David Orr
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
บทความเก่าที่เผยแพร่มาหลายเดือนแล้ว ซึ่งได้นำมา
ปรับปรุงและเรียบเรียงใหม่ ให้ง่ายและเข้าใจมากขึ้น
(ความยาวประมาณ 13 หน้ากระดาษ A4)
Slow Knowledge เขียนโดย David Orr : สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง
ความรู้เร็วคือความรู้ที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในทางตรงข้าม ความรู้ช้าเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ Fast knowledge is about solving problems whereas slow is about avoiding problems in the first place.

ในช่วงระหว่างปี 1978 และ 1984 ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชียได้ใช้เงินจำนวน 24 ล้านเหรียญเพื่อปรับปรุงเกษตรกรรมบนเกาะบาหลี. เป้าหมายสำหรับการปรับปรุงครั้งนี้ก็คือ การปรับปรุงระบบการเกษตรโบราณที่รวบรวมกันขึ้นมาจากหมู่บ้านต่างๆประมาณ 173 หมู่บ้านซึ่งทำงานร่วมกัน โดยได้มีการเชื่อมโยงกันผ่านเครือข่ายอันหนึ่งของวัดต่างๆ ซึ่งได้มีการปฏิบัติการในชื่อโครงการว่า"water priests"

โครงการ"water priest" เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อรับใช้ต่อเทวีแห่งน้ำ, นามว่า Dewi Danu, ซึ่งองค์เทวีองค์นี้ ปกติแล้วจะไม่ค่อยได้รับการสนใจจากบรรดานักเศรษฐศาสตร์การพัฒนาเท่าใดนัก และไม่เคยได้รับการประดิษฐานอยู่ในมหาวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ด้วย.

ไม่น่าประหลาดใจเลยว่า แผนการใหม่อันนี้ ต้องใช้เงินลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อสร้างเขื่อนต่างๆและคลองส่งน้ำ และเพื่อการจัดหายาฆ่าแมลงและปุ๋ยต่างๆเป็นจำนวนมาก. แผนการดังกล่าวยังรวมถึงความพยายามต่างๆ ที่จะสร้างทรัพยากรต่างๆอันไร้ประโยชน์(ในสายตานักเศรษฐศาสตร์)ขึ้นมาด้วย นั่นคือ ความเป็นบาหลีและผืนแผ่นดินของพวกเขา, รวมเข้ากับผลผลิตในรอบปี. การดำเนินการต่างๆดังที่กล่าวข้างต้นนี้ ตามมาและลงเอยด้วยการยกย่องสรรเสริญชุมชน และพิธีกรรมต่างๆ.

แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้น ผลลัพธ์ต่างๆที่ตามมาซึ่งเป็นที่น่าสังเกตุก็คือ ได้ก่อให้เกิดความหายนะอย่างใหญ่หลวงสำหรับกิจกรรมมูลค่า 24 ล้านเหรียญนี้: นั่นคือ มันได้ส่งผลให้เกิดความเสื่อมทราม แมลงและโรคร้ายแพร่ขยายมากขึ้น และสังคมชนบทในหมู่บ้านเริ่มแยกตัวออกจากกันเป็นอิสระ ไม่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันเหมือนก่อนอีกต่อไป.

บทบาทของพระในศาสนาพื้นเมือง ซึ่งเคยเป็นนักวางแผนผู้มีความเชี่ยวชาญในทางนิเวศวิทยาทั้งหลาย โดยการธำรงรักษาระบบความสอดคล้องอย่างประณีตในการสร้างผลผลิต บทบาทของพระเหล่านี้ได้ถูกบรรดาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนาแย่งชิงไปและรื้อทำลายลง ซึ่งอันที่จริงแล้วระบบดังกล่าว มันทำงานได้เป็นอย่างดีมานับเวลาเป็นพันๆปี แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้นำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ทำงานเข้ามาแทนที่ และไม่ก่อให้เกิดประสิทธิผลแต่ประการใด.

เรื่องราวข้างต้นเป็นอุทาหรณ์สำหรับประวัติศาสตร์ของศตวรรษที่ 20 ที่มีอยู่อย่างมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้ใหม่ที่พยายามทำให้เป็นแบบเดียวกัน(homogenized knowledge)เพิ่มมากขึ้น มันได้มีการนำมายึดถือเป็นสรณะและใช้ประโยชน์อย่างรวดเร็วมาก และในสัดส่วนที่กว้างใหญ่กว่าที่เคยเป็นมาก่อน บ่อยทีเดียวด้วยผลที่ตามมาซึ่งได้สร้างความหายนะและไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลย.

ศตวรรษที่ 20 เป็นยุคแห่งความรู้เร็ว(fast knowledge) ซึ่งได้รับการขับเคลื่อนโดยการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่เป็นไปอย่างฉับพลัน และการถือกำเนิดขึ้นมาของเศรษฐศาสตร์ลูกโลก(global economy - หมายถึงเศรษฐศาสตร์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือสัมพันธ์กันทั้งโลก). ความรู้เร็ว การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และเศรษฐศาสตร์โลกาภิวัตน์ เป็นเครื่องมือที่ไปขุดเซาะความเป็นชุมชน รวมทั้งวัฒนธรรม และศาสนาต่างๆ ซึ่งครั้งหนึ่ง อัตราของการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างเชื่องช้า และได้มีการกลั่นกรองความรู้ที่เหมาะสมขึ้นมาจากเสียงอันแหบห้าวที่ไม่ประสานกันของข้อมูลใหม่ๆ.

Midnight's Article : November 2000
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน : พฤศจิกายน ๒๕๔๓

ความรู้เร็ว(Fast knowledge)คือ โดยกว้างๆในปัจจุบันเชื่อว่า เป็นตัวแทนแก่นแท้เกี่ยวกับ ความก้าวหน้าของมนุษย์. ขณะที่ในเวลาเดียวกันนั้นก็ยอมรับกันมากขึ้นว่า ปัญหาต่างๆถูกทำให้เกิดขึ้นมาโดยการสะสมตัวขึ้นมาของความรู้เร็วอันนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อว่า เรามีทางเลือกอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องดำเนินการต่อไป.

