midnight's science
The Feminine Face
of Science

by Linda Jean Shepherd
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ

ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 17 ตอนที่ราชสมาคมแห่งลอนดอน
ก่อตั้งขึ้น ได้ประกาศว่าจะยกระดับปรัชญาแบบเพศชายขึ้นมา
พร้อมกันนั้น Francis Bacon ได้เรียกร้องให้นำเอาธรรมชาติ
มารับใช้มนุษย์ ดึงเธอลงมาเป็นทาส ด้วยการเอาชนะ และ
ทำให้เธอเชื่องลง
นับจากจุดเริ่มต้นนั้น
เราได้รับอะไรเป็นสิ่งตอบแทนบ้าง ?
และเราต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง ?
ทางออก และท่าทีอะไร จึงเป็นสิ่งที่พึงประสงค์สำหรับในเวลานี้
หลังจากที่เราได้ประเมินวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมา
จนกระทั่งถึง ปัจจุบัน
พบกับคำตอบเหล่านี้ได้ในบทความข้างล่าง
เรียบเรียงโดย : สมเกียรติ ตั้งนโม
(ความยาวประมาณ 8 หน้ากระดาษ A4)

The Feminine Face of Science : by Linda Jean Shepherd

วิทยาศาสตร์ได้ดำเนินรอยตามปรัชญาแบบเพศชาย
และเมินเฉยต่อหลักการของความเป็นเพศหญิงมาเป็นเวลายาวนาน

เมื่อตอนที่สถาบันต่างๆทางวิทยาศาสตร์ได้รับการก่อตัวขึ้นในช่วงระหว่างกลางของคริสตศตวรรษที่ ๑๗, ราชสมาคมแห่งลอนดอนได้แถลงออกมาว่า กิจกรรมของราชสมาคมก็คือ "การยกระดับปรัชญาแบบเพศชายขึ้นมา"(raise the masculine philosophy). ส่วน Francis Bacon ก็ได้สนับสนุนการใช้ปรัชญาในการทดลองใหม่ๆ เพื่อเปิดฉากการถือกำเนิดของยุคสมัยแห่งลักษณะความเป็นเพศชายที่แท้จริง, โดยการนำพามนุษย์ไปสู่"ธรรมชาติและลูกหลานทั้งหมดของเธอ, ผูกมัดเธอเข้ากับการรับใช้ และทำให้เธอเป็นทาสของเรา... ด้วยการเอาชนะและทำให้เธอเชื่องลง, เพื่อก่อกวนเธอถึงระดับรากฐานเลยทีเดียว".

แม้แต่ Aristotle ยังเรียกความเป็นหญิงว่า "การผิดรูปอันหนึ่ง, และความพิการ". เขาได้ขยายศัพท์ต่างๆของ"ชาย"และ"หญิง"ไปสู่จักรวาล, ที่ซึ่งเขามองว่า สวรรค์ชั้นฟ้าอันเป็นนิรันดร์และไม่มีการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็น"ชาย", ส่วนโลกซึ่งเปลี่ยนแปลงได้และก่อเกิด เป็น"หญิง".

ดังนั้น นับจากเริ่มต้นของวิทยาศาสตร์ตะวันตก, คุณภาพต่างๆที่ถูกจำแนกในฐานะที่มี"ความเป็นหญิง" จะได้รับการพินิจพิจารณาในฐานที่ไม่สอดคล้องหรือตรงประเด็น - แม้กระทั่งเป็นอันตรายเลยทีเดียว - ต่อวิทยาศาสตร์.

ในคริสตศตวรรษที่ ๒๐ ที่สหรัฐอเมริกา, บทความต่างๆในนิตยสาร Science Education ได้เรียกร้องกับบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย "ให้ทำการละทิ้งอารมณ์ความรู้สึกและความปรารถนาทั้งหมดลงไปอย่างระมัดระวัง", "ให้คนเหล่านี้คิดอย่างใจเย็น", และตัดเอาเรื่องส่วนตัวออกไป, ปราศจากอคติและไร้อารมณ์, และที่สำคัญคือ ให้ควบคุมตัวเองโดยตลอดในการใช้ความคิด".

ดังนั้น ถ้าหากว่าเราไม่ให้คุณค่ากับ"ด้านที่เป็นหญิง"ของความเป็นมนุษย์ของพวกเรา, เกี่ยวกับโลกของเรา, เกี่ยวกับความเป็นจริงของเรา - ถ้าเราไม่ให้คุณค่ากับเรื่องของความรู้สึก, การบ่มเพาะ, การเปิดรับ, ความร่วมมือ และสหัชญาน(การหยั่งรู้ - intuition) - อะไรล่ะ ที่เราพลาดไปจากความเข้าใจอันนี้ ?

