midnight's education
November 2000
โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา ร่วมกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน : เสนอ

นิธิ เอียวศรีวงศ์

ปํญหาแรกสุดก็คือ
ในทุกวันนี้เรามีทางเลือกมากน้อยแค่ไหน ? แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เรามีทางเลือกน้อยลง
สำหรับคำถามนี้ อ.นิธิ ตอบว่า
การผลิตเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยนิยม, สังคมบริโภค และรัฐรวมศูนย์ ทำให้เราขาดทางเลือก

เราทั้งหลายคิดอย่างเดียวกัน เชื่ออย่างเดียวกัน รู้สึกอย่างเดียวกัน และฝันอย่างเดียวกัน
เพราะอะไร ?

การศึกษาของเรา
ถูกจัดขึ้นมาโดยกรอบที่ขาดทางเลือกข้างต้นนี้โดยรัฐ
รัฐที่มีลักษณะรวมศูนย์ ซึ่งมีหน้าที่อยู่ 2 ประการคือ
ทำหน้าที่รับใช้การผลิตเชิงอุตสาหกรรม
และบริโภคนิยม
(ความยาวประมาณ 9 หน้ากระดาษ A4)

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
ข้อเสนอการศึกษา กับ ทางเลือกของชีวิต

(หมายเหตุ : เนื่องจากช่วงต้นเทป ระบบบันทึกขัดข้อง
จึงทำให้ช่วงแรกขาดหายไปและต้องเริ่มต้นกินเข้ามาในเนื้อความบ้างเล็กน้อย)

...แต่ถ้าเราวิเคราะห์ให้ลึกไปกว่าเครื่องแต่งกาย วิเคราะห์ไปให้ลึกกว่าการประกอบอาชีพแล้ว ผมคิดว่า เอาเข้าจริงแล้ว เราก็คงมีชีวิตอยู่คล้ายกันมาก

เช่นเป็นต้นว่า บางคนอาจจะไปทำงานที่ตลาดหลักทรัพย์ อีกคนขายของตามห้างสรรพสินค้า หรือคนหนึ่งไปเป็นกรรมกรโรงงาน อีกคนเป็นคนเก็บขยะ แต่เราคิดถึงลักษณะงานของคนเหล่านี้ทำ ก็จะเหมือนกัน. ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย ก็คือ คุณจะต้องตื่นแต่เช้า ขี่สามล้อออกไป หรือนั่งรถเมล์ออกไป เพื่อไปยังโรงงาน. ไปถึงก็ใช้แรงงานอันเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าอันหนึ่งเป็นแรงงานที่นายจ้าง ซึ่งเรามองไม่เห็นตัว, อยู่ไหนก็ไม่รู้ จ้างให้เราทำเป็นกรรมกรในโรงงาน. อีกคนหนึ่ง มีนายจ้างซึ่งก็มองไม่เห็นตัวอีกเหมือนกัน ให้เราไปเที่ยวเก็บของมีค่าเท่าที่จะขายได้ แล้วก็เอาใส่สามล้อขี่ไปขาย. การทำงานก็ไม่ได้มีลักษณะที่แตกต่างกันเท่าไหร่.

คนที่ทำงานตามห้างสรรพสินค้า หรือคนที่ทำงานตามตลาดหลักทรัพย์ ดูเผินๆคล้ายๆกับว่าทำงานแตกต่างกัน แต่ลักษณะของงานก็ไม่ได้แตกต่างกันเสียเท่าไร เป็นแต่เพียงว่า ในรายละเอียดจะมีข้อแตกต่างกันไปบ้าง แต่ตัวกำหนดชีวิตการทำงานไม่ได้แตกต่างกัน.

เราทำงานเหมือนๆกัน
ออกจากบ้านเวลาเดียวกัน
เผชิญกับปัญหารถติดเหมือนกัน
อร่อยกับอาหารคล้ายๆกัน
มีแบบแผนการดำเนินชีวิตที่ไม่แตกต่างกัน

อะไรคือทางเลือกที่แท้จริงของเรา
หรือมันไม่มีอยู่เลย

คำถามก็คือว่า ทางเลือกชีวิตหายไปไหน ?
ใครขโมยสิ่งเหล่านี้ไป

และผมคิดว่าประจักษ์พยานที่เห็นได้ชัดก็คือว่า ชีวิตของคนสมัยใหม่ไม่ได้แตกต่างกัน เช่นปัญหารถติด. รถมันผ่าติดเหมือนกันหมดในช่วงตอนเช้าเหมือนกันหมดทุกเมือง เช่น เชียงใหม่ก็ติด, กรุงเทพก็ติด, นครศรีธรรมราชก็ติด. แสดงว่ามันมีแบบแผนการดำรงชีวิต ซึ่งทุกคนจะต้องออกจากบ้านในเวลาเดียวกัน กลับบ้านในเวลาเดียวกัน. มีกิจกรรมที่เป็นรายละเอียดซึ่งอาจจะแตกต่างกัน, แต่ว่าลักษณะงานใหญ่ๆ หรือแบบแผนการทำงานใหญ่ๆ มันเหมือนกันไปหมด. เพราะฉะนั้นเราจึงพบปรากฎการณ์ในชั่วโมงเร่งด่วนคือ รถติดเหมือนกันหมดทั้งโลก. เหมือนกับว่าคนจะกำหนดชีวิตตัวเองไม่ได้ว่าจะออกจากบ้านเวลากี่โมง อย่างนี้เป็นต้น.

