พระสารีบุตร


ประวัติ : พระสารีบุตร  อัครสาวกเบื้องขวา

พระสารีบุตรเถระ เป็นบุตรชายนางสารีพราหมณี ท่านเป็นปฐมอัครสาวก ปรากฎด้วยปัญญา เมื่อพระผู้มีพระภาคปวารณาพระวัสสาแล้ว เสด็จออกจากเวฬุวนารามพร้อมพระสงฆ์เป็นอันมาก บ่ายพระพักตร์ต่อเมืองสาวัตถี ครั้นถึง พระพุทธองค์เสด็จสำราญอินทรีย์ในเชตวนาราม ฝ่ายพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรท่านกระทำวัตตปฎิบัติพระพุทธองค์แล้วออกมาสั่งอยู่ในที่สบายกลางวันแล้วได้เข้าสู่ผลสมาบัติ เป็นที่สบายระงับกระวนกระวายในกายา ออกจากผลสมาบัติ แล้วเกิดปริวิตกว่า องค์พระพุทธเจ้ากับอัครสาวกใครจะเข้าพระนิพพานก่อน เมื่อท่านรำพึงไปก็รู้แท้ว่า ธรรมดาพระอัตรสาวกทั้ง 2 ย่อมนิพพานก่อนพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เมื่อท่านรู้ชัดฉะนี้แล้ว จึงเล็งแลพิจารณาอายุสังขารว่าท่านจะนิพพานเมื่อใด ครั้นพิจารณาไปก็รู้แจ้งว่ายังอีก 7 วัน จะเข้าสู่นิพพาน ครั้นพิจารณาถึงที่จะนิพพาน ท่านจึงระลึงถึงมารดา ก็ตระหนักว่ามารดาของท่านเป็นคนมีวาสนา ได้ทรงครรภ์พระอรหันต์ถึง 7 องค์ คือตัวท่านเอง พระเสนเถระ พระเรวัตเถระ พระอุปเสนเถระ พระภคินิยเถระ พระญาณอุปวาณะ พระสปวาลา แม้กระนั้นตัวมารดาของท่านจะได้มีน้ำใจเลื่อมใส ศรัทธาในพระพุทธคุณ พระสังฆคุณ ก็หามิได้ เมื่อท่านพิจารณาถึงอุปนิสัยของมารดาก็ทราบว่า อุปนิสัยพระโสดาปัตติมรรคมีอยู่ในสันดาน และเมื่อพิจารณาต่อไปว่า มารดาท่านชอบเทศนาของผู้ใด ก็เห็นว่าเฉพาะการเทศนาของท่าน มารดาจึงจะได้สำเร็จมรรคและผล ถ้าตัวท่านนิ่งเสีย ที่ไหนมารดาจะได้สำเร็จมรรคผล มหาชนจะนินทาว่า มารดาพระสารีบุตรเป็นมิจฉาทิฏฐิ ตัวพระสารีบุตรเป็นถึงอัครสาวก แต่จะโปรดมารดาให้เป็นสัมมาทิฏฐิก็ไม่ได้ จำท่านจะไปเทศนาโปรดมารดา แล้วตัวท่านก็จะเข้าพระนิพพานในห้องที่ท่านเกิดในบ้านนาลันทคาม ในการนี้ ท่านจะต้องไปทูลลาพระบรมศาสดาก่อน จากนั้นท่านได้พาภิกษุบริวาร ไปสู่สำนักพระบรมศาสดา กราบทูลขอลาเข้าสู่นิพพาน พระผู้มีพระภาคตรัสถาม ถึงสถานที่ที่จะเข้านิพพาน