ยิ่งไปกว่านั้น, การวิจัยในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ๆ และและสำหรับผลผลิตใหม่ โดยรวม ได้รับการพิสูจน์บนพื้นฐานต่างๆอันนี้ที่ว่า "ถ้าหากเราไม่ทำ, ก็จะมีคนอื่นทำ และด้วยเหตุนี้เราจึงต้องทำมันก่อน". แน่นอน คนอื่นๆก็ได้คิดและดำเนินการไปบนสมมุติฐานอย่างเดียวกันนี้ทุกประการ. และในทางที่เพิ่มขึ้น, ความรู้เร็วได้รับการพิสูจน์แล้ว บนรากฐานของมนุษ์อันเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ว่า เราจะต้องรีบเร่งฝีเก้าของเราเกี่ยวกับการวิจัย เพื่อที่จะไปบรรจบกับความต้องการต่างๆของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น.

ดังนั้น ความรู้เร็วจึงได้พัฒนาขึ้นมาบนเส้นทางที่กล่าวข้างต้น. มันมีประสิทธิภาพและพลังอำนาจอย่างบริบูรณ์ มันกำลังก่อรูปทางการศึกษาขึ้นมา, สร้างรูปแบบชุมชนขึ้นมาใหม่, สร้างวัฒนธรรม, สร้างสไตล์การใช้ชีวิต, จัดให้มีการขนส่ง, ทำให้เกิดเศรษฐศาสตร์และการเมืองใหม่ซึ่งแตกต่างไปจากเดิม. สำหรับสิ่งเหล่านี้ ณ ยอดบนสุดของสังคมข่าวสารข้อมูล มันกำลังมีความเบิกบานใจและกระทั่งกำลังมึนเมา. มันเป็นเรื่องของประสิทธิภาพ, พลังอำนาจ, ความคิดใหม่ เหล่านี้มันเป็นเรื่องที่สามารถก่อให้เกิดผลกำไรได้อย่างงาม.

อัตราความเร็วที่เพิ่มขึ้นของความรู้ ได้ถูกยอมรับกันกว้างๆในฐานะที่เป็นพยานหลักฐานที่แน่นอน เกี่ยวกับความก้าวหน้าของมนุษย์ และความเป็นนายเหนือธรรมชาติของมนุษย์. แต่จำนวนมากของความป่วยไข้ทางด้านนิเวศวิทยา, เศรษฐกิจ, สังคม และทางด้านจิตวิทยานั้น ที่ได้มากลุ้มรุมทำร้ายสังคมร่วมสมัย ในทุกๆด้าน สามารถที่จะได้รับการอ้างเหตุผลถึงความรู้ที่ได้รับมา และมีการนำไปใช้ ก่อนหน้าที่เราจะมีเวลาคิดถึงมันอย่างไตร่ตรองตลอดสายด้วยความระมัดระวัง.

เราได้วิ่งเข้าไปหายุคแห่งเชื้อเพลิงฟอสซิล เพียงเพื่อที่จะค้นพบปัญหาต่างๆของการถลำตัวเข้าไปสู่ความเป็นกรด ความรุนแรง และการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ. เรารีบเร่งพัฒนาพลังงานนิวเครียล์โดยปราศจากไอเดีย หรือด้วยความคิดที่กระปลกกระเปลี้ยที่สุด เกี่ยวกับสิ่งที่จะต้องทำลงไปกับการสูญเสียไป โดยเปล่าประโยชน์กับกัมนตภาพรังสี. อาวุธนิวเครียล์ต่างๆได้รับการสร้างขึ้นมา ก่อนที่เราจะมีเวลาครุ่นคิดถึงความเกี่ยวพันต่างๆของมันอย่างเต็มที่. ความรู้เกี่ยวกับการที่จะฆ่าได้มากขึ้น และกระทำมันอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไรนั้น ได้รับการเร่งขึ้นจากงานวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์ โดยปราศจากคำถามมากนัก เกี่ยวกับผลที่เกิดขึ้นของมันต่อพฤติกรรมของคนอื่นๆ และต่อพฤติกรรมของตัวเราเอง.

 


วัฒนธรรมเกี่ยวกับความรู้เร็ว(fast knowledge) วางอยู่บนข้อสมมุติฐานต่างๆดังต่อไปนี้:

-ความรู้เร็วสนใจ เพียงแต่สิ่งซึ่งสามารถถูกนำมาวัดได้เท่านั้น และมันถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง. ยิ่งวัดได้มากก็จะยิ่งดีสำหรับเรา
- ความรู้เร็วเชื่อว่า ความรู้เป็นสิ่งที่หยิบยืมมาใช้ประโยชน์กันได้ มันเป็นความรู้ที่เหนือกว่าความรู้ที่เป็นเรื่องของการพิจารณาไตร่ตรอง (หมายถึงความรู้สำเร็จรูปที่นำมาใช้ได้เลย ไม่ต้องคิดพิจารณาขึ้นมาใหม่)
- ความรู้เร็วเห็นว่า มันไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญใดๆ
ระหว่างข้อมูลและความรู้
-ความรู้เร็วบอกว่า ปัญญาญาน(wisdom)เป็นสิ่งซึ่ง
ไม่อาจนิยามความหมายได้, ดังนั้น จึงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ
- ความรู้เร็วคิดว่า มันไม่มีข้อจำกัดใดๆต่อความสามารถของคนเรา ที่จะดูดซับหรือย่อยความเจริญงอกงามของข้อมูลข่าวสารที่ก่อตัวขึ้นมาเป็นภูเขาเลากา, และไม่มีข้อจำกัดใดๆต่อความสามารถของเรา ที่จะต้องไปแยกแยะความรู้ที่เป็นแก่น
ออกจากสิ่งที่ไม่มีสาระสำคัญ
หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นอันตราย
- ความรู้เร็วเชื่อว่า เราสามารถที่จะกอบกู้ หรือซ่อมแซมความรู้ที่ถูกต้อง ให้กลับมาได้ในเวลาที่เหมาะสม และทำให้มันเข้ากับบริบททางสังคม, นิเวศวิทยา, จริยธรรม และเศรษฐกิจ (หมายถึงทำแล้ว หากว่ามันไม่ได้ผลหรือสร้างผลกระทบ ก็ค่อยแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องห่วงกังวล)
- ความรู้เร็วตระหนักว่า เราจะต้องไม่ลืมความรู้เก่า,
แต่ถ้าหากว่าเราต้องทำ (หรือจำเป็นต้องลืม), ก็มั่นใจได้ว่า
"ความรู้ใหม่เป็นสิ่งที่ดีกว่าความรู้เก่า"
- ความรู้เร็วเชื่อว่า อะไรก็ตามที่ผิดพลาดและเซ่อซ่างุ่มง่าม ซึ่งเกิดขึ้นตามหนทางนั้น สามารถที่จะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องได
้โดยความรู้ที่มากกว่า.
- ความรู้เร็วเชื่ออีกว่า ระดับของความเป็นนักคิด นักประดิษฐ์
และผู้มีความเฉลียวฉลาดของมนุษย์จะยังคงสูงอยู่ต่อไป
- ความรู้เร็วคิดว่า การได้มาซึ่งความรู้ ไม่มีพันธะข้อผูกพันที่จะต้องตรวจดูว่า มันได้ถูกนำมาใช้ด้วยความรับผิดชอบหรือไม่ ?
- ความรู้เร็วคิดว่า การให้กำเนิดหรือการสร้างความรู้ สามารถที่จะถูกแยกแยะได้
จากความมีประโยชน์ของมัน
ส่วนมิติอื่นๆไม่ต้องไปสนใจมากนัก
- ความรู้เร็วเชื่อว่า ความรู้ทั้งมวล มันดำรงอยู่ในธรรมชาติ, ไม่เฉพาะเจาะจง หรือถูกจำกัดโดยสถานที่ เวลา และสถานการณ์แวดล้อมใดๆ กล่าวคือ ความรู้เป็นสากลนั่นเอง