ความรู้สึก (Feeling): Barbara McClintock ผู้ซึ่งได้รับรางวัลโนเบิลในปี 1983 สำหรับการค้นพบเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของธาตุพันธุกรรม(mobile genetic elements) ซึ่งรู้จักกันในฐานะ"การกระโดดของยีนส์ต่าง"(jumping genes), ได้สาธิตว่า สภาพแวดล้อมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงยีนส์ต่างๆได้. นับตั้งแต่การค้นพบครั้งนั้นเป็นต้นมา ได้เป็นเหตุให้เกิดการสวนกันกับความเชื่อซึ่งไม่มีข้อพิสูจน์ อันเป็นแกนกลางของความรู้ทางพันธุศาสตร์ ที่ได้วางยีนส์ต่างๆลงไปในบทบาทของผู้บงการ, ดังนั้นเธอจึงได้ทำงานแยกตัวไปต่างหากอย่างโดดเดี่ยวด้วยทุนสนับสนุนเพียงเล็กน้อยเป็นเวลาถึง ๓๐ ปี.

มากไปกว่าการแยกตัวเธอเองออกไปทางด้านอารมณ์ จากเป้าหมายการศึกษาต่างๆของเธอ, เธอเริ่มคุ้นเคยในการไปเกี่ยวพันกับข้าวโพดที่ปลูก. ในการอธิบายถึงผลงานของเธอ, คำศัพท์ของเธอเป็นหนึ่งในเรื่องของความรู้สึกที่ดีๆ, ความรู้สึกเหมือนเป็นญาติ, และเอาใจใส่ในเรื่องของอารมณ์ - มากกว่าการต่อสู้และการดิ้นรน. เธอกล่าวว่า: "ฉันรู้จักพืชทุกชนิดในไร่. ฉันรู้จักพวกเขาอย่างสนิทสนม, และฉันพบว่ามันเป็นความน่าพึงใจอย่างยิ่งที่ได้รู้จักพวกเขา".

สำหรับ McClintock, วิทยาศาสตร์ได้ถูกแบ่งแยกระหว่างตัวเรากับวัตถุ, แต่อันที่จริง มันมีความเป็นห่วงเป็นใยในฐานะที่เป็นรูปแบบหนึ่งของความรัก. ขณะที่นักพันธุศาสตร์เป็นจำนวนมากคนอื่นๆเชื่อมั่นในเรื่องของสถิติและความเป็นไปได้ต่างๆ, McClintock ต้องการที่จะรู้จักกับพืชแต่ละต้น. ไกลห่างไปจากอคติหรืออุปสรรคที่มาหน่วงเหนี่ยวงานของเธอ, "ความรู้สึกต่อสิ่งมีชีวิต"ของ McClintock ได้น้อมนำเธอเข้าไปใกล้กับโครโมโซมต่างๆที่เธอศึกษา. มันได้เสริมหรือยกระดับพลังของเธอในฐานะนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง. เธอกล่าวว่า "ฉันพบว่า ยิ่งฉันทำงานกับพวกเขามากเท่าไหร่ ฉันก็ค้นพบเรื่องโครโมโซมมากยิ่งขึ้น… ฉันสามารถที่จะเห็นและเข้าใจส่วนที่อยู่ภายในของโครโมโซมต่างๆ… มันสร้างความประหลาดใจให้กับฉัน เพราะว่าจริงๆแล้ว ฉันรู้สึกราวกับว่าฉันอยู่ที่นั่นทั้งตัว และสิ่งเหล่านี้คือเพื่อนๆของฉันนั่นเอง… ขณะที่คุณจ้องมองไปที่สิ่งต่างๆเหล่านี้ พวกเขาก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของคุณ. และคุณจะลืมตัวของคุณเองไปเลยทีเดียว.

ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอันนี้กับธรรมชาติได้นำไปสู่ความห่วงใยและความเอาใส่ตามมา

ความรู้สึก (Feeling)
การหล่อเลี้ยง (Nurturing)

การหล่อเลี้ยง (Nurturing): (ศัพท์คำนี้ หมายถึง ปัจจัยแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อบางสิ่ง [เทียบกับ nature ซึ่งมีอิทธิพลต่อบางสิ่ง]). การหล่อเลี้ยง ซึ่งได้จะถูกลดคุณค่าลงมาในทางสังคม, ในด้านวิทยาศาสตร์ กิจกรรมเหล่านี้ก็ได้ถูกทำให้ยุติลงด้วย - แม้แต่ในระดับของเซลล์ - ในฐานะที่เป็นสิ่งอันไม่น่าสนใจ.

