![]() |
||||||||||||||||||||||
![]() |
||||||||||||||||||||||
midnight's education |
นิธิ
เอียวศรีวงศ์ |
|||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||
![]() |
||||||||||||||||||||||
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ |
||||||||||||||||||||||
ข้อเสนอการศึกษา
กับ ทางเลือกของชีวิต |
||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||
เราทำงานเหมือนๆกัน อะไรคือทางเลือกที่แท้จริงของเรา คำถามก็คือว่า ทางเลือกชีวิตหายไปไหน
? |
และผมคิดว่าประจักษ์พยานที่เห็นได้ชัดก็คือว่า ชีวิตของคนสมัยใหม่ไม่ได้แตกต่างกัน เช่นปัญหารถติด. รถมันผ่าติดเหมือนกันหมดในช่วงตอนเช้าเหมือนกันหมดทุกเมือง เช่น เชียงใหม่ก็ติด, กรุงเทพก็ติด, นครศรีธรรมราชก็ติด. แสดงว่ามันมีแบบแผนการดำรงชีวิต ซึ่งทุกคนจะต้องออกจากบ้านในเวลาเดียวกัน กลับบ้านในเวลาเดียวกัน. มีกิจกรรมที่เป็นรายละเอียดซึ่งอาจจะแตกต่างกัน, แต่ว่าลักษณะงานใหญ่ๆ หรือแบบแผนการทำงานใหญ่ๆ มันเหมือนกันไปหมด. เพราะฉะนั้นเราจึงพบปรากฎการณ์ในชั่วโมงเร่งด่วนคือ รถติดเหมือนกันหมดทั้งโลก. เหมือนกับว่าคนจะกำหนดชีวิตตัวเองไม่ได้ว่าจะออกจากบ้านเวลากี่โมง อย่างนี้เป็นต้น. ทีนี้ ไม่เฉพาะแต่ลักษณะงานเท่านั้นที่เหมือนกัน มันรวมไปถึงการดำเนินชีวิตด้วย. คนที่อยู่ในโลกสมัยใหม่นี่ เริ่มต้นก็กินอะไรคล้ายๆกันแล้ว เช่น เป็นต้นว่าหลายคนก็กิน pizza กินไก่ทอดยี่ห้อฝรั่ง, มีวันเวลาออกไปกินข้าวนอกบ้านเหมือนกัน ส่วนข้าวในบ้านก็ไปซื้อมาจากตลาดเดียวกัน เป็นแต่เพียงใส่คนละถุงเท่านั้นเอง เป็นต้น การใช้เวลาว่างก็คล้ายๆกัน คือ ทุกคนพอหลังกินข้าวเสร็จ ก็ใช้ตานั่งจ้องดูทีวี ดูละครเรื่องเดียวกัน ถูกสอนให้คิด, ให้เชื่อ, ให้รู้สึกอย่างเดียวกันตลอดเวลา. สินค้าที่บริโภคก็ประเภทเดียวกัน. เสื้อผ้าอาจจะปิดป้ายคนละยี่ห้อๆ แต่มันก็มาจากโรงงานเดียวกัน ไม่ว่าเสื้อฝรั่ง เสื้อไทย ก็มาจากโรงงานเพียงไม่กี่โรงงาน. รองเท้าอะไรต่างๆนาๆ ก็เหมือนกันหมด. แบบแผนการบริโภคก็เป็นอย่างเดียวกัน จนกระทั่งว่า... ผมคิดว่าคนสมัยนี้ฝันคล้ายๆกัน, หลายคนฝันอยากจะมีรถเบนซ์ แล้วก็เป็นรถเบนซ์ที่สีเดียวกัน รุ่นเดียวกัน, คลาสส์ซีเหมือนกัน, คลาสส์เอสเหมือนกัน, เหมือนกันเป๊ะเลย. ความใฝ่ฝันทุกอย่างก็ถูกทำให้เราแต่ละคน มีชีวิตอยู่ท่ามกลางเงื่อนไขที่ครอบงำ แม่แต่ฝันก็ฝันเรื่องเดียวกัน. เพราะฉะนั้น ทำให้ผมสงสัยว่า คนในปัจจุบันมันมีทางเลือกของชีวิตจริงหรือ ? สิ่งที่เราคิดว่าเราเลือก, เราเลือก หรือว่าเราถูกสร้างเงื่อนไขให้เรารู้สึกว่า เราเลือกสิ่งเหล่านี้. แต่จริงๆแล้วมันก็ตรงกับคนอื่นซึ่งอยู่ข้างๆเรานี่แหละ ก็เลือกอย่างเดียวกับที่เราเลือก. ไม่ได้มีอะไรแตกต่างอะไรกันเลย. ฉะนั้นก็มาถึงคำถามที่สำคัญว่า ถ้าเช่นนั้น แบบแผนของการดำเนินชีวิตซึ่งดูเหมือนว่าทุกคนเลือก แต่เอาเข้าจริงไม่ได้เลือกนี่ มันมาจากไหนกันแน่ ? ผมคิดว่ามันมาจาก 3 อย่างด้วยกัน ซึ่งสำคัญมากๆเลย |