ทีนี้ ไม่เฉพาะแต่ลักษณะงานเท่านั้นที่เหมือนกัน มันรวมไปถึงการดำเนินชีวิตด้วย. คนที่อยู่ในโลกสมัยใหม่นี่ เริ่มต้นก็กินอะไรคล้ายๆกันแล้ว เช่น เป็นต้นว่าหลายคนก็กิน pizza กินไก่ทอดยี่ห้อฝรั่ง, มีวันเวลาออกไปกินข้าวนอกบ้านเหมือนกัน ส่วนข้าวในบ้านก็ไปซื้อมาจากตลาดเดียวกัน เป็นแต่เพียงใส่คนละถุงเท่านั้นเอง เป็นต้น

การใช้เวลาว่างก็คล้ายๆกัน คือ ทุกคนพอหลังกินข้าวเสร็จ ก็ใช้ตานั่งจ้องดูทีวี ดูละครเรื่องเดียวกัน ถูกสอนให้คิด, ให้เชื่อ, ให้รู้สึกอย่างเดียวกันตลอดเวลา. สินค้าที่บริโภคก็ประเภทเดียวกัน. เสื้อผ้าอาจจะปิดป้ายคนละยี่ห้อๆ แต่มันก็มาจากโรงงานเดียวกัน ไม่ว่าเสื้อฝรั่ง เสื้อไทย ก็มาจากโรงงานเพียงไม่กี่โรงงาน. รองเท้าอะไรต่างๆนาๆ ก็เหมือนกันหมด.

แบบแผนการบริโภคก็เป็นอย่างเดียวกัน จนกระทั่งว่า... ผมคิดว่าคนสมัยนี้ฝันคล้ายๆกัน, หลายคนฝันอยากจะมีรถเบนซ์ แล้วก็เป็นรถเบนซ์ที่สีเดียวกัน รุ่นเดียวกัน, คลาสส์ซีเหมือนกัน, คลาสส์เอสเหมือนกัน, เหมือนกันเป๊ะเลย. ความใฝ่ฝันทุกอย่างก็ถูกทำให้เราแต่ละคน มีชีวิตอยู่ท่ามกลางเงื่อนไขที่ครอบงำ แม่แต่ฝันก็ฝันเรื่องเดียวกัน. เพราะฉะนั้น ทำให้ผมสงสัยว่า คนในปัจจุบันมันมีทางเลือกของชีวิตจริงหรือ ? สิ่งที่เราคิดว่าเราเลือก, เราเลือก หรือว่าเราถูกสร้างเงื่อนไขให้เรารู้สึกว่า เราเลือกสิ่งเหล่านี้. แต่จริงๆแล้วมันก็ตรงกับคนอื่นซึ่งอยู่ข้างๆเรานี่แหละ ก็เลือกอย่างเดียวกับที่เราเลือก. ไม่ได้มีอะไรแตกต่างอะไรกันเลย.

ฉะนั้นก็มาถึงคำถามที่สำคัญว่า ถ้าเช่นนั้น แบบแผนของการดำเนินชีวิตซึ่งดูเหมือนว่าทุกคนเลือก แต่เอาเข้าจริงไม่ได้เลือกนี่ มันมาจากไหนกันแน่ ? ผมคิดว่ามันมาจาก 3 อย่างด้วยกัน ซึ่งสำคัญมากๆเลย

อันที่หนึ่ง, มันมาจากระบบการผลิตเชิงอุตสาหกรรมบวกกับพาณิชยนิยม ซึ่งที่จริงก็เป็นเรื่องเดียวกัน. คือเมื่อไหร่ที่คุณผลิตในเชิงอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมากๆ คุณก็ต้องระบายออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และเร็วที่สุด. นั่นก็คือนำมาซึ่งการมองการผลิตเพื่อการตลาด หรือเพื่อการค้าขายทั้งสิ้น. แต่สถานที่เราพูดคุยกันนี้(หมายถึงบริเวณโฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา ซึ่งวันที่พูดเรื่องนี้ มีกิจกรรมการออกร้านพื้นเมืองเป็นจำนวนมาก) ตอนที่เราเดินเข้ามา จะเห็นว่ามีการผลิตเยอะแยะไปหมด แต่ไม่ได้ผลิตขึ้นมาเพื่อการค้า เช่นเป็นต้นว่า ของเล่นเด็กที่สมัยหนึ่ง ผลิตเพื่อส่งเสริมความรักระหว่างคนในชุมชนและคนในครอบครัว ไม่ได้ผลิตเพื่อตลาด แต่สิ่งเหล่านี้มันหายไปแล้ว เมื่อเกิดการผลิตในระบบอุตสาหกรรม ซึ่งผลิตขึ้นมามาก เมื่อผลิตขึ้นมามาก ก็จะเป็นต้องมีการระบายสินค้าที่ผลิตขึ้นมา โดยไม่เกี่ยวข้องการฐานความรัก หรือฐานของความสัมพันธ์ แต่เป็นฐานของตลาดหรือการพาณิชย์นั่นเอง

คนในสมัยปัจจุบัน หรือระบบการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม ทำให้เราคิดถึงตลาดที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะใหญ่ๆได้ เพื่อจะระบายสินค้าออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วเราจะได้ผลิตให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้และทำเงินได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ตามไปด้วย. และถ้าเราย้อนดูการผลิตและการเกิดอุตสาหกรรมขึ้นในในโลก เราจะพบว่า มันมีการขยายตลาด ขยายตลาดจากภายในประเทศ ด้วยรถไฟ ด้วยเรือกลไฟ ด้วยถนนหนทางอะไรก็แล้วแต่ ไปสู่การล่าอาณานิคม ไปสู่การมี IMF การมี WTO และมี World Bank อย่างที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ ก็เพื่อที่จะทำให้ตลาดเป็นตลาดโลก.

แล้วใครก็ตามแต่... ที่ไม่ได้คิดจะแบ่งส่วนคนที่ขายกล้วยแขกแถวหมู่บ้าน เขาก็คิดที่จะขายแถวๆนั้น โดยไม่ได้คิดที่จะขยายจากหนึ่งกะทะ เป็นสองกะทะ เป็นสามกะทะ แล้วก็ยึดครองตลาดกล้วยแขกทั้งโลกเอาไว้. แต่ในการผลิตเชิงอุตสาหกรรมนี่คุณต้องใฝ่ฝันถึงตลาดโลก ตลาดที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีมาตรฐานอันเดียวกัน เพื่อที่ว่าคุณสามารถเอาสินค้านั้นไปวางได้.

