ความรู้เรื่องการกู้ยืม
การกู้ยืมเงินจะบริบูรณ์เมื่อส่งมอบเงิน
การกู้ยืมเงินจะบริบูรณ์ต่อเมื่อมีการส่งมอบเงินที่ให้กู้ยืมนั้นแล้ว
แม้จะมีการทำสัญญากู้ยืมไว้อย่างถูกต้องครบถ้วน
แต่ไม่มีการ ส่งมอบเงินที่ให้กู้ยืม สัญญากู้ยืมนั้นก็ไม่มีผลบังคับใช้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 945/2542 สัญญากู้มีข้อความชัดเจนว่า
จำเลยทั้งสามกู้เงินไปจากโจทก์รวม 100,000 บาท และรับ เงินไปครบถ้วนแล้วในวันที่
7 พฤษภาคม 2536 จำเลยทั้งสาม นำพยานบุคคลเข้าสืบว่า ความจริงทำสัญญากู้กันวันที่
8
พฤษภาคม 2536 โดยจำเลยที่ 1 เป็นคนกู้เงินโจทก์คนเดียว จำนวน 40,000 บาท ส่วนจำเลยที่
2 ที่ 3 เป็นเพียงผู้ค้ำประกัน มิใช้ผู้กู้ เป็นการนำสืบถึงความไม่บริบูรณ์ของสัญญากู้ว่าจำเลย
ไม่ได้รับเงินเต็มจำนวนตามที่ระบุในสัญญากู้ เพราะสัญญากู้ เป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองจะบริบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีการส่งมอบ
ทรัพย์สินที่ยืมตาม ป.พ.พ. ม. 650 วรรคสอง จึงหาใช่การนำสืบ เพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญากู้เงิน
ตาม ป.วิ.พ. ม.94(ข) ไม่ แต่เป็นการนำสืบถึงความไม่สมบูรณ์
แห่งหนี้ตาม ป.วิ.พ. ม.94 วรรคท้าย
หลักเกณฑ์ในการทำสัญญากู้
การกู้ยืมเงินตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไป ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ
มิฉะนั้นจะฟ้องร้อง
บังคับคดีไม่ได้ ตาม ป.พ.พ. ม.653
หลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวต้องมีข้อความอะไรบ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 320/2534 ป.พ.พ. ม.653 วรรคหนึ่ง
มิได้บังคับว่า หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือต้องมีข้อความ ว่า ใครเป็นผู้ให้กู้
ใครเป็นผู้กู้ กู้ยืมกันเมื่อไร กำหนดชำระเงิน กันอย่างไร อีกทั้งตามมาตราดังกล่าวที่ว่าถ้ามิได้มีหลักฐาน
แห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืม เป็นสำคัญนั้นหาได้มีความหมายเคร่งครัดว่าจะต้องมีถ้อยคำว่า
กู้ยืมปรากฏอยู่ในเอกสารนั้นไม่ และข้อความที่จะรับฟังเป็น หลักฐานแห่งการกู้ยืมได้นั้นไม่จำต้องมีบรรจุอยู่ในเอกสาร
ฉบับเดียวกัน อาจรวบรวมจากเอกสารหลายฉบับที่เกี่ยวโยง เป็นเรื่องเดียวกัน และรับฟังประกอบกันเป็นหลักฐานแห่งการ
กู้ยืมได้
ไม่มีคำว่า "กู้ยืม" ในหลักฐานเป็นหนังสือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1776/2541 คำว่าหลักฐานเป็นหนังสือ
ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. ม.653 วรรคหนึ่ง มิได้เคร่งครัด ถึงกับว่าจะต้องมีถ้อยคำว่ากู้ยืมอยู่ในหนังสือนั้น
เมื่อเอกสาร มีข้อความระบุว่าจำเลยเป็นหนี้กู้ยืมเงินโจทก์รวม 116,000 บาท มีลายมือชื่อจำเลยลงไว้
แม้ลายมือชื่อมิได้อยู่ในช่องผู้กู้ แต่มีตัวโจทก์มาสืบประกอบอธิบายว่าเหตุที่ให้จำเลยกู้ยืมเงิน
เพราะเห็นว่าจำเลยเป็นคนน่าเชื่อถือได้ โดยจำเลยกู้เงินไป เพื่อทำสวน จำเลยเองก็เบิกความว่าตนมีสวนอยู่
80 ไร่
ใช้ ปุ๋ยครั้งละประมาณ 2 ตัน เป็นเงินเกือบ 20,000 บาท จำเลย ถูกธนาคารฟ้องเรียกเงินที่กู้ยืม
แสดงว่าฐานะของจำเลย
ไม่ดี นัก เมื่อจำเลยลงลายมือชื่อในเอกสารที่มีข้อความระบุว่าจำเลย เป็นหนี้โจทก์
จึงถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้
จำเลยต้อง รับผิดตามเนื้อความที่ปรากฏในเอกสารนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3871/2536 แม้ในเอกสารจะไม่มีข้อ
ความว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ แต่มีข้อความว่าจำเลยจะจ่ายเงิน ตามคำสั่งของโจทก์รวม
25,000 เหรียญสหรัฐ แสดงว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ในจำนวนเงินดังกล่าว และจำเลยลงชื่อไว้
เอกสารดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2982/2535 หลักฐานแห่งการกู้ยืม
เป็นหนังสือนั้น กฎหมายมิได้มีความหมายเคร่งครัดถึงกับว่า จะต้องมีถ้อยคำว่ากู้ยืมอยู่ในหนังสือนั้นไม่
เมื่อโจทก์มีหนังสือ รับสภาพหนี้ซึ่งมีใจความว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์และ
จำเลยรับว่า จะชดใช้เงินแก่โจทก์ กับมีลายมือชื่อจำเลยในฐานะลูกหนี้ลง ไว้มาแสดง
ทั้งมีพยานบุคคลมาสืบประกอบ
อธิบายถึงมูลหนี้ ดังกล่าว ถือได้ว่าหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่ง
การกู้ยืมเป็นหนังสือตามที่ ป.พ.พ.
ม.653 บัญญัติไว้แล้ว
ไม่มีลายมือชื่อผู้ให้กู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6930/2537 ป.พ.พ. ม.653 บังคับให้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อผู้กู้
จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ โดยมิได้บังคับผู้ให้กู้ต้องลงลายมือชื่อด้วย เมื่อจำเลย
เป็นผู้เขียนหนังสือสัญญากู้เงินและลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้แล้วย่อมฟ้องร้องบังคับคดี
ได้
แม้ลายมือชื่อผู้ให้กู้เป็นลายมือชื่อปลอม ก็หามีผลให้หลักฐานการฟ้องร้องบังคับ
แก่จำเลยได้ที่สมบูรณ์อยู่แล้ว
เสียไปไม่ไม่มีชื่อผู้ให้กู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1302/2535 หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินตาม
ป.พ.พ. ม.653 ต้องมีสาระสำคัญให้เห็นว่ามีการ กู้ยืมเงิน
กันก็เพียงพอ ไม่ได้บังคับว่าต้องระบุชื่อของผู้ให้กู้ไว้ด้วย เมื่อเอกสาร พิพาทระบุว่าจำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ยืมเงิน
จำนวนเงิน และวันเดือนปี แม้ มิได้ระบุชื่อผู้ให้กู้ก็ตาม ถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินแล้ว
และโจทก์มี สิทธินำสืบได้ว่าผู้ให้กู้คือโจทก์ ไม่เป็นการสืบเพิ่มเติมเอกสารตาม
ป.วิ.พ. ม.94(ข)
ไม่มีคำว่า "ยืม" ในหลักฐานการกู้ยืมเงิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3871/2536 แม้ในเอกสารจะไม่มีข้อความว่าจำเลยกู้เงินโจทก์
แต่มีข้อความว่าจำเลยจะจ่าย เงินตามคำสั่งของโจทก์รวม 25,000 เหรียญสหรัฐ แสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์
ในจำนวนเงินดังกล่าว และ
จำเลยลงลายมือชื่อไว้ เอกสารดังกล่าวจึงเป็นหลักฐาน แห่งการกู้ยืมเงิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2982/2535หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือนั้น
กฎหมายมิได้มีความหมายเคร่งครัดถึงกับว่า จะต้องมีถ้อยคำว่ากู้ยืมอยู่ในหนังสือนั้นไม่
เมื่อโจทก์มีหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งมี ใจความว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์และจำเลยรับจะชดใช้เงินแก่โจทก์