|||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||
ทั้งหมดที่ผมพูดมานี่ มันเข้ามาเกี่ยวข้องกับการศึกษาค่อนข้างมาก แต่อาจจะไม่ใช่การศึกษาแต่เพียงอย่างเดียว. ทั้งนี้เพราะว่า การศึกษาถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการรับใช้สิ่งที่ผมกล่าวมาแล้ว 3 อย่างคือ รับใช้การผลิตในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยนิยม, รับใช้บริโภคนิยม, และรับใช้รัฐรวมศูนย์. เราจะพบได้ว่าการศึกษาที่เราจัดในทุกวันนี้ ตลอดจนแม้แต่เมื่อมีการออกกฎหมายพระราชบัญญัติการศึกษาฉบับใหม่ หรือฉบับใดก็แล้วแต่, แต่เราก็ยังหนีไม่พ้นการคิดว่ารัฐยังเป็นผู้กำกับควบคุมว่า ควรเรียนรู้อะไร, ควรเรียนรู้อย่างไร และควรเรียนรู้ทำไม ? 3 อย่างนี่ ยังคิดว่ารัฐควรมีสิทธิ์มีส่วนในการกำกับการเรียนรู้ของคน คือ ควรเรียนรู้อะไร, รู้อย่างไร, รู้ไปทำไม ? เพราะเอาเข้าจริงๆแล้วการศึกษาที่, นักร่าง พรบ.การศึกษา, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ตาม, คนที่ให้การรับรองก็ตาม, ข้าราชการที่ผลักดันเรื่องเหล่านี้หรือผู้ปฏิรูปเรื่องพวกนี้ก็ตาม, ก็ยังคิดว่าการศึกษาคือการเตรียมคนไปสู่ระบบการผลิตเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยนิยม การศึกษาคือการเตรียมคนสำหรับการบริโภคสินค้า จะเรียกว่าอย่างฉลาดหรืออย่างอะไรก็แล้วแต่ที่พูดๆกัน และการศึกษาคือการเตรียมพลเมืองของรัฐรวมศูนย์อยู่นั่นเอง. อันนี้ผมว่า เอ่ยชื่อเลยก็ได้นะครับ ซึ่งยินดีที่จะถูกฟ้องหมิ่นประมาท. คือถ้าย้อนกลับไปดูประวัติความคิดของ... เขาเรียกว่าอะไรนะ, ท่านประธานคณะกรรมการการศึกษา ที่อาจารย์วิจิตร ศรีสะอ้าน, ท่านเคยพูดมาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นอาจารย์ที่จุฬาฯ ไล่มาจนเป็นปลัดทบวงมหาวิทยาลัย. ท่านก็คิดถึงสามเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา และท่านก็พูดว่า... สมัยท่านเป็นปลัดทบวงฯ ท่านก็พูดว่า สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ มันไม่น่าจะส่งเสริมนักเพราะว่า เราไม่สามารถที่จะจ้างงานได้ ก็แปลว่าเราควรที่จะผลิตทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ หรืออะไรต่างๆ. เป็นอันว่าเราคิดถึงการศึกษาเพื่อผลิตคนไปป้อนสู่ตลาดแรงงานเป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียว. คนเหล่านี้ล่ะที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระที่เข้ามาควบคุมการศึกษา ข้าราชการเก่า หรือ สส.