เมื่อพระสารีบุตรกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระพุทธองค์ให้พระสารีบุตรเทศนาให้ภิกษุทั้งหลายฟัง พระสารีบุตรได้ฟังพุทธฎีกา ก็แจ้งในพุทธฎีกานั้นว่า พระพุทธองค์ปราถนาจะให้ท่านสำแดงอิทธิปาฎิหาริย์ถวายนมัสการ ท่านจึงได้สำแดงเอนกปาฎิหาริย์มากกว่าร้อย แล้วจึงสำแดงธรรมเทศนาแก่บริษัทด้วยเอนกปาฎิหาริย์ เมื่อท่านได้แสดงปาฎิหาริย์แล้ว จึงได้มาถวายบังคมพระบรมศาสดา แล้วกราบทูลว่า ตัวท่านได้สร้างบารมีช้านาน ประมาณ อสงไขยแสนกัปป์ บัดนี้ได้สมประสงค์แล้ว จะขอเข้าสู่พระนิพพาน พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า พระสารีบุตรจะนิพพานเมื่อใด ก็จงกำหนดกาลให้แน่นอนเถิด ครั้งนั้นได้เกิดอัศจรรย์ขึ้น ทั้งในแผ่นดินแผ่นน้ำและในห้วงนภากาศ ในขณะเมื่อพระสารีบุตรเถระ ท่านยืนประดิษฐาน จะไปเข้าพระนิพพานในนาลันทคามนั้น 
พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร เดินเวียนวงประทักษิณสามรอบพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงถวายบังคมลาพระบรมศาสดาว่า ตัวท่านนี้ได้หมอบลงแทบพระบาท แห่งพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าในที่สุดอสงไขยแสนกัปป์ ปรารถนาจะใคร่พบพระองค์ มาบัดนี้ก็ได้พบสมประสงค์แล้ว ครั้งนี้เล่าก็เป็นปัจฉิมที่สุด แล้วท่านก็เดินถอยหลังออกมา จนลับพระเนตรพระพุทธองค์ จากนั้นก็ได้บ่ายหน้าไปสู่นาลันทคาม พระผู้มีพระภาคจึงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่านจงไปส่งพี่ชายของท่าน เป็นที่สุดครั้งนี้เถิด บรรดาภิกษุและมหาชนชาวเมืองสาวัตถีเมื่อรู้ว่าข่าว ต่างก็พากันไปส่งพระสารีบุตร พระสารีบุตรจึงเทศนาสั่งสอนว่า ท่านอย่าร้องไห้ร่ำพิไรไปเลย จงเร่งเคารพในพระรัตนตรัยอย่าได้ขาด จงกลับไปอาวาสที่อยู่ของท่านเถิด แล้วท่านก็พาบริวารเดินทางไป คนทั้งหลายในระหว่างทาง ก็เดินตามกันเป็นหมู่ๆ ไม่ขาดสาย พระสารีบุตรเถระก็กล่าวธรรมปริยายเทศนาว่า อันเกิดมาเป็นรูปกายแล้ว ก็มีแต่จะทำลายไปในที่สุด ตามอำนาจอนิจจัง อุปไมยเหมือนบุคคลเกิดมา มีแต่มรณาเป็นที่สุด 

