การเจริญวิปัสสนา ต้องเจริญเพื่อมรรคผล ทำตามขั้นตอนดังนี้
๑.
นักวิปัสสนาต้องมีบารมี ๑๐
ครบถ้วน หากไม่บารมี ๑๐
ไม่ครบถ้วน
ผลของวิปัสสนาก็จะไม่สมบูรณ์
บารมี ๑๐ :-
๑.
ทาน
ต้องมีอารมณ์ต่อการให้ทานเป็นปกติ
เพื่อการสงเคราะห์และไม่หวังผลตอบแทน
ไม่เลือกเพศ วัย ฐานะ
และความสมบูรณ์ โดยเต็มใจในการให้ทานเป็นปกติ
ไม่มีอารมณ์ไหวหวั่นในการให้ทาน
๒.
ศีล ต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์
ต้องรักษาแบบอุกฤษณ์
๓.
เนกขัมมะ
ถ้าถือบวชต้องถือสิกขาบทเคร่งครัด
ถ้าเป็นฆารวาส
ต้องเคร่งครัดในการระงับอารมณ์ที่เป็นทางของนิวรณ์
๕ ต้องทรงฌาณเป็นปกติ
๔.
ปัญญา
มีความคิดรู้เท่าทันสภาวะของกฏธรรมดา
เห็นอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตาเป็นปกติ
๕.
วิริยะ มีความเพียรเป็นปกติ
ไม่ท้อถอยในการปฏิบัติเพื่อมรรคผล
๖.
ขันติ อดทนค่อความยากลำบาก
ในการฝืนใจระงับอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ
อดกลั้น ไม่หวั่นไหว
จนมีอารมณ์อดกลั้นเป็นปกติ
ไม่หนักใจเมื่อต้องอดทน
๗. สัจจะ
มีความจริงใจ
ไม่ละทิ้งกิจการงานในการปฏิบัติความดีเพื่อมรรคผล
๘.
อธิษฐาน
ความตั้งใจปฏิบัติไม่ลดละเอาชีวิตเป็นเดิมพันเหมือนดังพระพุทธองค์
๙. เมตตา
ไม่เลือก คน สัตว์ ฐานะ ชาติ
ตระกูล
มีอารมณ์เป็นเมตตาเป็นปกติตลอดเวลา
๑๐. อุเบกขา
วางเฉยต่ออารมณ์ที่ถูกใจ
และขัดใจ
อารมณ์ที่ถูกใจรับแล้ว
ก็ทราบว่าไม่ช้า
อาการอย่างนี้ก็หมดไป
ไม่มีอะไรน่ายึดถือ
พบอารมณ์ที่ขัดใจก็ปลงตกว่า
เรื่องอย่างนี้มันธรรมดาของโลกแท้
ๆ เฉยได้ทั้งสองอย่าง
๒. ทุกครั้งที่จะเจริญวิปัสสนา ต้องเข้าฌาณก่อน ถ้าเจริญยังไม่ถึงฌาณสี่ ก็ให้เจริญตามกำลังสมาธิที่ได้เสียก่อน จนเต็มกำลังสมาธิที่ได้ เมื่ออยู่ในฌาณจนจิตสงัดดีแล้ว ค่อย ๆ คลายสมาธิมาหยุดอยู่ที่อุปจารฌาณ
๓. พิจารณาวิปัสสนาญาณทีละขั้น จนเป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ไม่กำเริบแล้ว จึงค่อยเลื่อนไปฌาณต่อไปเป็นลำดับ ทุกฌาณปฏิบัติเช่นเดียวกัน และผลที่ได้ต้องมีการทดสอบจากอารมณ์จริงเสมอ คาดเดานึกคิดเอาไม่ได้