ที่ผลักดันเรื่องนี้, คนที่ร่างเรื่องนี้ เช่นเป็นต้นว่า ท่านอาจารย์สิปปนนท์ เกตุทัต แกก็ยังคิดอย่างนี้อยู่. เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าการศึกษาคือตัวที่บังคับหรือเป็นตัวกำหนดให้ทางเลือกของชีวิตเรามันมีน้อย เพราะว่า การศึกษาที่เราจัดขึ้นทุกวันนี้ มันไปรับใช้สามอย่างที่ผมพูดถึงแล้ว เพราะฉะนั้น ผมจึงคิดว่า"การศึกษาทางเลือก"ซึ่งจะแปลว่าอะไรนั้น... เมื่อวานนี้คงพูดกันมาแยะแล้ว (หมายเหตุ: หมายถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2543 ที่อาจารย์ประเวศ วะสีมาพูดในหัวข้อ"ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการศึกษาไทย" และอีกหัวข้อหนึ่งโดยคุณรัชนี ธงไชย ที่มาพูดเรื่อง"การปฏิรูปการศึกษากับการศึกษาทางเลือก") ทุกชนิดทุกความหมาย... ถ้ามันเป็นทางเลือกจริง ในตัวของมันเองมันมีคุณค่าในการขยายการศึกษาในเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่อง แต่หัวใจที่สำคัญซึ่งเราลืมไม่ได้ก็คือ "ตัวมันเองคือการปลดปล่อยด้วย". ปลดปล่อยคนออกไปจากความเป็นทาสของ 3 อย่างที่พูดถึงเมื่อสักครู่นี้. ดังนั้น การศึกษาทางเลือกมันจึงท้าทายอำนาจทั้งหลายบรรดามี, คุณจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ มันท้าทาย IMF, มันท้าทายอเมริกัน, มันท้าทายคุณชวน, มันท้าทายคุณวิจิตร, มันท้าทายไปหมดโดยตัวของมันเอง. เพราะถ้าเราไม่มีทางเลือกของตัวของเราเอง การเรียนรู้ ไม่ว่าการเรียนรู้โดยผู้ใหญ่, การเรียนรู้โดยเด็ก, เรียนรู้โดยอะไรก็แล้วแต่ เราจะไม่สามารถหลุดออกไปจาก 3 อย่างที่ว่านี้ โดยส่วนตัว ผมจึงไม่อยากเห็น พรบ.การศึกษา เอาการศึกษาระบบโรงเรียนเป็นตัวตั้ง แล้วเอาสิ่งอื่นๆ ซึ่งจะมีคำว่าการศึกษาทางเลือกหรือไม่มีก็แล้วแต่ ไปเป็นบริวาร... คล้ายๆเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ แล้วการศึกษานอกระบบต่างๆเป็นเหมือนดาวพระเคราะห์ต่างๆซึ่งจะต้องโคจรอยู่รอบๆดวงอาทิตย์. ทำอย่างไรเราจะคิดถึงระบบการศึกษา...ที่ต่างฝ่ายต่างที่จะมีรัศมีของตนเองได้ ไม่ใช่ต้องตกอยู่ภายใต้รัศมีของการศึกษาระบบโรงเรียนแต่เพียงอย่างเดียว. และคำว่า"การศึกษาทางเลือก"นั้น ก็ไม่น่าจะหมายความเฉพาะแต่เพียง การศึกษาที่ไม่อยู่ในระบบเท่านั้นที่จะเป็นทางเลือก. คำถามคือ แม้แต่การศึกษาที่อยู่ในระบบ ก็ไม่ต้องมีทางเลือกฉะนั้นหรือ ? มันก็น่าจะมีทางเลือก แม้แต่การศึกษาที่อยู่ในระบบ, มากขึ้น. ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ มันจะไปสัมพันธ์อยู่กับ อย่างน้อย 3-4 อย่างด้วยกันที่สำคัญก็คือ... เราน่าจะคิดถึงเรื่องการบริหารการศึกษาที่จะทำให้เกิดทางเลือก ทั้งนอกระบบและในระบบให้มากขึ้น. เราน่าจะคิดถึงการฟื้นฟูองค์กรที่เคยทำหน้าที่ทางด้านการศึกษามาก่อน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ชุมชน หรือวัด, ไม่ว่าจะเป็นสำนักครู... สมัยหนึ่งไม่ว่าคุณจะเรียนแพทย์ คุณจะเรียนเป็นกวี มันจะมีสำนักครูที่คุณจะต้องไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของเขา แล้วคุณรู้เลยว่าคุณจะต้องไปสำนักนี้ ถ้าคุณอยากจะเป็นหมอ หรือหมอนวด คุณจะต้องไปฝากตัว ปัจจุบันก็ยังเหลือร่องรอยให้เห็น เช่น วัดโพธิ์. เราน่าจะคิดถึงสำนักประเภทนี้ให้มากขึ้น ฟื้นฟูกันขึ้นมา สร้างของใหม่กันขึ้นมา. ทำอย่างไรให้ครอบครัวกลับมาเป็นองค์กรที่ให้การเรียนรู้แก่สมาชิกในครอบครัว ไม่ใช่ให้แก่เด็กนะครับ, ให้แก่พ่อแม่ด้วย. ชุมชนจะทำอย่างไรให้ชุมชนกลับมามีบทบาทเหมือนเก่า. อันที่สามต่อมาก็คือว่า, เราจะต้องสร้างองค์กรซึ่งเป็นที่เรียนรู้สมัยใหม่ ที่เราปฏิเสธไม่ได้ เช่น อาจจะเป็นห้องสมุดอินเตอร์เน็ท, โรงเรียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนาอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้, มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน, คลีนิคสุขภาพ, ชีวจิต, ซึ่งมีการเปิดแค๊มป์แล้วเอาคนมาเรียนรู้เป็นต้น. ไม่เรียกเก็บเงินแพงเกินไป ผมคิดว่าก็เป็นการเปิดให้คนสามารถเข้าไปเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ. คิดถึงการจัดองค์กรเหล่านี้ให้มากขึ้นที่จะทำให้เกิดการศึกษาทางเลือกขึ้น. คืออย่าคิดถึงแต่มีโรงเรียนทางเลือกแต่เพียงอย่างเดียว, อย่านึกถึงแบบมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน หรือแบโรงเรียนสืบสานล้านนา คือลักษณะที่เป็นองค์กรที่เป็นตัวอย่างชัดเจนแต่เพียงอย่างเดียว. อะไรที่เป็นเพียงชั่วคราวก็มีความสำคัญนะครับ. และสุดท้ายก็คือ "โรงเรียนทางเลือก", ซึ่งคำว่าโรงเรียนนี้ผมไม่ได้หมายความว่าต้องรับรองโดยกระทรวงศึกษาธิการ... แบบที่นี่ก็เป็นโรงเรียนได้. ผมขอทิ้งปัญหาเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ สำหรับการพูดคุยในเวลาอันจำกัด... ขอบพระคุณครับ
หมายเหตุ
: การอภิปรายข้างต้นนี้ ถอดเทปมาจากเวทีสัมนา "ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับทางเลือกในการศึกษา"ซึ่งจัดขึ้นเมื่อ
|
||||||||||||||||||||||