ภูมิปัญญาไทย:

การสร้างเสริมสุขภาพจิต

นายแพทย์เอกชัย จุละจาริตต์

 

            ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และผู้พิการส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาด้านสุขภาพกายและมีปัญหาต่าง ๆ รอบด้าน ตามเหตุปัจจัยของแต่ละบุคคล.

            ครั้นคนกลุ่มนี้ไม่สามารถบริหารความคิดหรือควบคุมความคิดของตนเองได้ ก็มักจะคิดเรื่องที่ตนไม่สบายใจซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงเป็นผลให้เกิดความกังวล เครียด เป็นทุกข์ทางร่างกายที่มาจากจิตใจ หรือมีสุขภาพจิตที่ไม่ดีไปด้วย และบางคนคิดไม่ดีหรือคิดในทางลบ ก็อาจก่อให้เกิดการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ที่สร้างปัญหาให้กับตนเอง ผู้อื่น ครอบครัว และสังคมก็ได้. ขณะเดียวกันผู้ใกล้ชิด ญาติ ผู้ดูแล ผู้รับผิดชอบ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้ ก็อาจมีความกังวล เครียด หรือคิดไม่ดีจากเหตุปัจจัยต่าง ๆ และก่อให้เกิดความทุกข์ได้เช่นเดียวกัน.

            บทความเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ รวมทั้งวิธีฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันอย่างง่าย ๆ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาไทยที่ง่าย ๆ  เพื่อให้ท่าน คิดดี พูดดี และทำดี ตามพระราชดำรัส ซึ่งจะเป็นผลให้สามารถสร้างส่งเสริมสุขภาพจิต ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสุขภาพจิตของตนเองให้มีสุขภาพจิตดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งในยามปรกติ ป่วย พิการ พลัดพราก ผิดหวัง หรือในยามที่ต้องดูแล และรับผิดชอบกลุ่มบุคคลดังกล่าวแล้ว.

           

หลักธรรมในวิชาพุทธศาสตร์

            วิชาพุทธศาสตร์ หรือวิชาอริยสัจ ๔ ประกอบด้วยเรื่อง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.

            พระพุทธเจ้าทรงเกิดขึ้นจากการตรัสรู้เรื่องอริยสัจ ๔ และหลังการตรัสรู้แล้ว ทรงตรัสสอนเรื่องอริยสัจ ๔ เป็นหลัก.

            ขอให้กำลังใจแก่ท่านผู้อ่านว่า การทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส ณ ปัจจุบันชาตินี้ เป็นเรื่องใกล้ตัว. คนทั่วไปที่เข้าใจหลักธรรมเรื่องอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ก็จะสามารถเข้าถึงภาวะของจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสได้ ณ ปัจจุบันขณะนี่เอง.

            อริยสัจ ๔ เป็นความจริงอันประเสริฐที่คนทั่วไปในอดีตและปัจจุบันสามารถเข้าใจได้โดยง่าย ถ้าตั้งใจศึกษาโดยการค้นหาข้อเท็จจริง และวิธีค้นหาข้อเท็จจริงนั้น ก็เป็นเรื่องง่าย ๆ กล่าวคือ ต้องตรวจสอบเนื้อหาว่า เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็เป็นข้อเท็จจริงของชีวิต. ขณะเดียวกันต้องพิสูจน์โดยการนำไปสู่ภาคปฏิบัติว่า สามารถทำให้จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสได้จริงหรือไม่ ถ้าสามารถทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสได้ ก็ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ควรแก่การศึกษาและปฏิบัติต่อไปชั่วชีวิต.

            ต่อจากนี้ไป ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงโดยไม่ต้องหลงเชื่อผู้เขียนเพื่อเข้าถึงอริยสัจ ๔ หรือเพื่อให้รู้แจ้งชัดในเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง.

กุศลและอกุศล

          ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหาในเรื่องอริยสัจ ๔ นั้น ท่านผู้อ่านควรรู้จักความหมายของคำว่า กุศลและอกุศลเสียก่อน เพราะเป็นคำที่ต้องใช้ตลอดเวลาของการศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมตามแนวพุทธ.

            กุศล คือ ความคิด คำพูด และการกระทำต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น.

            อกุศล คือ ความคิด คำพูด และการกระทำต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น.

            การคิดแต่กุศลจึงทำให้จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส มีความสุขสงบ ซึ่งเป็นผลให้เกิดการพูดดี ทำดี จึงเป็นบุคคลที่ประเสริฐ. ในทางตรงกันข้าม การคิดอกุศลจะทำให้จิตใจสกปรก ขุ่นมัว เป็นทุกข์ ซึ่งเป็นผลให้เกิดการพูดไม่ดี ทำไม่ดี จึงเป็นคนไม่ดี.

