พระเจ้าพิมพิสารทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินแคว้นมคธ
และแคว้นอังคะ
สมัยยังทรงพระราชกุมารทรงเป็นอทิฏฐสหาย
(สหายที่ไม่เคยเห็นหน้ากัน)กับเจ้าชายสิทธัตถะ
ทรงได้พระกษิษฐภาคินีของพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นมเหี
พระนางทรงพระนามว่าเวเทหิ
บางครั้งเรียกว่า
โกศลเทวี
เมื่อยังทรงเป็นราชกุมาร
ทรงตั้งความปรารถนาไว้ ๕
ประการ คือ
๑.
ขอให้ได้อภิเศกในราชสมบัติ
๒.
ขอให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสู่แว่นแคว้น
๓.
ขอให้ได้เข้าไปนั่งใกล้พระอรหันต์นั้น
๔.
ขอให้พระอรหันต์นั้นทรงแสดงธรรม
๕.
ขอให้ได้รู้ธรรมของพระอรหันต์นั้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชา
มาบำเพ็ญเพียรที่ตำบลอุรอเวลาเสนานิคม
แคว้นมคธและเสด็จไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
พระเจ้าพิมพิสารทรงพบเข้าทรงถาม
ทรงทราบว่าเป็นพระสหาย
ทรงดำริว่า
คงมีการแย่งอำนาจกันในแคว้นสักกะจึงขอให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงลาผนวชจะถวายสมบัติให้กึ่งหนึ่ง
แต่พระองค์ทรงตอบว่า
ไม่ใช่เพราะถูกแย่งราชสมบัติ
แต่เพราะทรงต้องการ
ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงเสด็จออกผนวช
พระเจ้าพิมพิสารจึงทูลขอว่า
ถ้าได้ตรัส
เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อใด
ขอให้เสด็จมาโปรดด้วย
และเจ้าชายสิทธัตถะทรงตอบรับ
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงบำเพ็ญเพียรได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
แขวงเมืองพาราณสี
และเสด็จจำพรรษา ณ ที่นั่น
เมื่อออกพรรษาแล้วทรงส่งสาวกไปประกาศศาสนา
พระองค์เองเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลา
ทรงสั่งสอนพระอุรุเวลกัสสปะพร้อมน้องชายทั้ง
๒ และบริวาร ๑,๐๐๐
คนให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
แล้วทรงดำริจะเสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารตามที่ทูลขอไว้
พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกที่เคยเป็นชฏิล
๑,๐๐๓
รูปเสด็จเข้าสู่กรุงราชคฤห์ประทับอยู่
ณ สวนตาลหนุ่ม(ลัฏฐิวัน)
พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ
เสด็จไปเฝ้าพร้อมด้วยข้าราชบริพารและประชาชนเป็นอันมาก
ประชาชนสงสัยว่าระหว่าพระพุทธเจ้ากับอุรุเวลกัสสปะใครเป็นอาจารย์ใครเป็นศิษย์กันแน่
พระพุทธเจ้าทรงสั่งให้พระอุรอเวลกัสสปะแก้ข้อสงสัยของประชาชน
ท่านจึงประกาศว่าพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา
ท่านเองเป็นศิษย์
พร้อมทั้งกราบพระบาทของพระพุทธเจ้า
ประชาชนจึงเชื่อและพร้อมที่ฟังพระธรรมเทศนา
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสารและประชาชนทั้งปวง
เมื่อจบพระธรรมเทศนา
พระเจ้าพิมพิสารทรงบรรลุโสดาปัตติผล
เป็นพระโสดาบัน
ทรงดำริถึงที่ประทับอันเหมาะสมสำหรับพระพุทธเจ้าและพระสาวกจึงทรงถวายเวฬุวันหรือป่าไผ่แด่พระพุทธเจ้าและพระพุทธองค์ทรงรับไว้
จึงเป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา
พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายทานเป็นอันมาก
แต่ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว
บรรดาญาติที่เป็นเปรตจึงปรากฎแก่พระเจ้าพิมพิสาร
จึงทำให้ทรงตกพระทัยกลัว
และทูลถามพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้ถวายทานแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรตเหล่านั้น
พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงปฏิบัติตาม
การทำบุญแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วเกิดขึ้นครั้งแรกในตอนนั้น
พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน
จึงทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม
มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อพระธนิยะไปอ้างเลส
คือกล่าวเท็จกับคนรักษาไม้หลวงว่าพระเจ้าพิมพิสารทรงอนุญาตแล้ว
นำไม้หลวงไปสร้างกุฏิ
พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบก็ไม่เอาโทษเพราะเห็นว่าเป็นพระภิกษุ
แต่เรื่องนี้เป็นต้นเหตุให้พระพุทธเจ้าบัญญัติพระวินัย
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๒
ว่าด้วยการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้
ต่อมาพระเทวทัตซึ่งออกบวชพร้อมกับพระอานนท์
มีความน้อยใจที่ไม่มีใครนับถือ
ต้องการลาภสักการะ
เห็นว่าพระเจ้าอชาตศัตรู
โอรสของพระเจ้าพิมพิสารยังอยู่ในวัยหนุ่มคงชักชวนได้ง่ายและทำสำเร็จ
คือทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูเลื่อมใส
พระเทวทัตกับพระเจ้าอชาตศัตรูคบคิดกันว่า
พระเทวทัตฆ่าพระพุทธเจ้าแล้ว
เป็นประมุขสงฆ์เสียเอง
และพระเจ้าอชาตศัตรูฆ่าพระเจ้าพิมพิสารพระบิดาแล้วเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง
พระเทวทัตได้พยายามปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าหลายครั้ง
แต่ไม่สำเร็จ
ส่วนพระเจ้าอชาตศัตรูพกอาวุธเข้าไปในวังจะปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารถูกจับได้
อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลให้ประหารชีวิตทั้งพระเจ้าอชาตศัตรูและพระเทวทัต
แต่พระเจ้าพิมพิสารไม่ทรงยอมรับ
ทรงทราบว่าพระเจ้าอชาตศัตรูต้องการราชสมบัติก็ทรงมอบราชสมบัติให้
ซึ่งทำให้ทั้งพระเจ้าอชาตศัตรูและพระเทวทัตมีอำนาจมากขึ้น
พระเจ้าอชาตศัตรูทรงสั่งให้จับพระเจ้าพิมพิสารขังไว้
และสั่งให้ทรมานด้วยวิธีต่างๆ
จนพระเจ้าพิมพิสารสิ้นพระชนม์อยู่ในห้องขังนั่นเอง
ภายหลังพระเจ้าอชาตศัตรูได้สำนึก
ทรงเลิกคบกับพระเทวทัต
หันมาทำบุญในพระพุทธศาสนา
เช่นเป็นองค์อุปถัมภ์ในการทำสังคายนาครั้งที่
๑ เป็นต้น
แต่ก็ล้างบาปที่ทำปิตุฆาต(ฆ่าบิดา)
ซึ่งเป็นอนันตริยกรรม(กรรมหนักหาที่สุดมิได้)หาได้ไม่.
|