ลองคิดถึงความพยายามที่จะทำให้ตลาดเป็นแบบนี้... สมัยก่อนเราคิดถึงการล่าอาณานิคม ซึ่งมันค่อนข้างง่ายและค่อนข้างหยาบ แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้ขายสินค้าได้แยะตามที่ใฝ่ฝัน. เป็นต้นว่า เมื่ออังกฤษได้อินเดีย คนอินเดียก็ไม่มีเงินจะไปซื้อผ้าอังกฤษได้ ก็เป็นแต่เพียงว่าสามารถเอาอำนาจของตัวเองปิดตลาดของอินเดียไว้ ไม่ให้ประเทศอื่นเข้าไปแข่งขันค้าผ้าได้ แต่ไม่สามารถทำให้คนอินเดียอยากจะผูกเน็คไท ใส่เสื้อนอกเหมือนกันคนอังกฤษได้ จะได้วิ่งไปซื้อผ้าของแมนเช็สเตอร์มาใส่.

คุณคิดถึงปัจจุบันนี้ แทนที่คุณจะมีอาณานิคม, คุณทำให้เกิด KFC ขึ้น ทำให้การวางตลาดสินค้าไก่ทอด มันกลายเป็นรสนิยมใหม่ของคนทั้งโลก โดยที่คุณไม่ต้องมีอาณานิคม. อันนี้เป็นสิ่งที่ได้ผลกว่ากันแยะ... แล้วอย่านึกว่า ไก่ทอดแบบนั้น มันอร่อยในตัวของมันเอง. ความอร่อยเป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาโดยเราไม่รู้สึกตัวว่า การกินไก่แบบนั้นแล้วมันจะอร่อยมากๆ แล้วพอเรากินเข้าจริง มันก็อร่อยจริงเสียด้วย. อันนี้เขาพบวิธีการสร้างรสนิยม จะผ่านฮอลลีวูดหรือจะผ่านอะไรก็แล้วแต่เถอะ แต่สร้างรสนิยมให้คนทั้งโลกให้พร้อมจะเสพสินค้าที่เขาผลิตขึ้นมา.

เพราะฉะนั้น ถ้ามองในแง่การทำตลาดโลกให้มันใหญ่ที่สุดเท่าที่จะใหญ่ได้ ไม่ใช่ง่ายนะครับ. ไม่ใช่เรื่องง่ายๆแต่เพียงว่า มีองค์กรการเงินระหว่างประเทศ, มี WTO แล้วก็จะทำให้เกิดอะไรเหล่านี้. แต่ที่จริงต้องมีเหตุอื่นช่วยเพื่อเปิดหนทางพวกนี้ให้สะดวกขึ้น ต้องค่อยๆมีการแทรกเข้าไปในวัฒนธรรม แล้วทำให้วัฒนธรรมการบริโภคเป็นแบบแผนการบริโภคของสังคมซึ่งเป็นผู้ผลิต ให้เป็นที่ยอมรับในสังคมที่ไม่ได้เป็นผู้ผลิต. ในที่นี้คงมีหลายคนเหมือนกันพบว่า คนแก่หลายคนที่กิน pizza แล้วจะอวก, แต่คนเหล่านั้นก็จะล่วงโรยไป หรือถ้าหากว่าลูกหลานไปเกลี้ยกล่อมเข้ามากๆ แกก็อาจจะอร่อยตามไปด้วยก็ได้

เพราะฉะนั้นลูกค้าทั้งโลก เกิดความต้องการอันเดียวกัน และฝันเรื่องเดียวกัน, ซึ่งเป็นความฝันที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ใช่เป็นความฝันที่มีมาเองในชีวิตของเรา. อันนี้ผมคิดว่าเป็นอันที่หนึ่งซึ่งมันทำให้ชีวิตของเรามันหมดทางเลือกมากขึ้น... ที่เราเคยฝันว่า สักวันเมื่อเราเป็นโลกสมัยใหม่ เราเป็นปัจเจกชนนิยม ทุกคนเป็นอิสระ ตัวเราเองสามารถดำเนินชีวิตของเราเอง เอาเข้าจริงมันไม่จริง. มันมีระบบอุตสาหกรรม ระบบพาณิชยนิยม ที่เข้ามากำกับควบคุมให้เราคิดอย่างเดียวกัน ฝันอย่างเดียวกัน อยากอย่างเดียวกัน แล้วก็ดำเนินชีวิตไปในทำนองเดียวกันหมด

อันที่สองต่อมา ซึ่งผมคิดว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชีวิตมันหมดทางเลือกมากขึ้นก็คือ บริโภคนิยม ซึ่งมันก็สอดคล้องกับที่ผมพูดไปแล้วเมื่อสักครู่นี้ด้วย ก็คือว่า...อะไรคือบริโภคนิยม ? บริโภคนิยมไม่ได้หมายความว่า ยั่วยุให้เราบริโภคสินค้าหรือบริการมากๆ. สินค้าทั้งหลายที่เราบริโภคไป ในที่สุดคุณก็อิ่ม ไม่ว่าจะเป็น pizza ก็ตาม, นาฬิกาโรเล็กซ์ก็ตาม, รถเบนซ์ก็ตาม.