สาร CFCs จำนวนมาก, สารที่ก่อมะเร็ง, ตัวแทนที่สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนรูปไป และสารเคมีที่มารบกวนฮอร์โมน, สิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน ได้รับการผลิตขึ้นมาด้วยความรู้เร็ว(fast knowledge). เกษตรกรรมที่ใช้พลังงานในลักษณะเข้มข้น ก็เป็นผลผลิตอันหนึ่งของความรู้ที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้ก่อนที่จะมีการพิจารณาใคร่ครวญกันอย่างคร่ำเคร่งว่า เราจะต้องใช้ทุนทางสังคมและนิเวศวิทยาอย่างเต็มที่มากน้อยเพียงใดเพื่อแลกกับสิ่งเหล่านี้. การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปริมาณที่วัดได้อย่างมากมาย ได้ถูกขับเคลื่อนไปโดยความรู้เร็ว(fast knowledge)อันนี้.

สรุปก็คือ ความรู้เร็ว(fast knowledge) ได้กัดเซาะและเจาะทลวงความยั่งยืนในระยะยาวด้วยเหตุผลเบื้องต้นสองประการ.

ประการแรก, ทั้งหมดที่เกี่ยวกับการสนับสนุนที่เข้มแข็งของยุคข้อมูลข่าวสารและความเร็ว ซึ่งมนุษย์ได้อ้างหรือเข้าใจเอาเองว่าเรียนรู้. แต่ข้อเท็จจริงต่างๆกลับบอกกับเราว่า อัตราการเรียนรู้ในลักษณะสั่งสม(collective learning): ค่อนข้างเป็นไปอย่างเชื่องช้า.

ครึ่งศตวรรษกว่ามานี้ หลังจากความตายของบุคคลสำคัญ, ยกตัวอย่างเช่น, คานธี, เราแทบจะไม่เริ่มต้นหยั่งถึงความหมายอันบริบูรณ์เกี่ยวกับความคิดของคานธี ในเรื่องเกี่ยวกับการไม่ใช้ความรุนแรง(nonviolence) หรือหลักอหิงสา หรือเรื่องอันนั้นที่เกี่ยวกับ"จรรยาแห่งแผ่นดิน"(land ethic).

เกือบจะหนึ่งศตวรรษครึ่งมาแล้ว หลังจากหนังสือเรื่อง The Origin of Species เราก็ยังคงต่อสู้ดิ้นรนเพื่อจะทำความเข้าใจถึงความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องของวิวัฒนาการ. และเป็นเวลาหลายพันปีหลังจาก โมเสส, พระเยซู, และพระพุทธเจ้า เราก็ยังคงไม่ฉลาดพอ หรือยังโง่เขลาในเรื่องของจิตวิญญานเช่นดังที่เป็นมาอยู่ดี.

ปัญหาก็คือว่า อัตราซึ่งเราเรียนรู้ในลักษณะสั่งสม(collectively learning) และการดูดซับความคิดใหม่ๆต่างๆนั้น มันเกี่ยวข้องกันเพียงเล็กน้อยกับเรื่องความเร็วของเทคโนโลยี่ในการสื่อสารของพวกเรา หรือเกี่ยวข้องกับปริมาณของข้อมูลข่าวสารที่มีมาถึงเราน้อยมาก. อันที่จริง, ความเชื่องช้าเกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์ โดยตัวของมันเอง มันเป็นการปรับตัวในลักษณะที่ค่อยเป็นค่อยไป มากกว่าจะเป็นอะไรที่ได้มาอย่างรวดเร็ว.

แม้ว่า มนุษย์สามารถที่จะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่การใช้ประโยชน์เกี่ยวกับความรู้เร็ว(fast knowledge)ได้ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆที่ตามมาทันที มากกว่าที่เราจะสามารถจำแนกแยกแยะและตอบโต้กับมันได้ทัน. เราไม่สามารถที่จะมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ตลอดสาย เพราะระบบของธรรมชาติมันมีความสลับซับซ้อนมาก และปัจจุบัน ธรรมชาติกำลังมีปฏิกริยาโต้ตอบต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆซึ่งมนุษย์เป็นผู้นำมา ในขนาดสัดส่วน ขอบเขต และอัตราความเร็วที่มีอยู่ดังในปัจจุบัน.