พระสารีบุตรเถระรอนแรมมาได้ 7 ราตรี ก็บรรลุถึงนาลันทคาม จึงพาพระสงฆ์บริวาร เข้าหยุดอาศัยอยู่ใต้ไม้ไทรต้นหนึ่ง ขณะนั้น พระเรวัตเถระผู้เป็นหลานชายพระสารีบุตรเถระออกมาภายนอกบ้าน แลเห็นเข้าจึงเข้าไปถวายนมัสการ พระมหาเถระจึงสั่งให้ไปบอกมหาอุบาสิกาที่เป็นยายว่า ท่านได้มาถึงแล้วและจะขออาศัยอยู่สักราตรีหนึ่ง นางสารีพราหมณ์มารดาพระสารีบุตร เมื่อได้ทราบความจากพระเรวัตเถระก็คิดในใจว่า พระสารีบุตรคงจะสึกแล้วเป็นมั่นคง แล้วรำพึงว่าเมื่อยังหนุ่มแน่นก็ทำทนงบวชเสีย เมื่อตัวแก่ถึงเพียงนี้จะสึกออกมาทำไม คิดแล้วก็ให้จัดแจงที่อยู่ให้ ตามที่พระมหาเถระประสงค์ เสร็จแล้วจึงให้ไปอาราธนาพระมหาเถระ 
พระสารีบุตรเถระจึงเข้าไปสู่บ้านมารดา ไปอาศัยอยู่บนปราสาทที่เป็นที่ไสยาสน์ แต่หนหลังเมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์ เมื่อล่วงเข้าปฐมยาม ท่านอาพาธหนัก ลงโลหิตไม่หยุด ประกอบด้วยเวทนายิ่งนัก นางสารีพราหมณ์เห็นท่านเป็นไข้หนัก จะเข้าไปก็มิได้ เพราะในห้องนั้นเต็มไปด้วยภิกษุผู้เป็นบริวารจำนวนมาก นางจึงนั่งพิงประตูคอยดูอาการอยู่ ครั้งนั้นบรรดาเทวดาผู้ใหญ่ มีท้าวจตุมหาราชทั้ง 4 องค์ ท้าวโกสีย์ และท้าวมหาพรหม ต่างได้ทะยอยกันมาถวายนมัสการพระมหาเถระ เมื่อท่านว่าผู้ใดมานมัสการแล้ว ท่านก็บอกให้บรรดาผู้มานมัสการเหล่านั้น กลับไปที่อยู่ของตน นางสารีพราหมณีเห็นเทวดาทั้งหลาย เข้ามาสู่สำนักพระสารีบุตรเถระ นางไม่รู้ว่าเป็นเทวดา จึงถามพระจุนทภิกษุผู้เป็นลูกชายน้อย พระจุนทเถระจึงบอกมารดาว่า เทวดาเขามานมัสการพระมหาเถระ ฝ่ายพระสารีบุตรเถระได้ยินถามว่า อุบาสิกามาไยปานฉะนี้เล่า มารดาจึงบอกว่า มาถามถึงเทวดาที่มาเป็นอันมาก และถามว่าเทวดาเหล่านั้นมีนามใด พระมหาเถระตอบว่า เทวดาที่มาก่อนคือ ท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 นางได้ฟังก็มีความสงสัย จึงถามต่อไปว่า ท่านเป็นใหญ่กว่าท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 อีกหรือ พระมหาเถระตอบว่า ท้าวจาตุมหาราชนี้อุปมาเหมือนโยมวัด สำหรับได้ปฎิบัติพระสงฆ์ ปางเมื่อพระบรมครูของเรา