รถเบนซ์นี้ ถ้าเผื่อคุณซื้อมาคันหนึ่งแล้ว หากคุณใช้มันโดยมีการซ่อม ปรับปรุงมันไปเรื่อยๆ อันที่จริงไม่จำเป็นต้องเป็นรถเบนซ์ รถญี่ปุ่นหรือรถเกาหลีก็ได้ ถ้าคุณใช้แล้วก็ดูแลมันไปเรื่อยๆ คุณสามารถส่งต่อไปให้ลูกคุณใช้ก็ได้ ให้หลานคุณใช้ก็ได้ คือใช้ไปได้เรื่อยๆจนไม่มีที่สิ้นสุด. นาฬิกาเรือนหนึ่ง อย่างนาฬิกาโรเล็กซ์ ก็ใช้กันไปได้จนชั่วตระกูลนี้, หมายความว่า มันเป็นนาฬิกาประจำตระกูลที่ส่งต่อไปได้ไม่สิ้นสุด. ถ้าเป็นเช่นนั้นถามว่า บริษัทโรเล็กซ์เจ๊งไหม ? เจ๊ง. บริษัทเบนซ์เจ๊งไหม ? เจ๊ง. ฉะนั้น เขาจึงแปลงสินค้าให้มันเป็นสัญลักษณ์ หรือแปลงสินค้าให้มันเกิดความหมายขึ้นมา.

เราซึ่งเป็นเหยื่อของบริโภคนิยม เราไม่ได้บริโภคสินค้านะครับ เราบริโภคความหมายที่เขาแปลงมาแล้ว. และก็ยั่วยุให้เราบริโภคความหมายอยู่ตลอด, นี่คือบริโภคนิยม. และก็เป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จด้วยในการแปลงสินค้าให้เป็นความหมาย... คนเป็นจำนวนมากเลย หยิบ เสพ หรือบริโภค เพราะอะไร ? เพราะต้องการจะบริโภคความหมายของมัน. รถเบนซ์นี้ชัดเจนมากเลย. จริงๆถ้าเราต้องการจะเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง, รถบ้าบออะไร แม้กระทั่งรถเมล์ก็ทำให้เราได้. แต่มันไม่มีความหมาย มันไม่มีความหมายอย่างที่เราต้องการบริโภค ดังนั้น จึงมีคนต้องการซื้อรถเบนซ์เพราะมันได้ให้ความหมาย.

ความสำเร็จของบริโภคนิยมคือ มันยั่วให้เราบริโภคได้ คือการบริโภคความหมายนี้ แล้วทั่วโลกก็บริโภค ซึ่งก็คือความหมายที่พ่อค้าเขาสร้างขึ้นมาให้กับเรา. เมื่อเราทั้งหมดล้วนบริโภคความหมายอันเดียวกัน เราจะไปพูดถึงทางเลือกกันไปทำไม เพราะเริ่มต้นคุณก็ไปรับความหมายอันเดียวกันแล้ว... รถเบนซ์ ผมควรจะบอกด้วยว่า ไม่ได้มีความหมายถึงความปลอดภัยอย่างเดียว, ในอเมริกาก็มี ในยุโรปก็มี เป็นความหมายอันเดียวกันนี่แหละคือ ความหรูหรา ความฉลาด ความเป็นผู้นำ. ซึ่งเป็นความหมายของบริษัทผู้ขายรถเบนซ์เขาผลิตขึ้นมา แล้วก็วางตลาดความหมายนี้ทั่วไปหมดทั้งโลก. แล้วคนทั้งโลกก็ใฝ่ฝันสิ่งเดียวกัน.

เพราะฉะนั้น สินค้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น coke หรืออะไรร้อยแปด เราบริโภคความหมายของมัน ซึ่งสำคัญ และเป็นความหมายเดียวกันเสียด้วย... แล้วเราบอกว่าเราจะเลือกชีวิต เราจะไปเลือกได้อย่างไร ในเมื่อเริ่มต้นขึ้น เราก็อยากที่จะบริโภคความหมายที่คนอื่น หรือพ่อค้าเป็นผู้ผลิตขึ้น และครอบงำไปทั้งโลกแล้ว. ดังนั้น ปัจจัยที่สองแสดงให้เห็นว่า มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ชีวิตสมัยใหม่ไม่ค่อยมีทางเลือกเท่าไหร่นัก

ปัจจัยอย่างที่สาม, คือ รัฐรวมศูนย์. รัฐรวมศูนย์สมัยใหม่จะเป็นรัฐซึ่งพยายามตอบสนองต่อ 2 อย่างดังต่อไปนี้. อันแรกคือ พยายามจะตอบสนองการผลิตในระบบอุตสาหกรรมและพาณิชยนิยม. กับอันที่สอง, ตอบสนองการแพร่กระจายของบริโภคนิยม. ที่นี้อย่านึกว่าเฉพาะรัฐในประเทศไทยเท่านั้นที่มีลักษณะรวมศูนย์. จริงๆแล้ว แนวโน้มที่มีรัฐรวมศูนย์นี่เราพบทั่วไปหมดในโลกนี้.

รัฐบาลอมริกันสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลกลางของเขา...มีระบบราชการเล็กกว่าระบบราชการไทยในปัจจุบันเสียอีก. นิดเดียว ในขณะที่ประเทศเขาใหญ่เบ้อเลิ่ม มีประชากร 200 ล้านคน แต่มีระบบราชการส่วนกลางนิดเดียวเอง. คือรัฐบาลกลางไม่ต้องทำอะไร. อย่าไปทำอะไรมากมาย เพียงติดต่อกับต่างประเทศ ทำหน้าที่ดูแลแค่นโยบายต่างประเทศ มีหน้าที่ดูแลทหารของประเทศ เก็บภาษีของส่วนกลาง... แล้วก็ไม่ได้ไปเก็บภาษีของท้องถิ่นอีกมากมายหลายอย่าง. แต่พอหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาขยายตัวพรวดพราด รวดเร็วมาก. ปัจจุบันรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกามหึมาเลย. อันนี้ก็คือแนวโน้มของรัฐรวมศูนย์ แต่มันเป็นการรวมศูนย์ซึ่งแตกต่างไปจากการรวมศูนย์ไทย และหน้าที่ของรัฐบาลกลางก็คือ เพื่อจะตอบสนองสองอย่างที่ยกขึ้นมาสักครู่ ก็คือ การผลิตในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยนิยม กับบริโภคนิยมนั่นเอง... ทำให้รัฐบาลกลางอเมริกันยิ่งขยายตัวใหญ่มากขึ้น เพราะว่าตลาดของโลก เป้าหมายสำหรับการสร้างตลาดของโลกเพื่อสินค้าอเมริกา.