            เรื่องของพระพุทธศาสนานั้น มีหลักการปฏิบัติที่สำคัญอย่างตรงประเด็นและง่าย ๆ คือ ให้มีความเพียรในการศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกมีสติบริหารจิตใจให้คิดแต่กุศล เพื่อจะได้พูดดี ทำดี รวมทั้งทำจิตใจของตนให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.

         

ทุกข์ในวิชาอริยสัจ ๔ ก็คือโรคทางใจ

พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้โดยสรุปว่า มนุษย์มี ๒ โรค คือ โรคทางร่างกายและโรคทางจิตใจ. พระอรหันต์เป็นผู้ที่ไม่มีโรคทางจิตใจ เพราะพระอรหันต์มีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระอรหันต์มีสติไม่คิดอกุศล(ไม่คิดชั่ว)และไม่ทำอกุศล คงคิดแต่กุศล(คิดดี)และทำแต่กุศล(ทำดี)อย่างต่อเนื่อง.

ดังนั้น พระอรหันต์จึงไม่มีความทุกข์ทางจิตใจที่เกิดขึ้นจากการคิดอกุศล และไม่มีความทุกข์ทางร่างกายที่เกิดจากการคิดอกุศล. ดังนั้น จิตใจของพระอรหันต์จึงมีแต่ความบริสุทธิ์ผ่องใส.

เป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรม คือ การทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใสนั่นเอง และทุกวินาทีที่จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส ความทุกข์จากการคิดอกุศลก็จะไม่เกิดขึ้น.

การจะฝึกปฏิบัติธรรมนั้น ควรมีความรู้เรื่องความทุกข์เสียก่อน เพื่อที่จะได้ศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมสำหรับการดับทุกข์ได้อย่างถูกต้องและตรงประเด็น.

            ความทุกข์ในความหมายทั่วไป คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ.

            ความทุกข์ในอริยสัจ ๔ คือ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับจิตใจและร่างกายที่สืบเนื่องมาจากความคิดหรือการกระทำทางกาย วาจา ใจ ที่เป็นอกุศล.

 

ทุกข์ในวิชาอริยสัจ ๔

            ทุกข์ในอริยสัจ ๔ ตามพระไตรปิฎกมี ๕ แบบ ผู้เขียนย่อลงมาเป็น ๓ แบบ เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจและจดจำ ดังนี้ :-

            แบบที่ ๑. ความทุกข์ภายในจิตใจ. ความทุกข์ภายในจิตใจ คือ ความไม่สบายใจที่มากกว่าปรกติ เช่น ขณะที่จิตใจมีภาวะกังวล เครียด หวั่นไหว กลัว พรั่นพรึง กลุ้มใจ ขุ่นมัว เศร้าหมอง ซึมเศร้า สับสน ห่อเหี่ยว ท้อแท้ เบื่อหน่าย น้อยใจ เสียใจ อิจฉา ริษยา ขัดเคือง โกรธ แค้นเคือง พยาบาท รวมทั้งความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ ไม่พอใจในเรื่องต่าง ๆ ที่มากเกินควร เป็นต้น.

            แบบที่ ๒. ความทุกข์ทางจิตใจที่แสดงอาการออกมาภายนอก. ความทุกข์ทางจิตใจที่มากขึ้น อาจเป็นผลให้มีการแสดงออกมาทางกิริยาอาการและคำพูด เช่น มีอาการกระสับกระส่าย ร้องไห้ คร่ำครวญ รำพึงรำพัน พูดเพ้อเจ้อ สับสน ดุดัน หน้านิ่วคิ้วขมวด กลัว เศร้าสร้อย ก้าวร้าว ทำลายสิ่งของ ทำร้ายตนเอง ฉ้อโกง โกงกิน กินตามน้ำ ทำลายชื่อเสียงของผู้อื่น แย่งชิงตำแหน่ง แย่งชิงทรัพย์สิน ทำร้ายร่างกายและจิตใจของผู้อื่น เยินยอ ประจบประแจง สอพลอ โกหก ให้สินบน พูดชั่ว ทำชั่วต่าง ๆ นานา เป็นต้น.

            แบบที่ ๓. ความทุกข์ทางร่างกายและโรคต่าง ๆ ที่สืบเนื่องมาจากการมีความทุกข์ทางจิตใจ. ความทุกข์ทางจิตใจที่รุนแรงหรือเรื้อรัง จะทำให้เกิดความทุกข์ทางร่างกายและโรคต่าง ๆ ได้ เช่น เกิดอาการมึนงง ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย ปวดท้อง กระเพาะอาหารอักเสบ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร ท้องอืด ท้องผูก ลำไส้ใหญ่อักเสบ ถ่ายบ่อย เป็นเบาหวานรุนแรงขึ้น ร่างกายผ่ายผอม นอนไม่หลับ หมดแรง ปวดเมื่อย กล้ามเนื้ออักเสบ ข้ออักเสบ ภูมิต้านทานลดลง ติดเชื้อง่าย ภูมิแพ้ ร่างกายอ่อนแอ หายป่วยช้า ผมร่วง ใจสั่น หายใจไม่เต็มอิ่ม วิงเวียน หน้ามืด เป็นลม เจ็บที่หัวใจ หลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดในสมองตีบตันหรือแตก อัมพาต โรคหัวใจ มะเร็ง ปวดประจำเดือน ประจำเดือนผิดปรกติ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โรคประสาท โรคจิต เป็นต้น.

