายอย่างสงบ. ดิฉันพบว่า การตายในภาวะที่มันเป็นสุขที่มันเป็นสุขมันสงบและมันเรียบง่ายและบางครั้งกลายกับไม่น่ากลัว
ทุกครั้งที่ทำดูแล้วมันไม่น่ากลัว มันไม่กระเสือกกระสนดิ้นรนยังกับในหนังไทย แต่ก่อนที่จะตายถ้าเราปั๊มหัวใจถ้าเราใส่ท่อ ถ้าเราอะไรบางครั้งคนไข้ก่อนที่จะถึงจุดที่เรียกว่าวิญญาณออกจากร่างตอนนั้นทรมาน ดังนั้นก็คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่ง ที่มันก็น่าจะเป็นท่าทีต่อความตายที่เราน่าจะมาพิจารณาอีกครั้งว่า ของที่เราไม่รู้เราตั้งมโนภาพไว้มันน่ากลัวเกินจริง แต่ความตายที่จริงแล้วเมื่อถึงเวลาที่ควรตายเมื่อถึงเวลาที่ร่างกายคือจิตวิญญาณ อาจจะต้องปรับไปอยู่ในอีกสถานะหนึ่งมันก็ไม่น่ากลัวเท่าที่คิด
ดังนั้นทุกท่านในที่นี้ถ้าสมมุติดิฉันเข้าใจว่าท่านอธิการตั้งใจจะให้อยู่ในสองประเด็นก็คือว่า ทำอย่างไรที่จะหาความสุขได้ และอีกอย่างหนึ่งก็คือลดความทุกข์ได้ ถ้าในเรื่องที่ยากที่สุดของชีวิตคือเรื่องความตายเราเข้าใจมัน ดิฉันคิดว่า พวกเราจะมีความสุขพอประมาณเลยทีเดียว.