ลงมาถือปฎิสนธิ์ในครรภ์พระมารดา ท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 องค์ ก็ประชุมสโมสร รักษาพระบรมโพธิสัตว์ทั้ง 4 ทิศ นางพราหมณีได้ฟัง จึงถามต่อไปถึงเทวดาที่เข้ามาองค์ต่อมา พระมหาเถระตอบว่าคือองค์ท้าวอินทรา เจ้าเมืองดาวดึงส์สวรรค์ นางได้ฟังจึงถามต่อไปว่า พ่ออุปดิสนี้เป็นใหญ่กว่าพระอินทราอีกหรือ พระมหาเถระตอบว่า ท้าวอินทรานี้อุปมาดังสามเณร สำหรับถือเครื่องบริขารแห่งพระพุทธเจ้า ปางเมื่อพระบรมครูเสด็จขึ้นไปสวรรค์ชั้นดาวดังส์ เทศนาพระสัตตปกรณาภิธรรมทั้ง 7 พระคัมภีร์ โปรดพุทธมารดาครั้งนั้น ครั้นสำเร็จแล้วจึงเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ท้าวอทรินทราธิราชถือบาตรและจีวรมาส่ง ตามเสด็จพระพุทธองค์ลงมา ตราบเท่าถึงแผ่นปฐพี นางพราหมณีจึงถามต่อไปว่า เทวดาผู้ที่มาเป็นคำรบ 3 คือใคร พระมหาเถระตอบว่า เป็นท้าวมหาพรหม ที่พวกพราหมณ์ทั้งหลายถือว่าเป็นครูอาจารย์ของตน นางพราหมณีจึงถามต่อต่อไปว่า พ่ออุปดิสนี้เป็นใหญ่กว่าท้าวมหาพรหมอีกหรือ พระมหาเถระตอบว่าปางเมื่อพระบรมโพธิสัตว์ประสูติจากคัพโภทรพระชนนี ท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 กับพวกท้าวมหาพรหมก็ชวนกันชื่นชม เอาข่ายทองมาประคองรับพระมหาบุรุษ พระบรมครูของเราเป็นใหญ่ยิ่งกว่าท้าวมหาพรหมได้ร้อยเท่าพันทวี 
นางพราหมณีได้ฟังแล้วก็คิดอยู่ในใจว่า แต่เจ้าอุปดิสลูกชายเรายังเป็นใหญ่กว่ามหาพรหมก็พระสมณโคดมที่เป็นครูของเจ้าอุปติส จะมีอิทธิศักดานุภาพสักปานใด เธอย่อมเป็นใหญ่กว่าเทวดาอินทร์พรหมเป็นแน่แท้ นางคิดพลางทางมีปิติโสมนัสในพระมหากรุณา ปิติทั้ง 5 ก็แผ่ซ่านไปทั่วสรีรกาย ปางนั้นเพราะมหาเถระก็รู้แจ้งด้วยพระญาณว่า บัดนี้ มารดาของท่านบังเกิดปิติโสมนัสในพระพุทธเจ้า บัดนี้ ก็เป็นกาลที่ท่านจะเทศนา ทดแทนคุณค่าน้ำนมของพระชนนีเถิด ท่านจึงอุตส่าห์กลั้นทุกเวทนาที่อาพาธ เทศนาสรรเสริญ พระคุณพระพุทธเจ้า เริ่มตั้งแต่ประสูติ เมื่อปีระกาวันพฤหัสบดี เพ็ญเดือนหก บังเกิดอัศจรรย์บรรลือลั่นทุกแห่งหน เมื่อเสด็จออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ก็เป็นที่ชื่นชมยินดีกันไปทั่ว