ยกตัวอย่างเช่น หน้าที่ของเซลเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อระบบประสาทซึ่งเรียกว่า glial cells ในสมอง ส่วนใหญ่แล้วได้รับการมองข้ามหรือเมินเฉย, นับแต่ที่เซลล์ตัวช่วยเหล่านี้ถูกคิดว่ามันทำหน้าที่เพียงป้อนเซลล์ประสาท และทำความสะอาดภายหลัง - ซึ่งแส ดงบทบาทคล้ายๆกับผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น. แม้ว่า glial cells จะมีมากกมายเป็นสิบเท่าในสมองมากกว่าเซลล์ประสาท, แต่พวกมันก็ไม่ได้รับการเอาใจใส่ที่จะสนับสนุนให้มีการศึกษาอย่างแท้จริง, เกี่ยวกับการกระตุ้นปลุกเร้าเซลล์ประสาท.

การดูถูกเหยียดหยามของนักวิทยาศาสตร์ด้านประสาทวิทยาทั้งหลายซึ่งมีต่อการศึกษาเซลล์ต่างๆ ซึ่งแสดงบทบาทออกมาเพียงทำหน้าที่หล่อเลี้ยงหรือค้ำชู ทำให้ไปขัดขวางหรือยับยั้งการค้นพบว่า glial cells ได้มีส่วนร่วมอยู่ในการสื่อสารกันระหว่างสมองและส่วนที่เหลือของร่างกาย. โดยการเคลื่อนตัวกลับไปกลับมาระหว่างสมองกับร่างกาย (ที่ที่พวกมันกลายเป็นแบบอันหนึ่งของเซลล์เม็ดเลือดขาวของระบบภูมิคุ้มกันโรค), glial cells ได้ไปทำลายตำนานหรือมายาคติเกี่ยวกับประตูปิดกั้นเลือดในสมอง - ภาพสะท้อนทางสรีรวิทยาอันหนึ่งเกี่ยวกับความเชื่อของชาวตะวันตกในการแยกกันของจิตและร่างกาย.

ที่น่าสนใจก็คือ จำนวนของ glial cells ต่อ neuron (เซลล์ประสาท)มันเพิ่มขึ้นในบรรดาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต่างๆ ซึ่งมันขยับสูงขึ้นไปตามสัดส่วนของการพัฒนา, จากหนูมาถึงคน. (กล่าวคือ"คนเรา"จะมี glial cells ต่อ neuron มากกว่า"หนู")

บางที การศึกษาที่น่าทึ่งเกี่ยวกับมันสมองของไอน์สไตน์จะให้การสนับสนุนความน่าสนใจใน glial cells นั่นคือ: Marian Diamond, นักกายวิภาคทางสมอง(neuroanatomist)แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่เบิร์กเล่ย์ ได้ศึกษาเปรียบเทียบสมองของไอน์สไตน์กับสมองของผู้ชายอื่นๆอีก ๑๑ คน. ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวซึ่งเธอพบในการศึกษาครั้งนี้ก็คือ สมองของไอน์สไตน์นั้นมีจำนวน glial cells ต่อ neuron (เซลล์ประสาท)อยู่มากที่สุด. ความแตกต่างนี้โดยเฉพาะ มีนัยสำคัญในพื้นที่ซึ่งเชื่อมต่อกับพลังความคิดของจินตนาการและความคิดที่สลับซับซ้อน.

การตอบรับ (Receptivity): การตอบรับอันนี้หมายถึง - การเปิดรับชนิดหนึ่งต่อความเป็นไปได้ต่างๆ. การตอบรับเป็นการเรียกร้องต้องการการหยุดชะงักชั่วขณะหนึ่ง เพื่อเข้าไปจัดการธุระและทำกิจกรรมดังกล่าว, การตอบรับอันนี้จึงไม่ใช้อย่างเดียวกับภาวะจำยอม(is not passive). มันต้องใช้ความอดทน, ความรู้ที่ต้องตื่นตัว ระวังระไว, การเปิดกว้างและความรับผิดชอบ. มันเป็นกระบวนการอันหนึ่งของการฟังและขานรับต่อธรรมชาติ - เช่นเดียวกับในการสนทนากัน, หรือดังกับผู้สร้างสรรค์ร่วมกันกับธรรมชาติ.