นอกจากนี้ องค์กรทางความรู้ในลักษณะที่แบ่งแยกซึ่งลึกลงไปในรายละเอียด ทั้งทางด้านสาขาวิชา และแรงงาน ได้ไปส่งเสริมข้อจำกัดต่างๆเกี่ยวกับความสามารถของเราที่จะทำความเข้าใจผลกระทบที่เกิดขึ้นมาอย่างเป็นระบบต่อกลไกของธรรมชาติที่เป็นองค์รวม. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการสร้างสรรค์ความรู้แบบเร็ว(fast knowledge)ขึ้นมาในพื้นที่หนึ่ง แล้วนำไปใช้ มันกลับทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาในอีกพื้นที่หนึ่งในเวลาต่อมา จนเราไม่อาจจับต้นชนปลายได้ถูก. ผลที่สุดก็คือ, เรากำลังเล่นไล่จับให้ทัน, แต่เราก็กำลังถูกทิ้งให้ไกลออกไปและไกลออกไปเบื้องหลังมากขึ้นทุกทีๆ.

ท้ายที่สุด, ความรู้เร็ว(fast knowledge)ได้สร้างโครงสร้างทางอำนาจขึ้นมา ซึ่งบทบาทหน้าที่ของมันก็คือการประจันหน้ากับกระบวนทรรศน์ที่เป็นทางเลือก และโลกทัศน์ที่อาจจะทำให้ความเร็วของนาฬิกาแห่งการเปลี่ยนแปลงช้าลง สู่อัตราความเร็วที่มนุษย์สามารถจัดการหรือบริหารมันได้. ที่ผ่านมานั้น ระบบของความรู้แบบเร็วได้สร้างกับดักหรือหลุมพรางต่างๆทางสังคมขึ้นมา ซึ่งผลประโยชน์ต่างๆเพียงเกิดขึ้นมาในชั่วเวลาสั้นๆเท่านั้น ขณะที่ราคาค่างวดหรือต้นทุนต่างๆได้ถูกผัดผ่อนไปสู่สิ่งอื่นๆและต้องจ่ายคืนในเวลาต่อมาเป็นจำนวนมาก.

มาถึงตรงนี้ ขอให้เราลองมาสำรวจตรวจตราความรู้จากอีกด้านหนึ่ง

ความรู้ซึ่งเราเคยเชื่อถือมันได้ สำหรับผลลัพธ์ที่ดีและมีความเห็นพ้องต้องกันมาเป็นเวลายาวนานก็คือ ความรู้ที่ถูกรับเอามาอย่างช้าๆ โดยผ่านการเจริญเติบโตทางวัฒนธรรม. ขอเรียกความรู้ที่กล่าวมานี้ว่า"ความรู้ช้า"(slow knowledge). ความรู้ช้า คือความรู้ที่ได้ก่อรูปหรือที่ได้รับการตรวจตราเพื่อให้เหมาะสมกับบริบททางนิเวศวิทยา และวัฒนธรรมเรียบร้อยแล้ว.

ความรู้ช้ามิได้มีนัยะบ่งถึงความเซื่องซึมสลบไสล แต่มันค่อนข้างจะเป็นความละเอียดถี่ถ้วนและความอดทน. เป้าหมายของความรู้ช้า เป็นความสามารถในการยืดหยุ่นและคืนกลับสู่สภาพเดิมได้(resilience), ความกลมกลืน และการปกปักรักษาเกี่ยวกับ"แบบแผนต่างๆที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน".

"วิวัฒนาการ"คือ ตัวอย่างที่เป็นแม่แบบ(archetypal example)ของความรู้แบบช้านี้. เว้นแต่สำหรับกรณีซึ่งหาได้ยากเต็มทีเกี่ยวกับดุลยภาพที่ขาดเป็นห้วงๆ. วิวัฒนาการ ดูเหมือนว่ามันจะทำงานโดยการทดสอบ ลองผิดลองถูกอย่างช้าๆ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปทีละเล็กทีละน้อย. ธรรมชาตินั้นยากมาก ที่จะวางเดิมพันมันทั้งหมดลงไปกับการทอดลูกเต๋าออกมาเพียงครั้งเดียว.

ในทำนองเดียวกัน วัฒนธรรมของมนุษย์ในทุกๆวัฒนธรรม ก็มีการพยายามปรับตัวของมันเองอย่างชำนิชำนาญและอย่างมีศิลปะ เพื่อรับกับการท้าทายและเพื่อเปิดโอกาสให้กับทัศนียภาพอันหนึ่งโดยเฉพาะ. วัฒนธรรมได้กระทำเช่นนั้นลงไป ด้วยความอดทนและโดยการสะสมพอกพูนความรู้อย่างอุตสาหะมาหลายชั่วอายุคน: และ "วัฒนธรรม มันมีความมุ่งมั่นพยายามโดยใช้เวลาอันยาวนานที่จะปรับตัวเข้าไปใกล้และใกล้ยิ่งกว่าที่เคย "สู่สถานที่ที่เฉพาะเจาะจงแห่งหนึ่งๆ. ดังนั้นจะเห็นได้ว่า มันมีการสั่งสมขึ้นมาอย่างช้าๆ และเป็นไปอย่างสอดคล้องรมณีย์

ไม่เหมือนกันกับความรู้เร็ว(fast knowledge)ซึ่งฟักตัวขึ้นในมหาวิทยาลัย, หรือก่อกำเนิดขึ้นมาจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ที่คอยให้คำแนะนำและเป็นคลังทางความคิด(think-tanks) มันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับวัฒนธรรมที่กล่าวมาเลยทีเดียว กล่าวคือ มันไม่ปรับตัว ไม่อดทน และไม่เรียนรู้จากใครๆ…

ความรู้ช้า เกิดขึ้นมา และมีการสั่งสมมากขึ้นๆโดยผ่านกระบวนการของชุมชน ซึ่งได้เรียนรู้ที่จะได้รับการกระตุ้นเพิ่มขึ้นโดยเจตนาที่ดีและความรัก ยิ่งกว่าจะโดยผ่านความอยากรู้อยากเห็นอันไร้ประโยชน์, หรือด้วยความละโมภ หรือความทะยานอยาก.


