ครั้งนั้น
เมื่อหลวงปู่ดูลย์อยู่รับการอบรมสั่งสอน
และปฏิบัติอาจาริยวัตรแด่พระอาจารย์ใหญ่นานพอสมควร
ก็ได้กราบลาปลีกตัวออกธุดงค์แสวงหาความวิเวกต่อไป
ในช่วงนี้ (พ.ศ. ๒๔๖๓)
คาดว่าหลวงปู่จะธุดงค์ไปทางจังหวัดสุรินทร์ระยะหนึ่ง
แล้วจึงขึ้นไปทางอิสานเหนือ
ไปทาง อำเภอพรรณานิคม
จังหวัดสกลนคร
โดยมีสามเณรติดตามไปด้วยองค์หนึ่ง
หลวงปู่และเณรได้อธิษฐานจำพรรษาที่ชายป่าแห่งหนึ่ง
ใกล้ บ้านกุดก้อม
ต่อมาไม่นานนัก
สามเณรก็อาพาธ (ป่วย)
เกิดเป็นไข้หนาวอย่างแรง
หยูกยาจะรักษาก็ไม่มี
ในที่สุดสามเณรก็ถึงแก่มรณภาพ
ลงไปต่อหน้าต่อตา
ด้วยสภาพที่ชวนสังเวชยิ่งนัก
หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า "สงสารเณรมาก
อายุก็ยังน้อย
หากมียารักษา
เณรคงไม่ตายแน่"
ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่
๒
ที่หลวงปู่ได้อยู่ใกล้ชิดกับความตาย
คือ
ครั้งแรกเมื่อจำพรรษาที่สำนักป่าท่าคันโท
จังหวัดกาฬสินธุ์
เมื่อพระสหธรรมิก
ของท่านรูปหนึ่งได้มรณภาพในกลางพรรษา
จากการที่สามเณรมรณภาพในครั้งนั้น
หลวงปู่ได้คอยสังเกต พิจารณาอาการตายของคนเราว่าเป็นอย่างไร
จิตหรือวิญญาณออกไปทางไหน
หรืออย่างไร
ท่านได้เห็นแจ้งโดยตลอด
ด้วยเหตุผลบางประการ
ท่านเจ้าคุณ พระโพธินันทมุนี
(อดีต พระครูนันทปัญญาภรณ์)
เห็นว่าไม่สมควรที่จะบันทึกไว้ในที่นี้
ในหนังสือ หลวงปู่ฝากไว้ หลวงปู่พูดถึงความตาย
หรือตายแล้วไปไหน
อยู่ตอนหนึ่งเหมือนกัน
เรื่องนี้อยู่ภายใต้หัวข้อ
ต้องปฏิบัติจึงหมดความสงสัย
ซึ่งบันทึกไว้ว่า :-
เมื่อมีผู้ถามถึงการตาย
การเกิดใหม่
หรือถามถึงชาติหน้าชาติหลัง
หลวงปู่ไม่เคยสนใจที่จะตอบ
หรือเมื่อมีผู้กล่าวค้านว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ
ว่านรกสวรรค์มีจริงหรือไม่จริงประการใด
หลวงปู่ไม่เคยค้นคว้าหาเหตุผลเพื่อจะเอาค้านใคร
หรือไม่เคยหาหลักฐาน
เพื่อยืนยันให้ใครยอมจำนนแต่ประการใด
ท่านกลับแนะนำว่า
ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น
ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้าชาติหลัง
หรือนรกสวรรค์อะไรก็ได้
ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรงศีล
สมาธิ ปัญญา
อย่างแน่วแน่ก็พอ
ถ้าสวรรค์มีจริงถึง ๑๖
ชั้น ตามตำรา
ผู้ปฏิบัติดีแล้วก็ย่อมได้เลื่อนฐานะของตนเองโดยลำดับ
หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย
ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนี้
ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์
ย่อมอยู่เป็นสุข
เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ
และในตอนท้าย
หลวงปู่สอนว่า :-
การฟังจากคนอื่น
การค้นคว้าจากตำรานั้น
ไม่อาจแก้ข้อบกพร่องข้อสงสัยได้
ต้องเพียรปฏิบัติ
ทำวิปัสสนาญาณให้แจ้ง
ความสงสัยก็หมดไปเองโดยสิ้นเชิง