เนื่องจากร่างกายและจิตใจถูกควบคุมด้วยการทำงานของสมอง. ดังนั้น ขณะที่สมองคิดในเรื่องที่เป็นทุกข์ จิตใจก็จะเป็นทุกข์ และร่างกายก็จะทำงานผิดปรกติไปด้วย จึงเป็นผลให้เกิดความทุกข์ทางร่างกายหรือเกิดการเจ็บป่วยทางร่างกายได้ เพราะธรรมชาติเป็นเช่นนั้นเอง.

คนที่มีความทุกข์ทางจิตใจเพิ่มขึ้นในขณะที่มีโรคทางร่างกายและจิตใจอยู่แล้ว จะทำให้หายได้ยาก และอาจซ้ำเติมโรคที่เป็นอยู่แล้ว ให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งเกิดโรคใหม่มาแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย.

ความทุกข์ทางร่างกายที่แสดงออกมานั้น เกิดจากช่วงนั้น กำลังมีความทุกข์ทางจิตใจ เมื่อความทุกข์ทางจิตใจหมดไป ความทุกข์ทางร่างกายก็จะหมดไปด้วย หรือค่อย ๆ หายไป.

สำหรับการเจ็บป่วยทางร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เช่น เป็นแผลในกระเพาะ ข้ออักเสบ ภูมิแพ้ ก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาในการรักษาทั้งทางร่างกาย(ทางโลก)และทางจิตใจ(ทางธรรม)ควบคู่กันไป.

 

สาเหตุของความทุกข์

สาเหตุของความทุกข์ในอริยสัจ ๔ นั้นเป็นเรื่องง่าย ๆ คนทั่วไปสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า มีสาเหตุมาจากการคิดอกุศล(คิดชั่ว). เพราะขณะที่คิดอกุศลอยู่นั้น จิตใจจะสกปรก ขุ่นมัว เป็นทุกข์ไปตามความรุนแรงของความคิด และเพราะคิดอกุศลนี้เอง การกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ จึงเป็นอกุศล(ทำชั่ว) ที่ก่อให้เกิดการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น.

การหยุดความคิดและควบคุมความคิดไม่ให้คิดอกุศลได้นั้น ย่อมทำให้สามารถพ้นจากความทุกข์และการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ที่เป็นอกุศลต่าง ๆ ได้อย่างตรงประเด็น.

การจะมีความรู้และความสามารถในการบริหารตนเองให้คิดแต่กุศล(คิดดี)ได้นั้น ต้องมีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ และมีความสามารถในการปฏิบัติธรรมด้วยการหยุดความคิด(เจริญสมาธิ)และควบคุมความคิด(เจริญสติ)ให้คิดแต่กุศลในชีวิตประวันนั่นเอง.

 

ความดับทุกข์

ความดับทุกข์ เกิดจากภาวะของจิตใจในขณะนั้นมีความบริสุทธิ์ผ่องใส เพราะกำลังคิดแต่กุศลหรือคิดดี พูดดี ทำดี นั่นเอง.

พระอรหันต์ คือ บุคคลที่มีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง จึงพ้นจากความทุกข์ต่าง ๆ ที่เกิดจากการคิดอกุศล.

การมีสติใช้ความรู้ในเรื่องอริยสัจ ๔ และมีความสามารถในการปฏิบัติธรรมจนสามารถดูแลจิตใจของตนเองให้คิดแต่กุศล ย่อมทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส คือ ความดับทุกข์ในพระพุทธศาสนา.

ความดับทุกข์ในชีวิตประจำวันตามหลักอริยสัจ ๔ นั้น เป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่ต้องรอชาติหน้า ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ขอเพียงแค่พยายามศึกษาเรื่องอริยสัจ ๔ ให้รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริง พร้อมทั้งฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อดูแลจิตใจของตนเองให้คิดแต่กุศลหรือคิดดีทำดีจนเป็นนิสัย.

 

มรรคหรือวิธีฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน

            มรรค คือ ข้อปฏิบัติเพื่อทำให้เข้าถึงความดับทุกข์ หรือทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส.

            ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดฝึกปฏิบัติธรรมตามวิธีฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันไปทีละขั้นตอน พร้อมทั้งพิสูจน์ด้วยตนเองว่า สามารถทำให้จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสได้จริงหรือไม่ โดยไม่ข้ามขั้นตอน.