ลักษณะของการรวมศูนย์เหล่านี้ เราจะพบทั่วไปหมด. คุณมีคอมพิวเตอร์หรืออินเตอร์เน็ทเพิ่มขึ้น ดูเผินๆคล้ายกับว่าเรา ในฐานะปัจเจกบุคคลมีอำนาจมากขึ้นในการไปต่อรองกับรัฐ เช่นเราไม่พอใจรัฐบาลชวน เราก็เปิด wensite คนเกลียดชวนขึ้นในอินเตอร์เน็ท แล้วก็ใครทุกคนก็พากันเข้ามา ช่วยมาด่าคุณชวนในอินเตอร์เน็ท. โดยที่, ไม่ว่าสันติบาล หรือใครก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับ website คนเกลียดชวนอันนี้ได้. แต่เอาเข้าจริงมันไม่ใช่นะครับ

ทั้งโลกนี้ ไม่ว่าจะในอเมริกาหรือประเทศไทย คนที่ใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุด, เป็นเปอร์เซนต์ที่น่าตกใจมากเลย คือ 70% ต่อ 30% ในประเทศเช่นอเมริกา, คือรัฐบาลกลางกับธุรกิจอุตสาหกรรม. ถามว่าคอมพิวเตอร์อยู่ในมือของใคร การใช้คอมพิวเตอร์หรือตัวคอมพิวเตอร์นี่ แม้แต่เราผลิตคอมพิวเตอร์ออกมาขายเยอะแยะ คนที่ใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุดก็คือรัฐบาล กับธุรกิจอุตสาหกรรมนั่นเอง.

ทุกประเทศได้พัฒนาความสามารถของรัฐในการตรวจสอบพลเมืองโดยผ่านคอมพิวเตอร์นี่ มากกว่าที่พลเมืองจะใช้คอมพิวเตอร์พัฒนาความสามารถของตัวเองไปตรวจสอบรัฐบาล. เช่นเป็นต้นว่า ผมเอง, คนในอเมริกา หรือแม้แต่ในประเทศไทยทุกวันนี้ คุณสามารถที่จะเปิดดู website ของรัฐบาลได้. มันมีกรมหลายกรม กระทรวงหลายกระทรวงที่เปิด website ของตนเอง... คุณอยากจะรู้ว่ากระทรวงพาณิชย์ทำอะไรบ้าง ก็เปิดไปที่ website ของกระทรวงพาณิชย์แล้วอ่านดูว่าทำอะไรบ้าง ? ในอเมริกาก็มี เยอะแยะไปหมดเลย คุณสามารถเปิดเข้าไปดูได้ตลอดเวลา, ดูคล้ายๆกับเราสามารถเช็ครัฐบาลได้ แต่รัฐบาลไหนมันจะโง่มาบอกสิ่งที่เขาไม่อยากจะบอก. เช่นเป็นต้นว่า คุณจะเปิดเข้าไปดูว่า กระทรวงพาณิชย์นั้นได้อนุญาตให้มีการเปิดบริษัทใหม่ในเดือนที่แล้วกี่บริษัท เป็นของใครบ้าง ? คนเหล่านั้นมีความสัมพันธ์อะไรบ้างกับข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ รายละเอียดทั้งหมดเหล่านี้มันจะไม่มีหรอก มันไม่ยอมให้เราไปตรวจสอบได้. และการที่เราจะไปตรวจสอบได้ ไม่ใช่ง่ายนะครับ. ถึงแม้จะมี พรบ.ข่าวสารข้อมูลแล้วก็ตาม แต่ว่าคุณไม่มีทางที่จะใช้คอมพิวเตอร์เข้าไปตรวจสอบได้ คุณต้องไปทะเลาะกับข้าราชการ ที่จะขอเปิดดูข้อมูลแม้เพียงแค่แผ่นเดียว คุณต้องไปทะเลาะกับข้าราชการกันทุกแผ่น... อย่างที่อัยการหญิงคนหนึ่งต้องทะเลาะกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มา 3 ปี, ทะเลาะกับกระดาษทีละแผ่นๆ ตลอดเวลา.

ย้อนกลับมาที่เรื่องของคอมพิวเตอร์, ถ้าจะถามว่า คอมพิวเตอร์เพิ่มตาวิเศษให้กับประชาชนหรือเพิ่มตาวิเศษให้กับรัฐบาล ? ผมคิดว่าเพิ่มตาวิเศษให้กับรัฐบาล และเพิ่มตาวิเศษให้กับธุรกิจเอกชนด้วย. ที่คุณมีชื่ออยู่ในธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะผู้ฝากเงิน หรือผู้กู้เงิน, อย่าคิดว่าชื่อเหล่านั้นถูกเก็บเอาไว้ในแฟ้มพิเศษ. ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งซึ่งผมอธิบายไม่ได้ ชื่อของคนเหล่านี้จะถูกเอาไปขายต่อ โดยใครก็ไม่ทราบ ผมไม่ได้อ้างว่าธนาคารไทยพาณิชย์เอาไปขายนะ... แต่ว่ามันจะถูกเอาไปขายก็แล้วกันโดยใครก็แล้วแต่ ไปยังบริษัทขายรถยนต์ ขายทีวี ขายบ้า ขายบอ อะไรพวกนี้ และเขาจะได้ชื่อเหล่านั้นเพื่อส่งเอกสารมา สร้างความหมายหรือสร้างไอ้ตัวบริโภคนิยม. ผมพบว่า ถ้าคุณมีเงินฝากอยู่แสนบาท คุณไม่มีวันที่จะได้ใบโฆษณารถ BMW, แต่ถ้าคุณมีถึง 1 ล้านบาท, มันมาแล้ว.

อันนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า รัฐรวมศูนย์นี่มันจะรวมศูนย์เพื่อธุรกิจอุตสาหกรรม เพื่อการพาณิชยนิยม เพื่อการบริโภค. ขณะเดียวกัน รัฐรวมศูนย์จะมากำหนดวิถีชีวิตเรามากมายทีเดียว. เราทุกคนเรียนหนังสือมา ไม่ว่าจะมาจากโรงเรียนอะไรก็ตาม แต่ก็จะอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐรวมศูนย์นี้. เราเรียนมหาวิทยาลัยใดก็แล้วแต่ที่เรียนมา ก็อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐแบบนี้

เวลานี้เราสภาผู้แทนราษฎร, สภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดเอาไว้โดยรัฐธรรมนูญว่า ทุกคนจะต้องจบปริญญาตรีถึงจะสามารถเป็น สส. หรือ สว.ได้. ทีนี้ปริญญาตรีแปลว่าอะไรหว่า ? ปรากฏว่าสภาของเรานี่ จะตีความว่าใครคือปริญญาตรี ต้องส่งเรื่องให้ กพ.ดู, พูดง่ายๆก็คือ ส่งให้รัฐบาลดู. ผมจึงสงสัยว่า สภาฯมันมีไว้ทำไม ? เพราะแม้แต่สมาชิกของมันเองในการกำหนดปริญญาหรือคุณสมบัติ รัฐบาลยังเป็นคนกำหนดเลย.

คุณอาทิตย์ กำลังเอก จบหรือไม่จบปริญญาตรี สภาฯไม่สามารถวินิจฉัยได้ ต้องส่งไปให้รัฐมนตรีกลาโหม. จบ, หรือไม่จบปริญญาตรี, คือให้กองทัพเป็นคนดูว่าจบหรือไม่จบ. เพราะฉะนั้นผมคิดว่า แม้ว่าอุตส่าห์ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดองค์กรอิสระขึ้นมา, เอาเข้าจริง มาตรฐานองค์กรอิสระเหล่านั้น คนที่เป็นผู้กำหนดกับกลายเป็นตัวรัฐตามเดิมนั่นเอง. ดังนั้น ทางเลือกของชีวิต จริงๆแล้วมันเป็นทางเลือกที่รัฐกำหนดให้เราเลือกเท่านั้น หรืออย่างไรกันแน่ ? นี่คือวิถีชีวิตของโลกปัจจุบันนี้ ซึ่งผมคิดว่าเอาเข้าจริง เมื่อวิเคราะห์กันลงไปแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าเรามีทางเลือกของชีวิตมากน้อยแค่ไหนกันแน่...

ถ้ามันเป็นอย่างนี้ ชีวิตของเราซึ่งมันไม่ค่อยมีทางเลือก หากมองในแง่ของปัจเจกชนนิยมซึ่งเป็นความคิดชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 19 หรือเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว. ถ้ามองเฉพาะในลัทธิของปัจเจกชนนิยม จริงๆแล้วแนวคิดนี้ใฝ่ฝันว่า ถ้าเราทำให้แต่ละคนเป็นปัจเจกชนโดยสมบูรณ์แล้ว เขาแต่ละคนจะมีโอกาสสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองไปได้ถึงที่สุด เท่าที่เขาจะมีความสามารถไปได้ถึง.

ถ้ามองว่าชีวิตมันขาดทางเลือก แล้วมองจากลัทธิปัจเจกชนนิยม ก็แปลว่าสิ่งที่ตั้งเอาไว้ก็ไม่สามารถที่จะบรรลุได้. อุดมคติของปัจเจกชนนิยมบรรลุถึงไม่ได้ เพราะแต่ละคนไม่ได้สามารถพัฒนาศักยภาพของตัวไปถึงจุดสุดยอดเท่าที่จะสามารถไปได้ เพราะเอาเข้าจริง ชีวิตของเรามันไม่ได้เลือก เนื่องจากถูกกำกับจาก 3 อย่างที่พูดถึงกันมาตั้งแต่ต้น

ถ้ามองในแง่ของชุมชน มันก็เป็นตัวทำลายศักยภาพของชุมชน. การที่เราขาดทางเลือก ก็คือการทำลายศักยภาพของชุมชนนั่นเอง เช่น ถ้าคุณมีภูมิปัญญาอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่สอดคล้องกับ 3 ปัจจัยที่ผมพูดถึง คือ การผลิตเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยนิยม, บริโภคนิยม, และรัฐรวมศูนย์ ภูมิปัญญาเหล่านั้นใช้ไม่ได้ แล้วก็จะถูกความพยายามหลายอย่างในการทำให้ภูมิปัญญาเหล่านั้นมันสิ้นประโยชน์ หรือไร้การผลิต หรือไร้ที่ทางในโลกปัจจุบันนี้ไป.