เพื่อเข้าใจความข้างต้นมากขึ้น ขอให้เรามาดูตัวอย่างดังต่อไปนี้ ซึ่งเป็นวิธีการศึกษาที่แตกต่างไปเลยทีเดียว โดยนักเคมีในคริสตศตวรรษที่ ๑๗ Robert Boyle. Boyle มีทัศนคติต่อการตั้งครรภ์หรือความอุดมสมบูรณ์อันยิ่งใหญ่โดยอัตโนมัติของพระผู้เป็นเจ้า ดังที่เขาเรียกว่า ธรรมชาติ. เขาได้เขียนเอาไว้ว่า "มันไม่อาจที่จะมีผู้ชายที่ยิ่งใหญ่คนใดประสบชัยชนะเกินไปกว่า การล่วงรู้หนทางในการสร้างความประทับใจให้กับธรรมชาติ(หรือทำให้ธรรมชาติมาหลงรัก), และทำให้เธอ(หมายถึงธรรมชาติ)มารับใช้ หรืออำนวยประโยชน์ต่อวัตถุประสงค์ของเรา".

แนวความคิดเกี่ยวกับชายที่กระตือรือร้นซึ่งเป็นเป็นฝ่ายกระทำ และหญิงซึ่งเป็นฝ่ายยอมตาม ได้ระบายสีทัศนะของบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย กระทั่งในระดับของเซลล์ของไข่และสเปอร์ม. ล่วงมาจนกระทั่งปี 1980, ตำราทางชีววิทยายังอธิบายถึงการผสมพันธุ์โดยเน้นถึงภาวะจำยอมของไข่ซึ่งรอคอยสเปอร์มมาปลุกมันให้ตื่น, เหมือนดั่งกับจูบของเจ้าชายได้ปลุกความงดงามที่หลับใหลอยู่ของเจ้าหญิงฉะนั้น. (แต่อันที่จริง มันไม่ใช่เช่นนั้นเลย)

ครั้นเมื่อ Gerald และ Heide Schatten ได้ใช้กล้องไมโคสโคปอีเล็กทรอนตรวจตราอย่างละเอียด, พวกเขาก็ค้นพบว่า สเปอร์มไม่ได้เจาะเข้าไปในไข่ซึ่งอยู่ในอาการสงบ. ตรงข้าม, ผิวหน้าของเซลล์ไข่ได้ยื่นนิ้วเล็กๆออกมาคล้ายๆขอที่ยื่นออกมา ซึ่งได้ไปเกี่ยวสเปอร์มและลากมันเข้าไปในเซลล์แทน - ซึ่งอันนี้คล้ายกับสาวงามซึ่งนอนหลับใหลอยู่ได้ยื่นแขนออกมาดึงเจ้าชายลงไปบนเตียงกับเธอนั่นเอง: แม้ว่าสิ่งที่นูนขึ้นมานี้ของ microvilli ได้ยื่นมาถึงสเปอร์ม จะได้รับการสังเกตุพบมาตั้งแต่ปี 1895 แล้วก็ตาม แต่มันก็ได้รับการเมินเฉยมาโดยตลอด.

โดยผ่านการวิจัยของพวกเขา, Schatten ได้สาธิตว่า ไข่และตัวสเปอร์มต่างก็เป็นหุ้นส่วนกันและกันในลักษณะของผู้กระทำ(active), สเปอร์มจะต้องได้รับการทำให้เกิดความสามารถขึ้นมาโดยกาคัดหลั่งจากอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิงก่อนการผสมพันธุ์ของไข่. ในการตอบรับ, สเปอร์มจะปล่อยเอนไซม์ที่ช่วยย่อยเซลล์คลุมที่พิเศษบางอย่างซึ่งอยู่รอบๆไข่ออกไป - แต่เอนไซม์ต่างๆเหล่านี้ไม่อาจทำหน้าที่ของมันได้จนกว่าพวกมันจะได้รับการกระตุ้นโดยการคัดหลั่งอีกครั้งจากอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิง. การสนทนทางชีวเคมีอันสลับซับซ้อนนี้ยังคงไม่อาจมองเห็นได้ตราบเท่าที่ไข่และอวัยวะเพศหญิงถูกมองในฐานะที่เป็นการตอบรับกับสเปอร์มไปในลักษณะของการยอมตาม - เพียงการตอบรับ - และด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าสนใจ.

การตอบรับ (Receptivity)

การทำงานร่วมกัน (Co-operation): เมื่อตอนที่ Charles Darwin ได้นำเสนอทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับวิวัฒนาการเป็นครั้งแรกที่ Linnean Society, เขาได้เปิดเผยเอกสารของเขาเกี่ยวกับภาพของธรรมชาติ ดั่งกับการแข่งขันอันโหดร้าย: "ธรรมชาติทั้งหมดอยู่ในสงคราม, สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งต่อสู่กับสิ่งที่มีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง, หรือต่อสู้กับธรรมชาติภายนอก.