            ความสำเร็จจะมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับศรัทธาและความเพียรของแต่ละท่าน. ถึงวันนี้จะฝึกได้ดีหรือไม่ดีก็ตาม ท่านก็ต้องฝึกไปชั่วชีวิต.

 

วิธีฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๑

            การฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันนั้น มี ๓ ตอน.

                        ตอนที่ ๑. การฝึกมีสติหยุดความคิด.

                        ตอนที่ ๒. การฝึกมีสติควบคุมความคิด.

                        ตอนที่ ๓. ฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวัน.

วิธีฝึกหยุดความคิด ในการฝึกครั้งแรกนี้ เป็นวิธีการที่คนทั่วไปสามารถเริ่มต้นฝึกได้โดยง่าย.

ท่านที่เคยฝึกหยุดความคิดหรือฝึกเจริญสมาธิวิธีใดมาก่อน และประสงค์จะฝึกวิธีเดิมก็ได้ แต่ถ้าจะเปิดวิสัยทัศน์โดยการทดลองฝึกตามที่ผู้เขียนนำเสนอเป็นการชั่วคราวก็จะเป็นการดี.

เมื่อท่านเข้าใจหลักการของการฝึกเจริญสมาธิตามสมควรแล้ว ท่านจะเลือกฝึกวิธีไหนก็ได้.

            ท่านควรฝึกในท่านั่งบนเก้าอี้ หรือนอนก็ได้ตามความเหมาะสม. เริ่มต้นด้วยการตั้งเจตนาว่า ต่อจากนี้ไปเราจะพยายามมีสติควบคุมจิตใจของเราให้อยู่กับความว่างหรือไม่คิดเรื่องอื่นใดเลย โดยการกำหนดความว่างไว้ที่เบื้องหน้าก็ได้. การตั้งเจตนาเช่นนี้ จะทำให้สมองคอยควบคุมความคิดไม่ให้คิดปรุงแต่ง เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.

            ขณะฝึกอยู่นั้น จะมีความคิดแวบขึ้นมาเรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นการทำงานของสมองที่ปรกติ. เมื่อมีความคิดแวบขึ้นมาและเป็นเรื่องที่ไม่รีบด่วน ก็พยายามอย่าคิดเสริมต่อ เพราะถ้าเผลอสติไปคิดเสริมต่อก็จะเป็นการคิดฟุ้งซ่าน.

            ให้พยายามมีสติหยุดความคิดประมาณ ๑ – ๒ นาที แล้วประเมินตนเองว่า ท่านสามารถหยุดความคิดได้บ้างหรือไม่. ถ้าหยุดได้บ้าง ก็แสดงว่า ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่สามารถหยุดความคิดของตนเองได้.

            ท่านจะสังเกตได้ว่า ทุกวินาทีที่ความคิดหยุด จิตใจของท่านก็จะบริสุทธิ์ผ่องใส สงบ ไม่กังวล ไม่เครียด และไม่ทุกข์จากความคิดเลย.

          เมื่ออ่านถึงตรงนี้แล้ว ก็ขอให้ท่านผู้อ่านลงมือฝึกหยุดความคิดด้วยความจริงใจและจริงจัง เพื่อที่จะได้เรียนรู้ และนำไปใช้เป็นข้อมูลของการฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันต่อไป.

 

วิธีฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๒

            เรามาฝึกหยุดความคิด(เจริญสมาธิ)ประมาณ ๑ – ๓ นาที เพื่อให้สมองและร่างกายได้พักเป็นการชั่วคราว ซึ่งจะเป็นผลให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่กังวล ไม่เครียด และไม่ทุกข์จากความคิด.

            ขณะที่ฝึกอยู่นั้น อย่าเร่งสติหรือตั้งใจมากจนเกินไป เพราะจะทำให้เครียด และอย่าน้อยเกินไปจนกลายเป็นฟุ้งซ่านหรือหลับในได้โดยง่าย ให้พยายามมีสติที่พอดีหรือเป็นทางสายกลาง.

            ท่านจะสังเกตได้ว่า ทุกวินาทีที่ความคิดหยุด จิตใจของท่านจะบริสุทธิ์ผ่องใส สงบ ไม่กังวล ไม่เครียด และไม่มีความทุกข์ใจจากความคิดเลย ซึ่งเป็นการพึ่งพาสติปัญญาของตนเอง.      เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ให้ประเมินผลว่า ท่านสามารถหยุดความคิดได้บ้างหรือไม่. ถ้าหยุดได้บ้างแล้ว ก็แสดงว่า ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่สามารถหยุดความคิดของตนเองได้. ถ้าท่านฝึกมีสติหยุดความคิดเป็นประจำ ไม่นานนัก ก็จะมีความเชี่ยวชาญในการหยุดความคิดของตนเองได้.

          เมื่อท่านเข้าใจหลักการแล้ว ก็ขอได้โปรดลงมือฝึกหยุดความคิดด้วยความจริงใจและจริงจัง ณ บัดนี้.