ของเล่นเด็กที่ทำขึ้นมาโดยชาวบ้าน ซึ่งผมได้พูดไปเมื่อสักครู่นี้ ถามว่า ถ้าสามารถเอาไปวางตลาดขายนี่ ทำได้ไหม ? คำตอบคือ ได้. และขายได้ด้วย. แต่เนื่องจากผู้ผลิตไม่ได้คิดว่าจะเอาไปวางขาย เหตุดังนั้นมันจึงไม่มีที่ทางในปัจจุบันนี้เลย. ที่ผมบอกว่าไม่มีที่ทางก็เพราะว่า เด็กจำนวนมากไม่นึกอยากจะเล่นมัน เพราะเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำไป เกิดมาก็ไม่เคยเล่น. โฆษณาในทีวี โฆษณาในหนังสือพิมพ์ และเพื่อนๆที่พบในโรงเรียน มันโน้มนำให้เด็กหันไปหาของเล่นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งหาซื้อได้ในตลาดมากกว่า. เพราะฉะนั้นการผลิตแบบนี้จึงดำรงอยู่ต่อไปไม่ได้. ภูมิปัญญาในการผลิตของเล่นเด็กจึงไม่มีที่ทางในโลกปัจจุบันนี้. เพราะฉะนั้น มองในแง่นี้ซึ่งไม่ได้มองในแง่ของปัจเจกชนนิยม แต่มองในแง่ชุมชน มันก็ทำลายศักยภาพของชุมชน... ภูมิปัญญาที่เป็นอยู่ ถ้ามันไม่สอดคล้องกับ 3 อย่างข้างต้น ก็ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ต่อไปได้

 

ทั้งหมดที่ผมพูดมานี่ มันเข้ามาเกี่ยวข้องกับการศึกษาค่อนข้างมาก แต่อาจจะไม่ใช่การศึกษาแต่เพียงอย่างเดียว. ทั้งนี้เพราะว่า การศึกษาถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการรับใช้สิ่งที่ผมกล่าวมาแล้ว 3 อย่างคือ รับใช้การผลิตในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยนิยม, รับใช้บริโภคนิยม, และรับใช้รัฐรวมศูนย์.

เราจะพบได้ว่าการศึกษาที่เราจัดในทุกวันนี้ ตลอดจนแม้แต่เมื่อมีการออกกฎหมายพระราชบัญญัติการศึกษาฉบับใหม่ หรือฉบับใดก็แล้วแต่, แต่เราก็ยังหนีไม่พ้นการคิดว่ารัฐยังเป็นผู้กำกับควบคุมว่า ควรเรียนรู้อะไร, ควรเรียนรู้อย่างไร และควรเรียนรู้ทำไม ? 3 อย่างนี่ ยังคิดว่ารัฐควรมีสิทธิ์มีส่วนในการกำกับการเรียนรู้ของคน คือ ควรเรียนรู้อะไร, รู้อย่างไร, รู้ไปทำไม ?

เพราะเอาเข้าจริงๆแล้วการศึกษาที่, นักร่าง พรบ.การศึกษา, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ตาม, คนที่ให้การรับรองก็ตาม, ข้าราชการที่ผลักดันเรื่องเหล่านี้หรือผู้ปฏิรูปเรื่องพวกนี้ก็ตาม, ก็ยังคิดว่าการศึกษาคือการเตรียมคนไปสู่ระบบการผลิตเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยนิยม การศึกษาคือการเตรียมคนสำหรับการบริโภคสินค้า จะเรียกว่าอย่างฉลาดหรืออย่างอะไรก็แล้วแต่ที่พูดๆกัน และการศึกษาคือการเตรียมพลเมืองของรัฐรวมศูนย์อยู่นั่นเอง.

อันนี้ผมว่า เอ่ยชื่อเลยก็ได้นะครับ ซึ่งยินดีที่จะถูกฟ้องหมิ่นประมาท. คือถ้าย้อนกลับไปดูประวัติความคิดของ... เขาเรียกว่าอะไรนะ, ท่านประธานคณะกรรมการการศึกษา ที่อาจารย์วิจิตร ศรีสะอ้าน, ท่านเคยพูดมาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นอาจารย์ที่จุฬาฯ ไล่มาจนเป็นปลัดทบวงมหาวิทยาลัย. ท่านก็คิดถึงสามเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา และท่านก็พูดว่า... สมัยท่านเป็นปลัดทบวงฯ ท่านก็พูดว่า สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ มันไม่น่าจะส่งเสริมนักเพราะว่า เราไม่สามารถที่จะจ้างงานได้ ก็แปลว่าเราควรที่จะผลิตทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ หรืออะไรต่างๆ. เป็นอันว่าเราคิดถึงการศึกษาเพื่อผลิตคนไปป้อนสู่ตลาดแรงงานเป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียว.

คนเหล่านี้ล่ะที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระที่เข้ามาควบคุมการศึกษา ข้าราชการเก่า หรือ สส.ที่ผลักดันเรื่องนี้, คนที่ร่างเรื่องนี้ เช่นเป็นต้นว่า ท่านอาจารย์สิปปนนท์ เกตุทัต แกก็ยังคิดอย่างนี้อยู่. เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าการศึกษาคือตัวที่บังคับหรือเป็นตัวกำหนดให้ทางเลือกของชีวิตเรามันมีน้อย เพราะว่า การศึกษาที่เราจัดขึ้นทุกวันนี้ มันไปรับใช้สามอย่างที่ผมพูดถึงแล้ว

เพราะฉะนั้น ผมจึงคิดว่า"การศึกษาทางเลือก"ซึ่งจะแปลว่าอะไรนั้น... เมื่อวานนี้คงพูดกันมาแยะแล้ว (หมายเหตุ: หมายถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2543 ที่อาจารย์ประเวศ วะสีมาพูดในหัวข้อ"ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการศึกษาไทย" และอีกหัวข้อหนึ่งโดยคุณรัชนี ธงไชย ที่มาพูดเรื่อง"การปฏิรูปการศึกษากับการศึกษาทางเลือก") ทุกชนิดทุกความหมาย... ถ้ามันเป็นทางเลือกจริง ในตัวของมันเองมันมีคุณค่าในการขยายการศึกษาในเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่อง แต่หัวใจที่สำคัญซึ่งเราลืมไม่ได้ก็คือ "ตัวมันเองคือการปลดปล่อยด้วย". ปลดปล่อยคนออกไปจากความเป็นทาสของ 3 อย่างที่พูดถึงเมื่อสักครู่นี้. ดังนั้น การศึกษาทางเลือกมันจึงท้าทายอำนาจทั้งหลายบรรดามี, คุณจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ มันท้าทาย IMF, มันท้าทายอเมริกัน, มันท้าทายคุณชวน, มันท้าทายคุณวิจิตร, มันท้าทายไปหมดโดยตัวของมันเอง. เพราะถ้าเราไม่มีทางเลือกของตัวของเราเอง การเรียนรู้ ไม่ว่าการเรียนรู้โดยผู้ใหญ่, การเรียนรู้โดยเด็ก, เรียนรู้โดยอะไรก็แล้วแต่ เราจะไม่สามารถหลุดออกไปจาก 3 อย่างที่ว่านี้

