เรื่อง CD-R ภาคสอง
การติดตั้ง Drive
การติดตั้งเหมือนกับการติดตั้ง
Drive หรือ HardDisk ทั่วไป การต่อสายจะมีช่องสาย Power
ช่องนี้ไม่ต้องกลัวผิดเพราะเสียบ ได้แบบเดียวครับ ไม่มีทางเสียบผิดเข้าไปได้แน่ๆ
พอมาถึงสาบแพ
อันนี้หลายคนจะกลัว มันมี Trick นิดเดียว หลายๆท่านก็จะรู้อยู่แล้ว
คือเวลามองดูสายแพจะเห็นข้างนึงของสาย
จะเป็นสีแดงตลอดทั้งสาย ให้เอาสายนั้นแหละอยู่ใกล้กับสาย Power ไม่มีทางผิดได้แน่เพราะมัน
จะมีวิธีเดียว
ไม่มีทางสลับข้างได้ มาดูถึงความหมายของสายข้างที่เป็นสีแดง สายข้างนั้นคือสายที่
1 นั่นเองครับ เขาจะ mark สีแดง
ไว้ที่สาย 1 เสมอ และ Harddisk หรือ CD-ROM จะออกแบบให้สาย 1 อยู่ติดกับ
Power เสมอเช่นกันครับ
(ยังไม่เคยเจอแปลกไปกว่านี้) ส่วนสายเสียงก็เสียบตาม คู่มือแล้วไปเสียบ
Sound Card อาจจะต้องหาคู่มือ
Sound Card มาว่า สายเสียงจาก CD ROM เสียบตรงไหน สำหรับท่านที่มี
CD หลาย Drive อาจจะไม่ใช้ Drive CD-R
เป็นตัวฟังเพลงก็ได้ สายเส้นนี้อาจจะใช้ตัวเก่า ก็พอเพราะสายเสียงนี้ใช้ส่งเสียงจาก
CD Audio เท่านั้น ช่วงเวลาอ่าน
CD Audio ใช้ความเร็ว 1x ครับ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ Drive เร็ว
จากตอนแรก จะมีศัพท์อยู่สองตัวที่อาจจะยังงงคือ
Close Session และ Close Disc การเขียน CD จะสามารถเขียน
หลายๆครั้งได้ เรียกกันว่า CD Multi Session เมื่อเขียนหลายครั้งการเขียนแต่ละครั้งเลยเรียกว่า
Close Session
Close Session คือการปิดการเขียนเฉพาะครั้งนั้น สามารถเขียนต่อได้อีกจนกว่าจะเต็ม
Close Disc คือการปิดการเขียนและปิดแผ่นเลย จะไม่สามารถเขียนต่อได้อีก
คงจะหายงงกันไปหน่อยนึง หรือยังงงอยู่คงต้องลองเขียนดูเอาเองครับ
มาถึงการทำ CD ชนิดต่างๆ (ผมทำเป็นแค่สองอย่างนะคือ
Data กับ Audio)
การทำ CD Data
อันนี้ก็ปกติเลยครับ โปรแกรมตัวที่ใช้สำหรับเขียนซีดี
เปิดขึ้นมา แล้วก็จับ ไฟล์ลากลงไปเรื่อยๆจนพอใจ
(อย่าให้เกิน 650 Mb แล้วกัน) เมื่อเลือกเสร็จ เราก็สั่งเขียน ไม่มีอะไรมากครับ
ง่ายๆ (แต่ต้องลองใช้เองจริงๆถึงจะรู้นะ)
การเขียน CD Data สามารถเขียนแบบ Multi Session ได้ครับ จนกว่าจะ
เต็มแผ่น เมื่อเขียนเสร็จแต่ละครั้งก็
เอาไปใช้ได้เลย
การทำ CD Audio
อันนี้จะต้องมีต้นฉบับเป็นไฟล์นามสกุล
wav ครับถึงจะยอมเขียนให้ แต่ปัจจุบัน โปรแกรมเขียน CD รุ่นใหม่ๆ
ก็สามารถนำไฟล์ mp3 ยอดนิยมมาเขียนได้เลยเช่นกัน แต่แนะนำว่าเครื่องต้องเร็วๆหน่อยไม่งั้นเขียนแล้วแฮ้งครับ
หรือว่าบางทีก็ค้างได้ ไฟล์ wav มีหลายแบบ คือมันอยู่ที่ความถี่ของเสียงจะมีตั้งแต่
11,025 Hz 22,050 Hz และ 44,100 Hz อันสุดท้ายนี้แหละที่จะได้เสียงคุณภาพใกล้เคียงกับ
CD ที่ขายกันตามท้องตลาดที่สุด เมื่อมีไฟล์ wav แล้ว คราวนี้ก็เปิด
โปรแกรม เขียนซีดีตัวเก่งขึ้นมา จากนั้นกด New เพื่อเลือกการเขียนแบบ
CD Digital Audio ต้องเลือกอันนี้เสมอไม่งั้น
ไปเขียนเป็น Data ละหมดกัน เอาไปฟังในเครื่องเสียงไม่ได้ล่ะ การเขียน
CD Audio นี้จะเขียนทีละเพลง (Track)
หรือทีเดียวจนเต็มแผ่นเลยก็ได้ครับ แต่ว่าถ้าจะเขียนทีละเพลงต้องห้าม
Close Disc นะครับ แต่เมื่อไม่ Close Disc
ก็จะเอา ไปฟังไม่ได้ครับ ก็ค่อยๆเลือกเพลงเขียนไปเรื่อยๆวันละเพลงจนกว่าจะเต็มได้
แต่ถ้าจะเอาไปฟังเมื่อไหร่ก็ต้อง
Close Disc ล่ะครับ
โปรแกรม
โปรแกรม ที่สามารถเขียน mp3
เป็น CD Audio ได้เลยก็เท่าที่ทราบจะมีอยู่สองตัว
1. WinOnCD 3.6 Power Edition
2. PTS Software CD Audio MP3 Studio
ส่วนโปรแกรมอื่นไม่ต้องห่วงเลยครับ หากจะเอาเพลงจาก mp3 มาเขียนจะทำยังไงดีล่ะ
ก็ต้องเอาโปรแกรม
มาแปลง mp3 กลับเป็น wav ก่อนครับ และโปรแกรมนั้นก็ไม่ได้ หายากเลย
ก็ WinAmp นี่แหละครับ
ลองๆหาดูแล้วกันครับ