            ครั้นสมองและร่างกายได้พักจากการหยุดคิดแล้ว จิตใจก็จะมีความบริสุทธิ์ผ่องใสและสงบตามสมควร สมองจึงพร้อมที่จะมีสติควบคุมความคิด(เจริญสติ) เพื่อทำให้ท่านสามารถศึกษาหรือทำกิจต่าง ๆ ต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ.

            วิธีฝึกควบคุมความคิด(เจริญสติ)นั้นง่ายนิดเดียว คือ ให้ท่านตั้งเจตนาว่า ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามมีสติศึกษาเรื่องต่อไปหรือทำกิจต่าง ๆ อย่างจริงจังโดยไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่คิดอกุศลหรือไม่คิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น เราจะคิดแต่กุศลหรือคิดเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น เพื่อที่จะได้พูดและทำแต่กุศลอยู่เสมอ.

เมื่อมีการเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน หรือไปคิดอกุศล ครั้นมีสติรู้เห็นความคิดที่เกิดขึ้น ก็ให้รีบมีสติหยุดความคิดดังกล่าวทันที พร้อมทั้งกลับมามีสติอยู่กับการศึกษาหรือทำกิจที่กำลังทำอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.

          ต่อจากนี้ไป ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดพยายามฝึกมีสติทำตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้อย่างจริงจังและต่อเนื่องเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ต้องกังวลและเครียด.

 

วิธีฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๓

            การฝึกหยุดความคิดในขั้นตอนนี้ เป็นการฝึกเจริญสมาธิตามรูปแบบที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก คือ อานาปานสติสมาธิ หรือการเจริญสมาธิโดยการมีสติอยู่กับลมหายใจเพียงกิจเดียว (เอกัคคตา) เพื่อให้เกิดการปล่อยวางจากการคิดเรื่องราวต่าง ๆ (อุเบกขา) หรือเพื่อการหยุดความคิดเป็นการชั่วคราว.

            เริ่มต้นการฝึกด้วยการตั้งเจตนาว่า ต่อจากนี้ไปเราจะฝึกเจริญสมาธิเพื่อการหยุดความคิด พักสมองและร่างกายเป็นการชั่วคราว โดยการพยายามมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียว(เอกัคคตา)เท่านั้น เป็นการรับรู้อย่างเบา ๆ สบาย ๆ ด้วยความผ่อนคลาย โดยไม่ไปคิดเรื่องอื่นใด.

            ถ้าท่านไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกบริเวณรูจมูกได้ดี ก็ให้หายใจแรงขึ้น เพื่อที่จะรับรู้ความรู้สึกได้ดีขึ้น.

ครั้นรับรู้ได้ดีตามสมควรแล้ว ก็ให้ผ่อนความแรงของการหายใจมาเป็นการหายใจตามปรกติ. ต่อมา ถ้าการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกไม่ดีพอ ให้ทำเช่นเดิมอีก และเมื่อฝึกเช่นนี้ไม่กี่ครั้ง ท่านก็จะสามารถรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกที่บริเวณรูจมูกได้เป็นอย่างดี.

เมื่อรู้ตัวว่า กำลังเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียวต่อไป เพื่อที่จะได้กำจัดความคิดฟุ้งซ่านทันที.

          เมื่อเข้าใจหลักการดีแล้ว ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดลงมือฝึกหยุดความคิดด้วยความจริงใจและจริงจัง ณ บัดนี้.

            ครั้นออกจากการหยุดความคิดแล้ว ให้ท่านฝึกควบคุมความคิด(เจริญสติ)ทันที โดยการตั้งเจตนาว่า ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามมีสติอยู่กับกิจที่กำลังทำอยู่ พร้อมทั้งรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดของเรา ไม่ให้คิดอกุศล ให้คิดแต่กุศล เพื่อทำจิตใจของเราให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.

            ขณะฝึกหยุดความคิดและควบคุมความคิดอยู่นั้น ก็มักจะมีความคิดแวบขึ้นมาเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง ให้ท่านพยายามมีสติควบคุมความคิดไม่ให้ไปคิดปรุงแต่งหรือต่อเติมแม้แต่วินาทีเดียว ยกเว้นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อกิจที่กำลังทำอยู่ และเรื่องที่รีบด่วน.

            ในขณะที่ทำกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ท่านฝึกเจริญสติควบคู่กันไปด้วยจนเป็นนิสัย.

            ต่อจากนี้ไป ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวัน โดยการพยายามมีสติทำตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้อย่างจริงจังและต่อเนื่องเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ต้องกังวลหรือเครียด.

            ให้ถือโอกาสนี้ ประเมินผลของการฝึกปฏิบัติธรรมว่า ในระยะเวลาที่ผ่านมา มีการคิดอกุศลบ้างหรือไม่ หรือมีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง พร้อมทั้งพิจารณาแก้ไขเสีย โดยการตั้งใจเตือนตนเองว่า เราจะพยายามไม่ให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นอีก เมื่อเตือนตนเองซ้ำแล้วซ้ำอีก สมองก็จะจดจำและทำตามที่ได้เตือนตนเองเอาไว้.