ความรู้ช้า เป็นความรู้ที่เชื่อถือได้ มีการทดสอบ
มาเป็นเวลายาวนาน กลั่นกรองเป็นวัฒนธรรม



วัฒนธรรมทุกๆวัฒนธรรม มีการการปรับตัว
อย่างชำนิชำนาญ และอย่างมีศิลปะ
มันคือการสั่งสมของความรู้อย่างช้าๆ และ
เป็นไปอย่างสอดคล้องกับวิถีชีวิต


- สิ่งที่ทำให้เราได้รับความทุกข์ทรมานนั้น เราเคยคิดไหมว่า มันเกี่ยวข้องกับ"การขาดแคลนทางด้านความรู้"น้อยกว่า"ความรู้ที่มีมากจนเกินไป ซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่เหมาะสม" และความรู้ที่มากจนเกินไปนี้ มันก่อให้เกิดความยุ่งยากเกี่ยวกับการดูดซับหรือย่อยมัน ก่อให้เกิดความยากเย็นในการนำมาใช้ประโยชน์ และยากขึ้นไปอีกถ้าเผื่อว่ามันก่อให้เกิดปัญหาแล้วจะทำให้มันคืนกลับสู่สภาพเดิม. นอกจากนี้ ความรู้ดังกล่าวยังขาดเสียซึ่งความเห็นอกเห็นใจและการตัดสินใจที่ดีด้วย.
- สุ้มเสียงที่เกิดขึ้นมาของความรู้ ไม่สามารถที่จะชดเชยหรือทดแทนสุ้มเสียงที่เกิดขึ้นมาบนความผิดพลาดต่างๆ ซึ่งได้ถูกทำให้เกิดขึ้นโดยการทุจริตต่อหน้าที่และความโง่เขลา (ส่วนใหญ่แล้ว สิ่งเหล่านี้ได้ก่อตัวขึ้นมาโดยความรู้ที่ไม่เหมาะสม). ท เราเคยคิดไหมว่า คุณสมบัติที่ดีของบรรดาผู้ที่สร้างความรู้ ส่วนใหญ่แล้ว จะไม่เป็นไปในลักษณะซึ่งไม่สอดคล้องไปกับความเป็นจริงที่พวกเขาตั้งใจที่จะทำให้เกิดความก้าวหน้า
และผลที่เกิดขึ้นในทางเลวร้ายอย่างกว้างขวางของมัน.

โลกทัศน์ที่มีอยู่แต่เดิมในความรู้ช้า(slow knowledge)พึ่งพาอาศัยฐานความเชื่อดังต่อไปนี้คือ:

- ความรู้ช้า เชื่อในเรื่องของ"ปัญญาญาน", ไม่ใช่ความฉลาด. ปัญญาญานคือจุดมุ่งหมายที่เหมาะสมของการเรียนรู้ที่แท้จริง
- ความสัมพันธ์ระหว่าง "ปัญญาญาน" กับ "อัตราความเร็วของความรู้" เป็นความสัมพันธ์ในเชิงผกผันหรือตรงข้ามกัน
- การใช้ประโยชน์จากความรู้เร็ว เป็นไปโดยไม่มีความห่วงใยในสิ่งต่างๆ นอกจากนี้มันยังไปกีดกันหรือทำลายเงื่อนไขต่างๆ
เกี่ยวกับความงอกงามทางความรู้อื่นๆด้วย ไม่ให้มีโอกาสเฟื่องฟูขึ้นมา.
ยกตัวอย่างเช่น สงครามนิวเครียล์, ถูกทำให้มีความเป็นไปได้โดยการศึกษาทางด้านฟิสิกส์, ซึ่งอันนี้ทำให้เกิดการสูญเสียโอกาสทางการศึกษาต่อไปข้างหน้า
ทางด้านฟิสิกส์อื่นๆที่จะเบียดหรือแทรกตัวเข้ามา

ความแตกต่างระหว่าง"ความรู้เร็ว" และ "ความรู้ช้า"
เพื่อที่จะเห็นภาพของความแตกต่างกันอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความรู้เร็วและความรู้ช้า ขอให้เราลองมาดูตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างความรู้ทั้งสองชนิด ดังต่อไปนี้