โดยส่วนตัว ผมจึงไม่อยากเห็น พรบ.การศึกษา เอาการศึกษาระบบโรงเรียนเป็นตัวตั้ง แล้วเอาสิ่งอื่นๆ ซึ่งจะมีคำว่าการศึกษาทางเลือกหรือไม่มีก็แล้วแต่ ไปเป็นบริวาร... คล้ายๆเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ แล้วการศึกษานอกระบบต่างๆเป็นเหมือนดาวพระเคราะห์ต่างๆซึ่งจะต้องโคจรอยู่รอบๆดวงอาทิตย์. ทำอย่างไรเราจะคิดถึงระบบการศึกษา...ที่ต่างฝ่ายต่างที่จะมีรัศมีของตนเองได้ ไม่ใช่ต้องตกอยู่ภายใต้รัศมีของการศึกษาระบบโรงเรียนแต่เพียงอย่างเดียว.

และคำว่า"การศึกษาทางเลือก"นั้น ก็ไม่น่าจะหมายความเฉพาะแต่เพียง การศึกษาที่ไม่อยู่ในระบบเท่านั้นที่จะเป็นทางเลือก. คำถามคือ แม้แต่การศึกษาที่อยู่ในระบบ ก็ไม่ต้องมีทางเลือกฉะนั้นหรือ ? มันก็น่าจะมีทางเลือก แม้แต่การศึกษาที่อยู่ในระบบ, มากขึ้น. ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ มันจะไปสัมพันธ์อยู่กับ อย่างน้อย 3-4 อย่างด้วยกันที่สำคัญก็คือ...

เราน่าจะคิดถึงเรื่องการบริหารการศึกษาที่จะทำให้เกิดทางเลือก ทั้งนอกระบบและในระบบให้มากขึ้น. เราน่าจะคิดถึงการฟื้นฟูองค์กรที่เคยทำหน้าที่ทางด้านการศึกษามาก่อน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ชุมชน หรือวัด, ไม่ว่าจะเป็นสำนักครู... สมัยหนึ่งไม่ว่าคุณจะเรียนแพทย์ คุณจะเรียนเป็นกวี มันจะมีสำนักครูที่คุณจะต้องไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของเขา แล้วคุณรู้เลยว่าคุณจะต้องไปสำนักนี้ ถ้าคุณอยากจะเป็นหมอ หรือหมอนวด คุณจะต้องไปฝากตัว ปัจจุบันก็ยังเหลือร่องรอยให้เห็น เช่น วัดโพธิ์. เราน่าจะคิดถึงสำนักประเภทนี้ให้มากขึ้น ฟื้นฟูกันขึ้นมา สร้างของใหม่กันขึ้นมา. ทำอย่างไรให้ครอบครัวกลับมาเป็นองค์กรที่ให้การเรียนรู้แก่สมาชิกในครอบครัว ไม่ใช่ให้แก่เด็กนะครับ, ให้แก่พ่อแม่ด้วย. ชุมชนจะทำอย่างไรให้ชุมชนกลับมามีบทบาทเหมือนเก่า.

อันที่สามต่อมาก็คือว่า, เราจะต้องสร้างองค์กรซึ่งเป็นที่เรียนรู้สมัยใหม่ ที่เราปฏิเสธไม่ได้ เช่น อาจจะเป็นห้องสมุดอินเตอร์เน็ท, โรงเรียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนาอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้, มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน, คลีนิคสุขภาพ, ชีวจิต, ซึ่งมีการเปิดแค๊มป์แล้วเอาคนมาเรียนรู้เป็นต้น. ไม่เรียกเก็บเงินแพงเกินไป ผมคิดว่าก็เป็นการเปิดให้คนสามารถเข้าไปเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ. คิดถึงการจัดองค์กรเหล่านี้ให้มากขึ้นที่จะทำให้เกิดการศึกษาทางเลือกขึ้น. คืออย่าคิดถึงแต่มีโรงเรียนทางเลือกแต่เพียงอย่างเดียว, อย่านึกถึงแบบมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน หรือแบโรงเรียนสืบสานล้านนา คือลักษณะที่เป็นองค์กรที่เป็นตัวอย่างชัดเจนแต่เพียงอย่างเดียว. อะไรที่เป็นเพียงชั่วคราวก็มีความสำคัญนะครับ.

และสุดท้ายก็คือ "โรงเรียนทางเลือก", ซึ่งคำว่าโรงเรียนนี้ผมไม่ได้หมายความว่าต้องรับรองโดยกระทรวงศึกษาธิการ... แบบที่นี่ก็เป็นโรงเรียนได้.

ผมขอทิ้งปัญหาเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ สำหรับการพูดคุยในเวลาอันจำกัด... ขอบพระคุณครับ

 

หมายเหตุ : การอภิปรายข้างต้นนี้ ถอดเทปมาจากเวทีสัมนา "ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับทางเลือกในการศึกษา"ซึ่งจัดขึ้นเมื่อ
วันที่ 4-5 พฤศจิกายน 2543 ณ โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา
หัวข้อที่ อาจารย์นิธิพูดนี้คือ "ข้อเสนอการศึกษากับทางเลือกของชีวิต"

 

back to midnight's home midnightuniv@yahoo.com