 

วิธีฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๔

            เรามาฝึกหยุดความคิดชั่วคราว(เจริญสมาธิ)เป็นเวลาประมาณ ๑ – ๑๕ นาที หรือนานกว่านี้ ตามความเหมาะสม โดยถือหลักการว่า จะต้องเป็นการฝึกที่ไม่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น โดยการพยายามมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูก หรือจะใช้วิธีการใดก็ตามที่หยุดความคิดได้ แต่ควรเป็นกิจง่าย ๆ เบาที่สุด เพื่อทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่กังวล ไม่เครียด ไม่ทุกข์ และพร้อมที่จะทำกิจต่าง ๆ ต่อไปในชีวิตประจำวันอย่างมีประสิทธิภาพ.

            ขณะที่ฝึกเจริญสมาธิอยู่นั้น เมื่อรู้ตัวว่า กำลังเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียวต่อไป เพื่อที่จะได้กำจัดความคิดฟุ้งซ่านทันที.

          ความคิดฟุ้งซ่านเป็นอกุศล เพราะทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์. ขณะที่คิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น จะไม่มีสติในการควบคุมความคิด จึงมักคิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นตามเหตุปัจจัยในขณะนั้น ๆ.

            บางครั้ง สติอาจอ่อนกำลังลงจนท่านไม่สามารถหยุดความคิดได้ จึงอาจเกิดการคิดปรุงแต่งในรูปแบบต่าง ๆ เช่น คิดปรุงแต่งเป็นมโนภาพ เสียง กลิ่น รส และสัมผัสต่าง ๆ เช่นเดียวกันกับความฝัน เป็นต้น ซึ่งเป็นการคิดฟุ้งซ่าน.

          ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดลงมือฝึกเจริญสมาธิด้วยความจริงใจและจริงจัง ณ บัดนี้.

            เมื่อออกจากการเจริญสมาธิแล้ว ให้ท่านฝึกควบคุมความคิด(เจริญสติ)ทันที โดยการตั้งเจตนาว่า ต่อจากนี้ไป ในชีวิตประจำวันนั้น เราจะพยายามมีสติอยู่กับกิจที่กำลังทำอยู่ พร้อมทั้งรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดของเรา ไม่ให้คิดอกุศล ให้คิดแต่กุศล เพื่อทำจิตใจของเราให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.

          ครั้นมีสติรู้ว่า ได้เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านหรือคิดอกุศล ก็ให้รีบหยุดยั้งความคิดที่เป็นอกุศลทันที อย่าปล่อยให้คิดอกุศลต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว.

            ในชีวิตประจำวัน ไม่มีใครสามารถรู้เห็นความคิดของเราได้เลย. ดังนั้น ทุกคนจึงต้องพึ่งสติปัญญาของตนเองในการหยุดความคิด(เจริญสมาธิ) และควบคุมความคิด(เจริญสติ)ของตนเอง ให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.

            การฝึกเจริญสมาธิและสติสลับกันไป(เจริญกรรมฐาน)ในชีวิตประจำวันเป็นประจำ ก็จะทำให้สามารถดูแลจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้ความกังวล ความเครียด การนอนไม่หลับ และความทุกข์ต่าง ๆ ในอริยสัจ ๔ ลดลงตามเหตุปัจจัย จนเป็นเรื่องอัตโนมัติ.

          ต่อจากนี้ไป ขอได้โปรดพยายามมีสติทำตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้อย่างจริงจังและต่อเนื่องเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ต้องรอวัน เวลา สถานที่ และควรฝึกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต.

วิธีฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๕

            เรามาฝึกหยุดความคิดเป็นเวลาประมาณ ๑ – ๑๕ นาที หรือนานกว่านี้ตามความเหมาะสม.

            ท่านควรฝึกในขณะหลับตาหรือลืมตา และในสถานที่ต่าง ๆ ด้วย เพื่อให้คุ้นเคยกับการฝึกหยุดความคิดอย่างรวดเร็วเมื่อยามที่ต้องการ แต่การฝึกหยุดความคิดควรฝึกในที่ปลอดภัย เพราะขณะปล่อยวางจากการคิด ความสามารถของสมองในการคิดแก้ปัญหาอย่างกะทันหันย่อมลดลงไปด้วย.

          ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดลงมือฝึกหยุดความคิดด้วยความจริงใจและจริงจัง ณ บัดนี้.

            ในชีวิตประจำวัน เมื่อท่านออกจากการฝึกหยุดความคิดแล้ว ให้ฝึกควบคุมความคิดสลับกันไปทันที โดยการพยายามฝึกมีสติควบคุมความคิดไม่ให้คิดอกุศล ให้คิดแต่กุศล เพื่อทำกิจต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.