- ความรู้เร็วจะโฟกัสลงไปที่การแก้ปัญหาต่างๆ, ปกติแล้ว ก็โดยการกำหนดเทคโนโลยีลงไปอันหนึ่งที่มีความแน่นอน หรือไม่ก็เทคโนโลยี่อีกอันหนึ่งที่แน่นอนขึ้น(โดยไม่คำนึงถึงความรุนแรงที่แฝงเร้นมา). ส่วนความรู้ช้า ประการแรกสุด เป็นความรู้ที่เกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ.
-
ความรู้เร็วจะเกี่ยวพันกันกับสิ่งต่างๆที่แยกออกจากกันหรือไม่ปะติดปะต่อกัน; ขณะที่ความรู้ช้าจะเกี่ยวข้องกับบริบท, แบบแผนต่างๆและความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน.
- ความรู้เร็วเกิดขึ้นมาจากการแบ่งเป็นลำดับชั้นสูงต่ำตามแนวตั้งและการแข่งขัน; ส่วนความรู้ช้าจะถูกแบ่งปันอย่างอิสระตามแนวนอนภายในชุมชนหนึ่ง.
- ความรู้เร็วเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ know-how หรือความรู้ในเชิงปฏิบัติ(practical knowledge)[ในลักษณะที่นำเอาความรู้มาปฏิบัติการอย่างไร]; ส่วนความรู้ช้าจะเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับ know-why หรือความรู้ในลักษณะที่ว่าทำไม.
- ความรู้เร็วเป็นเรื่องของการกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันและเป็นเรื่องผลประโยชน์ของของปัจเจกและขององค์กร; ส่วนความรู้ช้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรืองของชุมชน.
- ความรู้เร็ว เป็นเรื่องของการดำเนินไปเป็นเส้นตรง(หรือการดำเนินไปเป็นลำดับก่อนหลังทีละขั้นๆ); ขณะที่ความรู้ช้าจะมีลักษณะเป็นวงจรหรือวงกลม, สลับซับซ้อนและมีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม.
- ความรู้เร็วได้ถูกสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาโดยพลังอำนาจ; ส่วนความรู้ช้าได้รับการรับรู้โดยความงดงามของมันและความสามารถในการฟื้นคืนกลับสู่ความเป็นปกติและมีความยืดหยุ่น.
- ความรู้เร็ว บ่อยครั้ง ได้รับการพิจารณาในฐานะที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัว; ขณะที่ความรู้ช้าเป็นไปในทางตรงข้าม มันไม่ได้ถูกเป็นเจ้าของโดยใคร ดังนั้นใครๆก็ตามสามารถที่จะเป็นเจ้าของความรู้ได้โดยไม่มีการเฉพาะเจาะจง.
- ในวัฒนธรรมของความรู้เร็ว "มนุษย์คือมาตรวัดของสรรพสิ่งทั้งปวง". ในทางตรงข้าม, ความรู้ช้าเกิดขึ้นมาในฐานะที่เป็นกระบวนการวิวัฒนาการของธรรมชาติร่วมกัน ทั้งมนุษย์, พืช, และสัตว์ชนิดอื่นๆ รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยที่มีส่วนร่วมปันกัน.
-
ความรู้เร็ว บ่อยทีเดียว เป็นลักษณะนามธรรมและลักษณะของทฤษฎี, มีความผูกมัดเชื่อมโยงกับส่วนหนึ่งของจิตใจเท่านั้น. ส่วนความรู้ช้า, ในทางที่ตรงข้ามกัน, ผูกพันอยู่กับความรู้สึกทั้งหมด และขอบเขตอันบริบูรณ์เกี่ยวกับพลังทางด้านจิตใจของเรา.
- ความรู้เร็ว มักจะเป็นเรื่องใหม่ๆเสมอ; ส่วนความรู้ช้า บ่อยครั้ง เป็นเรื่องที่เก่ามากๆ.
- บาปที่มากลุ้มรุมทำร้ายเราอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งมีอยู่แต่กำเนิดในความรู้เร็วคือ ความเย่อหยิ่งทะนงตน, ความเชื่อในความมีอำนาจเช่นดั่งพระเจ้าในมนุษย์ ซึ่งปัจจุบันมีหลักฐานและขยายขอบเขตแผ่ไพศาลให้เห็นประจักษ์กันไปทั่วไปทั้งโลก. ส่วนความรู้ช้านั้น อาจเป็นเพียงแค่เรื่องของท้องถิ่น เรื่องแคบๆ มีขอบเขต และมีความต้านทานต่อความต้องการการเปลี่ยนแปลง ไม่เย่อหยิ่ง ไม่ต้องการมีอำนาจ.

โอกาสไหนล่ะ ที่เราต้องการความรู้เร็ว(fast knowledge) ? ยกตัวอย่างเช่น การวิจัยทางการแพทย์ที่รวดเร็ว เป็นสิ่งที่ดีใช่ไหม ? ใช่, แต่ก็ต้องเป็นไปอย่างมีเงื่อนไขที่เกี่ยวพันกับปัญหาต่างๆที่มีนัยสำคัญอย่างแท้จริง.

มีหลายสิ่งหลายอย่างในวงการแพทย์ปัจจุบันที่นำพามนุษย์ไปสู่ความเสี่ยงมากขึ้นโดยไม่จำเป็น. การแพทย์สมัยใหม่ พยายามมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วโดยผ่านวิธีการหรือขั้นตอนทางการแพทย์ที่สลับซับซ้อนและมีราคาแพง ทั้งนี้เพราะการแพทย์ปัจจุบันได้ไปสัมพันธ์กับเรื่องของผลประโยชน์ ทำให้มีการผลิตความรู้แบบเร็วขึ้นมา ซึ่งได้มาทำลายโภชนาการด้านสุขภาพ และสนับสนุนการดำรงอยู่ในแบบยึดติด และสร้างสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงต่ออันตรายมากขึ้น.

ตัวอย่างที่พบเห็นกันในปัจจุบันก็คือ จะเห็นว่า ได้มีความพยายามที่จะสร้างวัฒนธรรมอันหนึ่งขึ้นมา ซึ่งให้การปกป้องและสนับสนุนในเรื่องสุขภาพ, อุตสาหกรรมต่างๆทางการแพทย์ได้อุทิศตัวให้กับการวิจัยหรือการค้นคว้าทางด้านนี้กันอย่างแข็งขัน และก่อให้เกิดขายผลิตภัณฑ์ทางด้านสุขภาพ และเครื่องมือหรืออุปกรณ์เกี่ยวกับการออกกำลังกายที่ยุ่งยากซับซ้อน มีราคาแพงต่างๆ. บ่อยครั้งสิ่งเหล่านี้มันรักษาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น นอกจากนี้ มันยังได้ก่อให้เกิดความไม่สบายหรือความเจ็บป่วยอันไม่จำเป็นตามมามากมายด้วย.

สำหรับเหตุผลในทำนองเดียวกัน ที่ว่า, เราจะต้องเรียนรู้อย่างรวดเร็ว มากเท่าที่จะเป็นไปได้เกี่ยวกับระบบบรรยากาศของโลกว่ามันทำงานอย่างไร และเราควรจะทำรายงานสรุปเกี่ยวกับชีววิทยาท้องถิ่นทั้งพืชและสัตว์ของโลกเอาไว้อย่างครบถ้วน ใช่ไหม ? คำตอบก็คือ ใช่,

แต่อย่างไรก็ตาม, อีกคำรบหนึ่งที่ว่า, ความเร่งรีบที่ได้มาโดยจังหวะก้าวและเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจของมนุษย์ ในเรื่องระบบต่างๆทางธรรมชาติ - ผลลัพธ์ของความรู้เร็วที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์โดยไม่มีการความห่วงกังวลใดๆ, ในประเด็นนี้ ดังที่นักบัญชีทุกๆคนทราบดีก็คือว่า มันมีความแตกต่างกันระหว่างรายได้ทั้งหมดที่ยังไม่ได้หัก กับ รายได้สุทธิ. และในท้ายที่สุดของต้นทุนของความรู้เร็วมันจะต้องถูกหักออก, หลังจากนั้นก็จะเห็นรายได้สุทธิที่ได้รับมากับความรู้มากมายดังกล่าว ซึ่งจริงๆแล้ว มันน้อยกว่าที่เราเชื่ออย่างน่าใจหายเลยทีเดียว.

