ชีวิตเหมือนฝัน

Home

ชีวิตคือความฝัน

พุทธศาสนาสอนเราว่า เราและทุกสิ่งบนโลกนี้คือสิ่งสมมุติ คุณเคยหรือไม่ เช่น ฝันว่าคุณกำลังวิ่งหนี สุดชีวิต จากศัตรูที่กำลังวิ่งตามหมายเอาชีวิตคุณ ทันใดนั้นเสียงปืนดังขึ้น และคุณรู้ว่าคุณถูกปืนยิงและล้มลง คุณเจ็บปวดทรมานและกำลังจะตาย ในที่สุดคุณก็ตาย และสัปปเหร่อนำร่างคุณขึ้นเมรุเผา คุณเห็นญาติพี่น้องของคุณเศร้าโศกเสียใจร้องห่มร้องไห้ ร่างคุณเหลือแต่เถ้าอังคาร ทันใดนั้นคุณก็ตกใจตื่น หัวใจเต้นแรงหอบเหนื่อยและรู้สึกตัวว่า ทั้งหมดนั้นเป็นแค่ความฝันไป จริงๆแล้วชีวิตก็เสมือนความฝัน ฝันว่าเราได้เกิดในภพนี้ ร่างกายเป็นอย่างนี้ มีชื่ออย่างนี้ แล้วเราก็ฝันว่าเราแก่ ฝันว่าเราเจ็บ แล้ว ก็ตาย ย้ายจากภพหนึ่ง ไปเกิดในอีกภพหนึ่ง ในอีกร่างหนึ่ง ไม่มีสิ้นสุด พระพุทธองค์จึงทรงเตือนให้เราไม่ตั้งอยู่ ในความปรามาท ให้เพียรฝึกสติ ให้มีมรณานุสติเป็นนิจ ระลึกถึงความไม่เที่ยงของร่างกายเราอยู่เสมอ บอกตัวเราว่าวันหนึ่งเราก็ต้องตาย และต้องจากไป ชีวิตวนเวียนไปเกิดใหม่ เป็นวัฏจักร วัฎวน ไม่สิ้นสุด เนื่องจากการกระทบกระเทือนอย่างแรงของการเปลี่ยนภพ ทำให้เมื่อเกิดใหม่เราก็ลืมอดีต พกเอาความไม่รู้ อวิชชา อุปปาทาน ไปก่อภพก่อชาติ ก่อทุกข์ต่อเนื่องกัน เป็นห่วงลูกโซ่ไม่ขาด พระพุทธองค์ สอนให้เรา เจริญสติกัมฐาน สี่   ให้มีสติรู้ตลอดเวลา เพราะว่าพระพุทธองค์ ตรัสว่านี่คือทางสายเอก เร็วที่สุดที่จะนำเรา ให้ตื่นขึ้นจากความฝัน รู้แจ้งทันกิเลส อวิชชา เพื่อจะได้หลุดพ้น จากบ่วงโซ่แห่งวัฎวน บ่วงโซ่แห่งความทุกข์ มันไม่ยากนักที่เราจะเริ่มทำวันนี้ เวลานี้ ที่จะบรรลุความสำเร็จ แต่ถ้าเรารอ รอจนร่างกายเราเริ่มแก่ เริ่มเจ็บ ในนาทีวิกฤติ(เวลาที่จะหมดลมหายใจ) มาถึง มันยาก ยากมากแม้แต่คิดถึงกุศลกรรมเล็กน้อยที่เราเคยทำ ในขณะมีชีวิต หากจิตแตะอกุศล วิบากกรรม จะนำพา วิญญาณของเราไปเกิดในอบายภูมิทันที ในวินาทีนั้น วิญญานของเราเหมือนท่อนซุงหักตกลอยน้ำไปตามยถากรรม แล้วแต่กระแสธาร กระแสกรรมจะพาไป ต้องชนกับโขดหินแตกหัก เจ็บปวดทุกทรมานอีกมาก ฉะนั้นมาเถอะ มาฝึกปฎิบัติสมาธิ กรรมฐานเสียแต่วันนี้ เวลานี้ เดี๋ยวนี้กันเลยดีกว่า อย่ารอช้า ชีวาเรากำลังหมดไป

 

Home