            ความคิดฟุ้งซ่านเป็นอกุศล เพราะทำให้เสียเวลาอันมีค่าไปโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าเป็นข้าราชการก็เป็นคนที่โกงเวลาราชการ ถ้าเป็นลูกจ้างก็เป็นคนที่โกงเวลานายจ้าง และขณะฟุ้งซ่านเราไม่สามารถควบคุมความคิดได้ จึงมักจะคิดอกุศลได้โดยง่าย เพราะธรรมชาติของมนุษย์เป็นเช่นนั้นเอง.

            ถ้าปล่อยให้ฟุ้งซ่านเป็นประจำ ก็จะกลายเป็นคนที่เชี่ยวชาญในการคิดฟุ้งซ่านหรือคิดอกุศล. ครั้นถึงเวลานอน ก็จะคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย ๆ จึงทำให้นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท และฝันมากได้อีกด้วย.

            ดังนั้น ในยามว่างและในขณะนอน ท่านควรพยายามมีสติอยู่กับลมหายใจไว้เสมอจนเป็นนิสัย เพื่อป้องกันไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน ไม่ให้คิดอกุศล ขณะเดียวกันสมองและร่างกายก็จะได้พักด้วย.

          ความรู้และความสามารถของการบริหารความคิดในชีวิตประจำวันจึงเป็นความฉลาดทางอารมณ์ ที่ส่งผลให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสมากขึ้น นานขึ้น และสามารถทำกิจต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลงานที่มีคุณค่า เป็นประโยชน์ บริสุทธิ์ ยุติธรรม หรือเป็นกุศล.

            ท่านควรฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันเป็นประจำจนเป็นนิสัย.

            ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดพยายามมีสติทำตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้อย่างจริงจังและต่อเนื่องเท่าที่จะทำได้ เพื่อทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง.

 

วิธีฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๖

            เรามาฝึกเจริญสมาธิ(ฝึกมีสติหยุดความคิด)เป็นเวลาประมาณ ๑ -๑๕ นาที หรือนานกว่านี้ตามความเหมาะสม เพื่อพักสมอง ร่างกาย หรือจิตใจ เป็นการชั่วคราว.

            เมื่อสมองได้พัก ร่างกายก็ได้พักไปด้วย. ครั้นออกจากสมาธิแล้ว ให้ท่านฝึกมีสติอยู่กับลมหายใจไว้เสมอ ๆ เพื่อเป็นฐานหลักของสติ ซึ่งเปรียบเหมือนการผูกโยงจิตใจไว้ไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน และการมีฐานหลักของสติไว้เสมอนี้เอง จะเป็นเครื่องมือในการสำรวมความคิด.

            ท่านสามารถฝึกสำรวมความคิดในขณะดูโทรทัศน์โดยการมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติไว้เสมอในขณะที่ดูโทรทัศน์.

            ถ้าท่านมีสติจดจ่ออยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจ(ฐานหลักของสติ)มาก ก็จะทำให้ความสนใจในเนื้อหาของโทรทัศน์ลดลง ความคิดก็จะถูกสำรวมมากขึ้น จึงเป็นผลให้การคิดปรุงแต่งไปตามเนื้อหาต่าง ๆ ที่ปรากฏในโทรทัศน์ก็จะลดลงด้วย.

            ถ้าท่านมีสติจดจ่ออยู่ที่ฐานหลักของสติเต็มที่ การคิดปรุงแต่งตามเนื้อหาในโทรทัศน์ก็จะหมดไป.

            ในขณะดูโทรทัศน์ในเรื่องที่สำคัญ ท่านก็ควรมีสติจดจ่ออยู่กับเนื้อหา เพื่อการพิจารณาและจดจำเนื้อหามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป แต่ก็ควรพักโดยการมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติเป็นช่วง ๆ เพื่อสร้างนิสัยของการสำรวมความคิด.

ในชีวิตประจำวัน ท่านควรพยายามฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติในสัดส่วนที่เหมาะสม เช่น ขณะพูดคุยกับคนที่ชอบ, นินทาหรือยุแหย่ ท่านก็ควรมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติให้มากขึ้น เพื่อลดหรือป้องการคิดปรุงแต่งไปตามคำที่พูด, ขณะที่รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีโอกาสจะคิดอกุศล ก็ให้ทำเช่นเดียวกัน คือการพยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติให้มากขึ้น เพื่อสำรวมความคิดให้มากขึ้น เป็นต้น.

            ในขณะทำกิจต่าง ๆ อยู่นั้น พยายามมีสติอยู่กับกิจนั้น ๆ เพื่อป้องกันการคิดฟุ้งซ่าน. ถ้ามีการคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น เมื่อท่านมีสติรู้ตัวว่า มีการคิดฟุ้งซ่าน ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับกิจที่กำลังทำอยู่ และพยายามมีสติไม่คิดอกุศล เพื่อจะได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.   