ในทุกวันนี้ การแข่งขันได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์อย่างมาก เพื่อที่จะธำรงรักษาภาวะการแข่งขันที่มั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศเอาไว้. แต่การเกาะติดอยู่กับแบบจำลองของการแข่งขันได้บดบังเราไม่ให้มองเห็นด้านของการร่วมมือกันของธรรมชาติ, ซึ่งอันนี้มีตัวอย่างที่ดีที่สุดก็คือเรื่องของ symbiosis หรือการอยู่ร่วมกันของสิ่งที่มีชีวิตสองชนิด. สาขาย่อยอันนี้ทางชีววิทยาได้ทำการศึกษาสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกัน - อย่างเช่น แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ภายในลำไส้ของวัว ซึ่งได้ทำหน้าที่ช่วยเซลลูโลสในการย่อยอาหาร. วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์, symbiosis ได้จัดหาแบบจำลองอันหนึ่งขึ้นมาเกี่ยวกับการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ณ ระดับของชีววิทยา.

ผลงานของ Lynn Margulis ได้แสดงภาพให้เห็นว่า การเปลี่ยนมุมมองไปนั้น มันได้ทำให้เกิดการตั้งคำถามใหม่ขึ้นมาเกี่ยวกับธรรมชาติอย่างถึงรากเลยทีเดียว. เขาได้สาธิตให้เห็นว่า ความหลากหลายทางชีวภาพได้ไปปลุกหรือกระตุ้นจุลลินทรีย์ให้มีการทำงานร่วมกันมากมายโดยผ่านการแข่งขัน. แรกเริ่มเดิมทีเลยนั้น ทฤษฎีของเธอเกี่ยวกับการกำเนิดของเซลล์ได้พิจารณาในลักษณะก้าวร้าวและน่าอัปยศ และไม่สามารถนำมาสนทนากันได้ในที่ประชุมอันน่านับถือทางวิทยาศาสตร์. มาถึงตอนนี้ บรรดานักชีววิทยาทั้งหลายต่างยอมรับกันว่า mitochondria (energy-producing organelles)ซึ่งเป็นตัวที่ผลิตพลังงานในโครงสร้างของเซลล์ ครั้งหนึ่งมันคือแบคทีเรียที่ผลิตอ็อกซิเจน, และ chloroplasts (photosynthesizing organelles)ซึ่งทำหน้าที่สังเคราะห์แสงในโครงสร้างของเซลล์ เดิมทีคือ cyanobacteria. โครงสร้าง organelles จะมี DNA ของมันเอง, อันเป็นส่วนหนึ่งของการสืบทอดทาง cytoplasmic ของไข่, ส่งทอดลงมาทางสายพันธุ์แม่.

Margulis ยืนยันว่า ต้นตอสำคัญของความแปลกใหม่ในวิวัฒนาการคือการได้มาเกี่ยวกับ symbionts (สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในกระบวนการร่วมมือกัน) - สิ่งทั้งหมดได้ถูกเรียบเรียงโดยการคัดเลือกตามธรรมชาติ. มันไม่ได้เป็นการสั่งสมของการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม(mutations).

ในทางตรงข้าม, ทฤษฎีต่างๆเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับวิวัฒนาการยังคงเน้นการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ในฐานะที่เป็นต้นตอสำคัญของข้อมูลทางพันธุกรรมใหม่. ลักษณะ symbiosis (การอยู่ร่วมกันของสิ่งที่มีชีวิตสองชนิด)ยังคงเป็นเรื่องที่คลุมเครือ, เกือบไม่ได้มีการให้ทุนสนับสนุนเลย, สาขาย่อยของชีววิทยา. มันได้ถูกเมินเฉย หรือเพียงนิยามในหนังสือตำราหลักๆในตอนที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการเท่านั้น.

การทำงานร่วมกัน (Co-operation)

สหัชญานหรือการหยั่งรู้ (Intuition): คือการประจักษ์แจ้งหรือการได้ความรู้มาโดยไม่ผ่านขั้นตอนกระบวนการแห่งเหตุผล ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งซึ่งไม่อาจคาดเดาได้และเป็นเรื่องที่ลึกลับ (และด้วยเหตุนี้จึงได้รับการเรียกขานว่าเป็นลักษณะของ"ความเป็นหญิง"ในวัฒนธรรมของเรา. แต่อย่างไรก็ตาม เราได้พลาดการมองเห็นแง่มุมที่สำคัญไปเกี่ยวกับความจริง ถ้าหากว่าเราจะปฏิเสธเรื่องของการหยั่งรู้อันนี้) พรมแดนอันหนึ่งของวิทยาศาสตร์ที่ได้รวมการศึกษาเกี่ยวกับความสำนึก(เหตุผล) และปรากฎการณ์ทางจิตเอาไว้ด้วยกัน.