กับมีลายมือชื่อ จำเลยในฐานะลูกหนี้ลงไว้มาแสดง ทั้งมีพยานบุคคลมาสืบประกอบอธิบายถึง
มูลหนี้ดังกล่าว ถือได้ว่าหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม
เป็นหนังสือตามที่ ป.พ.พ. ม.653 บัญญัติไว้แล้ว
หลักฐานการกู้ยืมต้องมีเมื่อใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1286/2535หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมที่จะนำมาฟ้องคดีนั้น
อาจเกิดขึ้นในขณะกู้ยืมเงินกันหรือภายหลังจากนั้นก็ได้ ฉะนั้นคำให้การที่จำเลย
เบิกความเป็นพยานไว้ในคดีอาญา
ด้วยความสมัครใจ จึงเป็นหลักฐานแห่งการ กู้ยืมเป็นหนังสือ ใช้ฟ้องร้องบังคับคดีแก่จำเลยได้
แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้มากกว่าจำนวนที่กู้จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 407/2542 สัญญากู้ยืมที่จำเลยลงลายมือชื่อกู้ยืมเงินโจทก์
30,000 บาท เป็นหลักฐาน
การกู้ยืมเป็นหนังสือ ซึ่งจำเลยต้องรับผิด แม้ภายหลังโจทก์แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ให้สูงขึ้นเป็น
60,000 บาท ก็ไม่ทำให้ หลักฐานการกู้ยืมเงินที่ทำไว้แต่เดิมและมีผลสมบูรณ์ต้องเสียไป
จำเลยต้องรับผิดเท่าที่กู้ไปจริง
ระบุจำนวนเงินในสัญญากู้มากกว่าจำนวนที่กู้จริง
นำสืบด้วยพยานบุคคลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 945/2542สัญญากู้มีข้อความชัดเจนว่า
จำเลยทั้งสามกู้เงินไปจากโจทก์รวม 100,000 บาท และรับเงินไปครบถ้วนแล้ว ในวันที่
7 พฤษภาคม 2536 จำเลยทั้งสามนำพยานบุคคลเข้าสืบว่า ความจริงทำสัญญากู้กัน
วันที่ 8 พฤษภาคม 2536 โดยจำเลยที่ 1 เป็นคนกู้โจทก์คนเดียวจำนวน 40,000 บาท
ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นเพียง
ผู้ค้ำประกันมิใช่ผู้กู้ เป็นการนำสืบถึงความไม่บริบูรณ์ของสัญญากู้ว่าจำเลยไม่ได้รับเงินเต็มจำนวนตามที่ระบุ
ในสัญญากู้ เพราะสัญญากู้เป็นสัญญายืมใช้สินเปลืองจะบริบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมตาม
ป.พ.พ.ม.650 วรรคสอง จึงหาใช่การนำสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญากู้ตาม
ป.วิ.พ.ม.94(ข) ไม่ แต่เป็นการนำสืบถึงความไม่สมบูรณ์แห่งหนี้ตาม ป.วิ.พ.ม.94
วรรคท้าย
(หมายเหตุ คดีนี้ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา พิพากษายกฟ้อง)
นำดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้รวมเป็นเงินในสัญญากู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2147/2535หนี้ตามสัญญากู้ฉบับใหม่รวมหนี้เงินกู้เดิมเข้าไปจำนวน
87,150 บาท
แต่หนี้จำนวน 87,150 บาท รวมดอกเบี้ยที่เกินอัตราอยู่ด้วยและไม่สามารถแยกดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะออกมาเพื่อให้ทราบ
ต้นเงินกู้เดิมได้ จึงหาอาจนำหนี้จำนวน 87,150 บาท หรือต้นเงินกู้เดิมที่แน่นอนมารวมเป็นยอด
หนี้เงินกู้ใหม่เพื่อ
ให้จำเลยรับผิดได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2657/2534โจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
แต่จำเลย
ยินยอมให้เอา ดอกเบี้ยรวมกับต้นเงินกรอกลงในสัญญากู้ จึงไม่เป็นเอกสารปลอมโดยแยกส่วนต้นเงินที่สมบูรณ์
ออกต่างหากได้ สัญญากู้คงตกเป็นโมฆะเฉพาะส่วนดอกเบี้ย หาตกเป็นโมฆะทั้งฉบับไม่