ครั้นเมื่อตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อปีวอก วันพุธ เพ็ญเดือนหก ก็เกิดแสนมหัศจรรย์ เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วทุกหมู่เหล่า เกิดความเกษมสันต์ต่อกันทุกตัวสัตว์ทั้งโลก มหาอัศจรรย์ตั้งแต่เบื้องต่ำ ตลอดถึงภพเบื้องบน เป็นโกลาหลอันใหญ่ยิ่ง พ้นที่จะคณนา เทพยดาทั้งหลายมาแต่หมื่นจักรวาฬ มาประชุมพร้อมกันในมงคลจักรวาฬนี้ ที่แต่พอจุปลายขนจามรี มีเทพยดานั่งกันอยู่ 10 องค์บ้าง 20 องค์บ้าง นิรมิตตัวน้อย ๆ ละเอียดเป็นอณูปรมาณู นั่งเสียดสีกันชมพระบารมีพระพุทธเจ้า กระทำสักการะบูชาพระพุทธเจ้า 
จากนั้น พระมหาเถระก็ได้สำแดงพระพุทธคุณโปรดมารดาต่อไปว่า อันว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด ย่อมประกอบด้วยบุญราศีไม่มีผู้ใดจะเปรียบปาน ประกอบด้วยพระอนาวรณญาณมิได้มีที่จะสิ้นสุด ประกอบด้วยอิทธิศักดายิ่งกว่าผู้ใดในไตรภพ ประกอบด้วยพระคุณเป็นอนันต์อเนกา จะกำหนดนับมิได้ ด้วยพระนวหรคุณ คือ พระนามทั้ง 9 ว่า 
อิติปิโส ภควา ฯลฯ ภควาติ คือ 
พระองค์ทรงพระนามชื่อว่า อรหํ เหตุว่าพระองค์ทรงหักเสียซึ่งกงกำแห่งสังสารจักรอันพัดผันไปในเตภูมิกวัฏมิได้ขาดสายให้แตกหักไป 
พระนามคำรบที่ 2 ชื่อว่าสัมมาสัมพุทโธ เหตุว่าพระองค์ตรัสรู้ในไญยธรรมด้วยพระองค์เอง 
พระนามเป็นคำรบที่ 3 ชื่อว่าวิชาจรณสัมปันโน เหตุว่าพระองค์ประกอบไปด้วยวิชชา 8 และจรณธรรม 15 
พระนามเป็นคำรบที่ 4 ชื่อว่าสุคโต เหตุว่าพระองค์เสด็จพระดำเนินไปสู่ที่เกษม คือ พระอมตมหานิพพาน 
พระนามคำรบที่ 5 ชื่อว่าโลกวิทู เหตุว่าพระองค์ตรัสรู้ซึ่งโลก 3 ประการ 
พระนามเป็นคำรบที่ 6 ชื่อว่า อนุตตโร ปุริสทัมมสารถี เหตุว่าพระองค์ฉลาดที่จะทรมานเวไนยสัตว์ หาผู้เสมอมิได้ 
พระนามคำรบที่ 7 ชื่อว่า สัตถา มนุสสานัง เหตุว่าพระองค์เป็นครูชักนำสัตว์ ให้พ้นจากกันดารได้ด้วยปัญญา 
พระนามคำรบที่ 8 ชื่อว่าพุทโธ เหตุว่าพระองค์ตรัสรู้พระอริยสัจ 4 ประการ 
พระนามเป็นคำรบที่ 9 ชื่อว่า ภควา เหตุว่าพระองค์ประกอบไปด้วยพระภาค คือบุญราศีอันสร้างสมมานาน 