ตลอดช่วงเวลาในประวัตศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ มันมีเรื่องราวในลักษณะเย้ายวนต่างๆเกี่ยวกับบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ซึ่งได้ประจักษ์แจ้งจากต้นตอที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุผล อย่างเช่น ความฝันต่างๆ. ตัวอย่างซึ่งได้ถูกนำมาอ้างมากที่สุดก็คือเรื่องราวของนักเคมีคนหนึ่งในคริสตศตวรรษที่ ๑๙ ที่ชื่อว่า Kekule, ผู้ซึ่งได้ฝันถึงงูตัวหนึ่งที่กัดหางของมันเอง ขณะที่เขาเผลอม่อยหลับไปบนเก้าอี้หน้าเตาผิง. ความฝันอันนี้ทำให้เขาตื่นขึ้น"ราวกับแสงไฟแฟรชที่แว๊ปขึ้นมา", และเข้าใจโครงสร้างวงแหวนของเบนซิน, ปัญหาอันหนึ่งซึ่งเหลือจะเข้าใจของบรรดานักเคมีทั้งหลาย. ส่วนนักฟิสิกส์นามว่า Niels Bohr ได้ฝันถึงระบบดาวนพเคราะห์ในฐานะที่เป็นแบบจำลองอันหนึ่งของอะตอมต่างๆ, อันนำไปสู่หุ่นจำลองของ Bohr, เกี่ยวกับโครงสร้างอะตอม - และการได้รับรางวัลโนเบิล. ส่วน Mendelee นั้นได้รับความคิดความเข้าใจเป็นช่วงๆขณะที่เขาหลับฝันไปบนโต๊ะทำงาน.

เพราะสหัชญานหรือการหยั่งรู้เป็นสิ่งซึ่งไม่อาจคาดเดาได้ และเป็นเรื่องของปัจเจก มันเกิดขึ้นทั้งหมดเพียงแค่แวปเดียว, มันไม่สามารถที่จะแยกหรือทำการวิเคราะห์เพื่อศึกษาส่วนต่างๆที่มาประกอบกันได้. การศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางจิต เรียกร้องวิธีการที่แตกต่างไปอันหนึ่งสำหรับการวิจัยและวิธีการศึกษาใหม่ เพื่อจัดการกับข้อมูลซึ่งเป็นอัตวิสัยและประสบการณ์ต่างๆที่พิเศษเฉพาะอันนี้.

เป็นเวลากว่าทศวรรษ รัฐบาลสหรัฐได้ให้การสนับสนุนอย่างเงียบๆต่องานวิจัยของกองทัพและไม่ได้สังกัดกองทัพที่ทำขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องราวบทบาทหน้าที่ของจิต. โปรแกรมที่ SRI International ซึ่งใช้เงินจำนวนหลายล้านดอลล่าร์ ได้ทำการสำรวจหนทางต่างๆที่จะเพิ่มความแม่นยำและความเชื่อมั่นเกี่ยวกับแบบฉบับการรับรู้ ซึ่งพวกเขาเรียกมันว่า"จักษุญาน"(การมองเห็นจากทางไกล-remote viewing) (หมายถึงความสามารถที่จะอธิบายถึงวัตถุต่างๆที่ไม่ได้สัมผัสรับรู้โดยประสาทสัมผัสปกติ เนื่องมาจากอยู่ห่างไกลออกไป). อย่างเอาจริงเอาจัง, งานวิจัยนั้น ในเรื่องของปรากฏการณ์ทางจิตได้ท้าทายต่อแนวคิดหรือมโนคติของเราเกี่ยวกับระวางเนื้อที่ว่าง(space), เวลา และความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล.

บ่อยครั้ง ผู้คนซึ่งได้พัฒนาศักยภาพทางจิตรู้สึกถึงประสาทสัมผัสอันเข้มแข็งเกี่ยวกับความเป็นเอกภาพกับโลกธรรมชาติ - ประสาทสัมผัสส่วนตัวเกี่ยวกับการเชื่อมโยงกันและกันซึ่งจิตได้เปิดเผยในระดับของควันตัม. แต่ความรู้สึกของพวกเขาเกี่ยวกับความกลมกลืนกับโลกไม่เป็นเรื่องของทฤษฎี; มันเป็นเรื่องของประสบการณ์. พวกเขารู้โดยสหัชญานว่า มันมีบางสิ่งบางอย่างมากกว่านั้น, บางสิ่งซึ่งยิ่งใหญ่กว่าสำหรับเราที่จะไปถึง, บางสิ่งที่ลึกล้ำอยู่ภายในตัวของเราเอง, ลึกลงไปในเส้นใยของจักรวาล.