แล้วอะไรบ้างล่ะ ที่สามารถทำได้ ? เราอาจจะถามอย่างนั้น. เพราะเท่าที่ผ่านมาข้างต้น ดูเหมือนว่าคำตอบที่ได้จะไปทำลายต้นตอต่างๆของพลังที่ให้เชื้อเพลิงต่อความรู้เร็วให้หดหายไปจนเกือบจะหมดสิ้น. อันที่จริงแล้ว เราอาจจะไม่ไร้พลังไปเสียทีเดียวเช่นนั้น. ปัญหาอันนี้เป็นที่ชัดเจน: เราไม่ต้องการความรู้เร็วมากไปกว่านี้ ซึ่งได้ไปตัดเอาบริบทของสิ่งแวดล้อม นิเวศวิทยา และสังคมออกไป เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็เป็นความรู้ที่เต็มไปด้วยอวิชชา.

ในหลักการ, การแก้ปัญหาเป็นเรื่องที่ชัดเจนเท่าๆกัน: เราต้องการที่จะค้นให้พบ และบางครั้งค้นพบใหม่อีกหน เกี่ยวกับความรู้ในสิ่งต่างๆ อย่างเช่น โลกของเรานี้ทำงานอย่างไร ? ทำอย่างไรจึงจะสร้างชุมชนที่ยั่งยืนและถาวรขึ้นมาได้ ซึ่งมีความเหมาะสมสอดคล้องกับขอบเขตปริมณฑลของสถานที่นั้นๆ ? ทำอย่างไรจึงจะยกระดับและให้การศึกษาแก่พวกเด็กๆให้เป็นคนที่สมบูรณ์(มีใจกรุณาและโอบอ้อมอารี) ? และทำอย่างไรจึงจะเตรียมให้ตัวของเราเองเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ยุติธรรม และอยู่ในข้อจำกัดทางด้านนิเวศวิทยาได้ ? เราจะต้องจำไว้ว่า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด มีความจำเป็นที่จะต้องระลึกว่า โลกของเรานี้ถูกทำให้ร้าวรานด้วยการแข่งขัน, ความกลัว, ความโลภ, และการมองไปข้างหน้าแต่เพียงสั้นๆเท่านั้น. ถ้าหากว่าไม่มีการบำบัดรักษาอย่างรวดเร็วทันกาลพอ, เราก็จะไม่มีหนทางที่จะสร้างสรรค์ความสมดุลย์ที่ดีขึ้น ระหว่าง"ความต้องการที่แท้จริงของสังคม" และ "ความรู้" ขึ้นมาได้.

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัยทั้งหลาย, ข้าพเจ้าขอเสนอขั้นตอนดังต่อไปนี้โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทำการปรับปรุงคุณภาพของความรู้ ด้วยการทำให้มันช้าลงเกี่ยวกับการได้มาซึ่งความรู้ เพื่อที่ว่าเราจะสามารถบริหารและจัดการมันได้.

ประการแรก, บรรดานักวิชาการทั้งหลายควรจะได้รับการส่งเสริมสนับสนุน ในการรวบรวมนักปฏิบัติการต่างๆ และบุคคลทั้งหลาย ให้เอนเอียงไปในทิศทางที่มีการจัดความสำคัญก่อนหลัง สำหรับการได้มาซึ่งความรู้ตามความต้องการของสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างแท้จริง.

ความรู้ในแบบมืออาชีพหรือผู้เชี่ยวชาญที่แยกตัวออกไปเพิ่มมากขึ้นจากความต้องการต่างๆของผู้คน และในปริมณฑลอันนั้น มันจะเป็นอันตรายต่อความหวังต่างๆข้างหน้าที่ใหญ่โตของเรา. เราไม่ได้มีความต้องการจะแสดงความคับแค้นใจ เกี่ยวกับการไม่มีส่วนร่วมในทางการเมืองและสังคมของชุมชน และประชาชาติ, ขณะที่เราได้ปล่อยให้ผู้ป้อนความรู้แบบเร็วทั้งหลาย ส่งความรู้เหล่านั้นให้กับนักการเมืองตัดสินใจหรือกำหนดเงื่อนไขต่างๆที่เป็นจริงในสภาพที่เราอาศัยอยู่ โดยไม่มีการเรียกร้องหรือคัดค้านมากเท่าที่ควร. ความรู้จะมีผลที่ตามมาทางด้านสังคม, เศรษฐกิจ, การเมือง และนิเวศวิทยา ซึ่งอันนี้เป็นที่แน่นอนเท่าๆกับพระราชบัญญัติทุกๆฉบับของรัฐสภาหรือสภานิติบัญญัติ, และเราควรที่จะเรียกร้องการเป็นตัวแทนในการจัดการเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ ซึ่งอาจจะเสนอเป็นหัวข้อต่างๆของการวิจัยด้วยเหตุผลในอย่างเดียวกันกับที่เราเรียกร้องมันในสาระสำคัญต่างๆเกี่ยวกับการเสียภาษี. การเรียกร้องควรจะครอบคลุมและรวมไปถึงการวิจัยแบบช้า ซึ่งสามารถที่จะควบคุมได้มากกว่า ขณะเดียวกันก็ปรับปรุงคุณภาพของมันขึ้นมาด้วย.

ประการที่สอง, สติปัญญาความสามารถ ควรจะได้รับการส่งเสริมสนับสนุนในทุกๆทางเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อขยายงานวิจัยและทุนทางการศึกษาให้กว้างออกไปคลุมถึงบริบททางนิเวศวิทยา, จริยธรรม และสังคม.

บรรดาทุนการศึกษาและทุนวิจัยควรจะได้รับการสนับสนุนเพื่อส่งเสริมนักศึกษาและนักวิจัยให้ค้นหาความรู้ดั่งเดิมและความรู้ที่แท้จริงกันอีกครั้ง และเพื่อให้การยอมรับปัญญาญานที่มีมาก่อน. นอกจากนี้ สถาบันอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัยต่างๆควรจะให้การส่งเสริม และสนับสนุนการให้รางวัลแกความพยายามมุ่งมั่นต่างๆมากยิ่งขึ้น กับการที่นักวิชาการทั้งหลายได้ทุ่มเทความรู้และสติปัญญาของพวกเขาไปเพื่อการสอน และประยุกต์เอาความรู้หรือภูมิปัญญาที่มีอยู่แล้ว เพื่อนำมาแก้ปัญหาที่แท้จริงในชุมชนต่างๆของพวกเขา.