ครั้นพระมหาเถระเทศนาจบลง นางสารีพราหมณีก็ได้พระโสดาปัตติผล เป็นอริยบุคคลในพระศาสนา นางยินดีปรีดาหาที่สุดมิได้ จึงมีวาจาว่า พ่ออุปดิส เป็นลูกชายร่วมชีวิตของแม่ พระพุทธเจ้ามีคุณถึงเพียงนี้ น่าอัศจรรย์ใจ เหตุไฉนพ่อจึงมิได้สำแดงให้แจ้งแก่มารดา ละไว้ให้เนิ่นช้าถึงเพียงนี้ ฝ่ายพระมหาเถระคิดอยู่ในใจว่า มารดาของท่านได้พระโสดาบันแล้ว ทำลายล้างเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิที่ถือผิดมาแต่หลัง มีปัญญาหยั่งลงสู่พุทธาธิคุณมิได้หวั่นไหว ท่านรำพึงแล้วจึงถามพระจุนทะว่า เพลานี้ล่วงไปได้สักเท่าใดแล้ว พระจุนทเถระจึงตอบว่า เพลานี้จวนสว่างอยู่แล้ว และเมื่อท่านทราบว่าพระสงฆ์ประชุมพร้อมกันอยู่แล้ว พระมหาเถระจึงลาพระสงฆ์ทั้งหลายว่า ท่านที่เป็นสัทธิวิหาริกก็ดี เป็นสิสสานุสิสของเราก็ดี ได้ตั้งใจภักดีตามปฏิบัติเรามาช้านาน ประมาณ 44 ปี เราได้กระทำผิดด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดีท่านทั้งหลายจงอดโทษานุโทษในครั้งนี้ฝ่ายพระสงฆ์ทั้งหลายก็ขมาโทษพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรสำเร็จแล้ว พระมหาเถระก็เอาชายจีวรปิดหน้า เอนกายเบื้องขวาลงเหนืออาสน์ ยังสีหไสยาสน์ ท่านก็เข้าสมาบัติ เป็นอนุโลมปฏิโลมถอยหน้าถอยหลัง ตั้งแต่ปฐมฌานเป็นที่สำราญแห่งพระอริยเจ้า ออกจากปฐมฌานแล้วก็เข้าทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เป็นอนุโลม เป็นปฏิโลม ถอยหน้า ถอยหลัง ตั้งแต่จตุตถฌาน เป็นต้นไป ครั้นออกจากจตุตถฌานแล้วจึงเข้าตติยฌาน ทุติยฌาน ปฐมฌาน เป็นปฏิโลม ถอยหลังลงมาฉะนี้ เมื่อพระมหาเถระกลับย้อนเข้าฌานเป็นอนุโลมขึ้นไปแล้ว ครั้นออกจากจตุตถฌานก็ดับสูญเข้าสู่พระอมตมหานิพพาน ทั้งวิบากขันธ์และกรรมชรูปก็ดับสิ้นหาเศษมิได้ ขณะนั้นก็เกิดอัศจรรย์หวั่นไหวไปทั้งโลก 
ฝ่ายนางสารีพราหมณี เมื่อรู้ว่าพระมหาเถระดับสูญแล้ว ก็โศกาพิไรรำพันว่า แต่ก่อนตัวนางไม่รู้เลยว่า พระมหาเถระมีคุณถึงเพียงนี้ พอรู้ก็พอมาสิ้นชีวิตอินทรีย์เสีย ตัวนางตั้งใจจะกระทำการกุศลถวายไตรจีวร สร้างพระวิหารเป็นจำนวนมาก เป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย แล้วนางจึงเอาทองคำออกมาโกฏิหนึ่ง ให้นายช่างทำบุษบกห้าร้อยยอด สำหรับไว้พระศพพระมหารเถระ ทำพนมดอกไม้ 500 สำหรับเป็นเครื่องบูชาศพพระมหาะเถระ บรรดามหาชนที่มีศรัทธา ก็ชวนกันเล่นนักขัตฤกษ์ตามประสาสัปบุรุษ สิ้นคำรบ 7 วัน 7 ราตรี แล้วจึงกระทำเชิงตะกอนสำหรับปลงศพ เชิญพระศพขึ้นสู่เชิงตะกอน ถวายพระเพลิงในเวลาเย็นเป็นคำรบวัน 7 นั้น พระมหาเถระทั้งหลายก็สำแดงเทศนาสิ้นราตรียังรุ่ง ครั้งเพลาเช้า พระอนุรุทธิ์ ถือเอาน้ำหอมมาประพรมเถ้าถ่านเพลิงให้ดับสิ้น พระอนุรุทเถระเก็บพระธาตุเสร็จแล้วจึงเอาผ้ากรองน้ำห่อพระธาตุ จัดจีวรของพระสารีบุตรเถระ ปรารถนาจะนำไปถวายพระพุทธองค์ ณ เมืองสาวัตถี พระจุนทเถรได้นำพระธาตุกับบาตจีวรไปสาวัตถี เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลว่าพระสารีบุตรเถระนิพพานแล้ว บาตรจีวรและพระธาตุที่ห่อมา เป็นของพระสารีบุตรเถระ พระผู้มีพระภาครับเอาพระธาตุไว้ แล้วทรงเชิดชูในท่ามกลางพระสงฆ์ทั้งหลาย ตรัสว่า ธาตุนี้มีสีขาวดังสีสังข์ เป็นธาตุแห่งพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ผู้เป็นอัครสาวก พระธรรมเสนาบดีองค์นี้ได้สร้างบารมีมาช้านาน เป็นผู้มีปัญญาฉลาดยิ่งกว่าคนทั้งหลายในโลกธาตุ เว้นไว้แต่พระคถาคตผู้เดียว เป็นผู้มีปัญญามาก มีปัญญายังมหาชนให้ชื่นชม มีปัญญารวดเร็วมีปัญญาแหลมลึกละเอียด อาจจะกำจัดเสียได้ซึ่งคำปรัปปวาท อันเป็นเสี้ยนหนามในพระศาสนา มีสัลเลขสันโดษมักน้อยในจตุปัจจัยทั้ง 4 ย่อมติเตียนผู้เป็นอลัชชีใจบาปหยาบช้า สงฆ์ทั้งหลายจงเร่งนมัสการคุณพระสารีบุตร อันประกอบด้วยคุณวิเศษเห็นฉะนี้ แล้วพระพุทธองค์ก็ให้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระธาตุไว้ในพระเชตวนาราม 

พระสารีบุตร 

พระมหาโมคคัลลานะ 

พระอานนท์ 

พระอุบาลี 

พระมหากัสสป

พระอัญญาโกณฑัญญะ


>>

<<

!!