การหยั่งรู้ (Intuition)

ความรู้สึก, การเลี้ยงดู (Feeling, Nurturing): การรับรู้, การร่วมมือ, การหยั่งรู้ - ทั้งหมดต่างอยู่บนพื้นฐานของการพึ่งพาอาศัยกันและกัน, ความรู้สึกรู้ทราบที่แหลมคมเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆและทั้งหมด. ในทางตรงข้าม ก็กำลังดำเนินรอยตามภาคตรรกะที่เป็นลักษณะของผู้ชาย และการวิเคราะห์ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแบ่งแยกและการจำแนกต่างหากออกไป. ส่วนนี้มีพลังอำนาจมาก และได้สร้างสิ่งที่น่าพิศวงเกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ขึ้นมา, แต่มันก็นำมาซึ่งปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อม.

Martha Crouch, นักพฤษศาสตร์ซึ่งเป็นที่นับถือเป็นอย่างดีแห่งมหาวิทยาลัยอินเดียน่า ได้ยุติการทดลองทางด้านวิทยาศาสตร์ของเธอ เนื่องมาจากว่าได้เกิดรู้สึกห่วงใยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม. ความรักในธรรมชาติได้กระตุ้นการทำงานทางด้านวิทยาศาสตร์ของเธอ, แต่หลังจากสิบปีของการทำวิจัย, Crouch ได้สรุปว่า ความสนใจอย่างใกล้ชิดในเรื่องดังกล่าว ได้สร้างผลกำไรให้กับบริษัทข้ามชาติเป็นปฐม มากยิ่งกว่าจะไปช่วยป้อนอาหารให้กับผู้ที่หิวโหย, ผลงานของเธอได้ไปสนับสนุนระบบต่างๆที่ไปส่งเสริมต่อการทำลายล้างป่าฝนต่างๆ, คุณภาพน้ำ, วัฒนธรรมพื้นเมือง และชาวนารายย่อยต่างๆนับจำนวนไม่ถ้วน.

ขณะที่ Barbara McClintock ได้ให้ภาพตัวอย่างวิทยาศาสตร์ซึ่งมีความเป็นมนุษย์มากกว่านั้น มีพื้นฐานอยู่บนการรับรู้และความรู้สึกอันหนึ่งซึ่งมีต่อสิ่งที่มีชีวิต", Crouch เสนอว่า พวกเราจะต้องก้าวไปไกลอีกก้าวหนึ่ง: "ถ้าหากว่าเราได้พัฒนาเครือข่ายอันหนึ่งของบรรดานักวิทยาศาสตร์ ผู้ซึ่งกำลังกระทำหลายสิ่งหลายอย่างแตกต่างกันไป, แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความเชื่อมโยงกับประโยชน์โดยผ่านระบบที่มีอำนาจ, มันดูเหมือนว่า พวกเรากำลังให้ความช่วยเหลือ เพื่อธำรงรักษาสถานภาพที่เป็นอยู่เท่านั้น. นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมดิฉันจึงตัดสินใจที่จะยุติการทดลองทางด้านวิทยาศาสตร์ลง มากกว่าที่จะเปลี่ยนสิ่งซึ่งดิฉันกำลังทำอยู่ - เพราะ ถ้าเผื่อว่าดิฉันค้นพบบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา, ผลลัพธ์สุดท้ายก็จะเป็นเหมือนๆกันในเทอมต่างๆของประโยชน์ของสังคม".

วิทยาศาสตร์ที่มีการปรับปรุงแก้ไข มิได้หมายความว่าเป็นการปฏิเสธแง่มุมของความเป็นเพศชายของวิทยาศาสตร์. แต่ข้อสรุปและการผสมผสานเกี่ยวกับคุณสมบัติของความเป็นเพศหญิงในหนทางที่มีดุลยภาพ จะช่วยให้เรามองธรรมชาติได้ชัดเจนกว่า - และช่วยให้เราเห็นความจริงมากยิ่งขึ้น.

เราสามารถที่จะหันกลับมามองกันใหม่และปรับปรุงวิทยาศาสตร์กันในทุกๆระดับ: วิทยาศาสตร์ที่พวกเราให้ทุน, คำถามต่างๆซึ่งเราตั้งขึ้น, ระเบียบวิธีที่เราใช้, วิธีการที่เราสอนทางด้านวิทยาศาสตร์, หนทางที่เราดำเนินการทดลอง, และวิธีการที่บรรดานักวิทยาศาสตร์และปุถุชนทั่วไปมีปฏิกริยา. การเปลี่ยนแปลงมุมมองทุกอย่างจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมภาพของธรรมชาติให้กับเราทั้งหมด.