ประการที่สาม, สถาบันอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัยต่างๆควรจะให้การอุปถัมภ์การถกเถียงอภิปรายที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง และจริงใจเกี่ยวกับอัตราความเร็วของความรู้ และผลกระทบต่างๆของมันที่มีต่อความหวังข้างหน้าที่ใหญ่กว่าของพวกเรา.

เราซื้อหรือยอมจ่ายให้กับอุดมการณ์เกี่ยวกับความรวดเร็วไปเป็นจำนวนมาก ในฐานะที่มันเป็นสิ่งซึ่งดีกว่า โดยปราศจากการหยุดคิดหรือตระหนักเกี่ยวกับมันด้วยการพิจารณาใคร่ครวญตลอดสาย. เราสื่อสารด้วยอิเล็คทรอนิคเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นจดหมายด่วนหรืออิเล็คทรอนิคเมล์ และอินเทอร์เน็ท. ผลที่ตามมา, ข้าพเจ้าเชื่อว่า ใครบางคนสามารถตรวจพบการเสื่อมทรามลงอย่างเงียบๆเกี่ยวกับการสื่อสารของเรา และบางทีในอารยธรรมของเราด้วย, ในสัดส่วนความสัมพันธ์ที่แน่นอนกับอัตราความเร็วของมันและจำนวนปริมาณ.

ความรู้เร็วได้แสดงให้เห็นถึงความหายนะในโลกเรานี้ ทั้งนี้เพราะเผ่าพันธุ์ Homo Sapiens ไม่ได้มีความเฉลียวฉลาดมากพอที่จะจัดการบริหารหรือควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ มันเป็นไม่ไปได้สำหรับจิตใจของมนุษย์ที่จะค้นพบและสร้างสรรค์ไปได้ตลอด (เนื่องจากวันหนึ่ง มันจะถึงจุดตีบตันของปัญหาที่เกินไปกว่าความสามารถของมนุษย์).

ในคำกล่าวของ Wendell Berry, ดังต่อไปนี้ ถือว่าเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาที่สุดอันหนึ่งซึ่งฝังมาแต่กำเนิดของมนุษย์ เท่าที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาเลยทีเดียวเกี่ยวกับความเชื่อที่ว่า "อันดับแรก เราสามารถที่จะสร้างปีศาจร้ายต่างๆให้แพร่หลายไปทั่วได้, และถัดจากนั้น ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง, เรากลายเป็นคนที่ฉลาดขึ้นมาและเก่งพอที่จะควบคุมมันได้".

ความรู้ช้า อันที่จริงแล้ว ไม่ใช่ความเชื่องช้าแต่อย่างใด. มันเป็นความรู้ที่ได้มาและถูกนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็วเท่าที่มนุษย์สามารถจะเข้าใจมันได้ และนำเสนอมันออกมาได้อย่างมั่นใจและใช้ได้ดี. ความสลับซับซ้อนของโลกและความลึกล้ำเกี่ยวกับความอ่อนแอและบอบบางของมนุษย์เรา, อันนี้ต้องใช้เวลาและมันมักจะต้องการเช่นนั้นเสมอ. ข้อมูลข่าวสาร สามารถที่จะถูกส่งผ่านถ่ายทอดและใช้ได้อย่างรวดเร็ว, แต่ความรู้ใหม่มันเป็นบางสิ่งบางอย่าง บ่อยครั้ง มันต้องการโลกทัศน์และกระบวนทัศน์ต่างๆที่มีการจัดการกันใหม่อีกครั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจได้รับการกระทำอย่างช้าๆเท่านั้น.

แทนที่จะเพิ่มความเร็วในการพูดจาของพวกเรา, เรากลับต้องการที่จะเรียนรู้เพื่อที่จะฟังอย่างตั้งใจและใส่ใจมากขึ้น. แทนที่จะเพิ่มปริมาณการสื่อสารของพวกเรา, เรากลับควรที่จะปรับปรุงเนื้อหาของมันมากกว่า. แทนที่จะสื่อสารให้ขจรขจายออกไปกว้างไกล, เราควรที่จะสนทนาพูดคุยกันให้เข้มข้นมากขึ้นกับเพื่อนบ้านของเรา โดยปราศจากการช่วยเหลือของเทคโนโลยีใดๆทุกชนิด. สำหรับสิ่งเหล่านี้ "มันไม่ต้องเร่งรีบ, มันไม่ต้องความรีบร้อนแต่ประการใด"
back to midnight's home back to article page

ความรู้ที่เราร่ำเรียนกันในมหาวิทยาลัย
ส่วนใหญ่แล้ว David Orr เรียกมันว่า
fast knowledge

ในขณะที่ภูมิปัญญาของชาวบ้าน เขาได้
เรียกมันว่า slow knowledge

ความรู้ช้ามิได้มีนัยบ่งถึงความเซื่องซึมสลบไสล แต่มัน
เป็นความละเอียดถี่ถ้วนและความอดทน
เป้าหมายของความรู้ช้า เป็นเรื่องของปัญญาญาน
ความกลมกลืน และความยืดหยุ่น เป็นเรื่องของ ความรัก
และความงดงามที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ

ผิดกับความรู้เร็วซึ่งเป็นไปในทางตรงข้าม และยิ่งได้ไป
รวมตัวกันกับเทคโนโลยี และเศรษฐศาสตร์แบบลูกโลก
ด้วยแล้ว มันยิ่งมีพลังอำนาจ และการทำลายล้างสูงมาก
จนเราไม่อาจควบคุมได้

เผ่าพันธุ์มนุษย์มีความสามารถและความเฉลียวฉลาด
ที่มีขีดจำกัด ดังนั้นปัญหาที่สร้างขึ้นทุกวัน
นับถึงวันนี้ ก็ใกล้ที่จะถึงจุดตีบตันแล้ว