ในเวลานี้ พวกเราทั้งหลายได้ถูกขับเคลื่อนโดยความจำเป็นทางด้านเทคโนโลยี: ซึ่งครั้งหนึ่งเรามีการค้นพบทางด้านวิทยาศาสตร์, เราได้พัฒนาเทคโนโลยีไปอย่างรวดเร็วเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านความรู้. มากกว่าศตวรรษใดในอดีต, ผลิตผลต่างๆทางด้านวิทยาศาสตร์ได้กลายเป็นสิ่งซึ่งมีอำนาจมาก ซึ่งเราอาจทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อีกต่อไป. ปัจจุบันนี้ ซึ่งมากเกินกว่าที่เคยเป็นมา, เราต้องการปัญญาญานเพื่อมาจัดการกับพลังอำนาจของวิทยาศาสตร์มากกว่าครั้งใด และรับผิดชอบอย่างเต็มที่

Albert Einstein และนักควันตัมฟิสิกส Max Born, ผู้ซึ่งได้รับเกียรติรางวัลโนเบิล รู้สึกสิ้นหวังต่ออาวุธต่างๆและสงคราม. บทความในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้อ้างคำพูดไอน์สไตน์ที่กล่าวว่า
ถ้าหากว่าเขามีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง, เขาอยากที่จะเป็นช่างปะปามากกว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์.

Born ได้เขียนถึงไอน์สไตน์ในเดือนพฤศจิกายน 1954 ว่า, "ผมได้อ่านหนังสือพิมพ์เมื่อเร็วๆนี้ว่า คุณได้รับการทึกทักให้กล่าวออกมาว่า: "ถ้าเผื่อข้าพเจ้าเกิดขึ้นมาเป็นหนที่สอง ข้าพเจ้าจะไม่เป็นนักฟิสิกส์, แต่จะเป็นช่างฝีมือ". คำพูดเหล่านี้ช่างเป็นการปลอบโยนที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมมาก, สำหรับความคิดในทำนองเดียวกันมันวนเวียนอยู่ภายในจิตใจของผมด้วยเช่นกัน, ในการมองเห็นถึงความชั่วร้ายซึ่งสำหรับพวกเราแล้ว ครั้งหนึ่งมันช่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แสนงดงามที่จะช่วยสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับโลกของเรา..."

ไอน์สไตน์ได้ตอบในเดือนมกราคม 1955, สามเดือนก่อนการมรณกรรมของเขา ความว่า,
"...สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการพูดก็มีเพียงเท่านี้: ในสถานการณ์ปัจจุบัน, อาชีพการงานอย่างเดียวที่ข้าพเจ้าจะเลือกก็คือ การเป็นคนๆหนึ่งที่หารายได้มาเลี้ยงตัวโดยไม่ไปเกี่ยวข้องอะไรกับการค้นหาความรู้".

บางที มันดูจะมีความกล้าหาญมากกว่าที่จะปรับปรุงวิทยาศาสตร์ยิ่งกว่าที่จะปฏิเสธมันไปเลย.

วิทยาศาสตร์ที่ต่างๆออกไปอย่างถึงรากก็คือ เมื่อเรามองธรรมชาติในฐานะที่เป็นคนรักมากกว่าที่จะเป็นทาส. ซึ่งในความเป็นจริง, นายทาสทั้งหลายรู้จักเกี่ยวกับทาสของพวกเขาน้อยมาก. พวกเขาจะรู้สึกพึงใจตราบใดที่ทาสทำงานหนัก, เชื่อฟังคำสั่ง และทำให้ชีวิตของเขาสะดวกสบายมากขึ้น.

ในทางตรงข้าม, ความรักต้องการที่จะรู้รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับคนรักของเขาอย่างใกล้ชิด. พวกเขาต้องการที่จะมีส่วนร่วมปันกับชีวิตของคนรัก, ปกป้องคนรักจากภัยอันตราย, และมองคู่รักเบ่งบานและผลิดอกออกผล. เราเป็นกังวลและห่วงใยเกี่ยวกับคนรักของเราเช่นเดียวกับตัวของเราเอง

ลองจินตนาการดูซิว่า ผลพวงของวิทยาศาสตร์เช่นนี้จะผลิบานอะไรออกมา

Linda Jean Shepherd เป็นนักชีวเคมีคนหนึ่ง: เธอเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Lifting the Veil: the Feminine Face of Science. (เปิดผ้าคลุมหน้าออก: โฉมหน้าแห่งเพศหญิงของวิทยาศาสตร์)

 

back to midnight's home midnightuniv@yahoo.com

 

สรุป (conclusion)