ขณะที่ต้องทำงานสำคัญหรือทำงานที่ยาก จำเป็นต้องใช้สมองมาก ก็ให้พยายามมีสติจดจ่อกับงานนั้น ๆ เต็มที่ แต่ควรพักสมองด้วยการเจริญสมาธิเป็นช่วง ๆ พร้อมทั้งเปลี่ยนอิริยาบถด้วย เพื่อป้องกันการเบียดเบียนตนเองจากการทำงานนานโดยไม่พัก.

            ในยามว่างและในขณะนอน ท่านควรพยายามมีสติอยู่กับลมหายใจไว้เสมอจนเป็นนิสัย เพื่อป้องกันไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน ไม่ให้คิดอกุศล ขณะเดียวกันสมองและร่างกายก็จะได้พักด้วย.

            ท่านไม่ควรคาดหวังว่า จะสามารถมีฐานหลักของสติ ๑๐๐% เพราะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากที่สุด. ขอเพียงมีความเพียรฝึกฝนตนเองไว้เสมอจนเป็นนิสัย เพื่อที่จิตใจของท่านจะได้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.

 

การประเมินผล

            ไม่มีใครในโลกนี้สามารถรู้เห็นความคิดของท่านได้. ดังนั้น ท่านจึงต้องประเมินผลของการบริหารความคิดด้วยสติปัญญาของตนเอง.

            สำหรับท่านที่ฝึกใหม่ ควรฝึกประเมินผลของการปฏิบัติธรรมทุก ๑ - ๒ ชั่วโมงว่า ท่านคิดอกุศลหรือเปล่า. ครั้นท่านเก่งขึ้นบ้างแล้ว อาจประเมินผลวันละครั้ง ๑ - ๓ ครั้งก็เพียงพอ.

            เมื่อท่านมีสติรู้ตัวว่า ท่านกำลังคิดอกุศลอยู่ ก็ให้ท่านหยุดคิดอกุศลทันที อย่าปล่อยให้คิดอกุศลแม้แต่วินาทีเดียว พร้อมกับเตือนตนเองว่า เราจะคิดแต่กุศล หรือคิดดี พูดดี ทำดี เพื่อสนองพระราชดำรัสเท่านั้น. เมื่อทำเป็นประจำ ไม่นานนัก จิตใจของท่านก็จะบริสุทธิ์ผ่องใสมากขึ้นและนานขึ้น จนเกิดความคุ้นเคยกับการดำเนินชีวิตด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส ซึ่งเป็นการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนานั่นเอง.

         

สรุป

            ความทุกข์ คือ ความไม่สบายใจและความไม่สบายกายที่สืบเนื่องมาจากการคิดอกุศล.

            สาเหตุของความทุกข์ เกิดขึ้นจากการคิดอกุศล(คิดด้วยความโลภและโกรธ) และการคิดอกุศลเกิดขึ้นก็เพราะมีความหลง(การไม่มีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ และการไม่มีความสามารถในการปฏิบัติธรรม) จึงไม่สามารถหยุดความคิด(เจริญสมาธิ)และความคุมความคิด(เจริญสติ)ในชีวิตประจำวันได้.

            ความดับทุกข์ เกิดขึ้นจากการไม่คิดอกุศลหรือภาวะที่จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส.

            วิธีปฏิบัติธรรม คือ การศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันด้วยการเจริญสติและสมาธิสลับกันไปในชีวิตประจำวัน.

          การจะบรรลุธรรมหรือทำจิตใจให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่องได้นั้น ขึ้นอยู่กับความเพียรในการศึกษาอริยสัจ ๔ ให้รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริง และต้องฝึกปฏิบัติธรรมไปชั่วชีวิต.

            คนทั่วไปไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม รวมทั้งผู้สูงอายุ ผู้ป่วย ผู้พิการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ถ้าเข้าใจหลักธรรมในเรื่องอริยสัจ ๔ อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง และฝึกปฏิบัติธรรมหรือฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันดังกล่าวแล้ว ก็จะทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสในทุกวินาทีที่คิดดีหรือคิดแต่กุศล จึงเป็นผลให้เกิดการพูดดี ทำดี เกื้อกูลกันและกัน รวมทั้งอยู่ร่วมกันด้วยความสันติสุข. ถ้าคนในโลกนี้นำเอาอริยสัจ ๔ ไปศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันมากขึ้น สันติสุขก็จะขยายตัวออกไปตามสัดส่วนด้วย.

            การบริหารความคิดให้คิดดีหรือคิดแก่กุศลนั้น เป็นการปฏิบัติธรรมตามแนวพระพุทธศาสนา และเป็นการสนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย.

            ท่านที่ทดลองฝึกปฏิบัติธรรมแล้วได้รับผลดี ก็ขอได้โปรดถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ให้กับผู้อื่นด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวางสืบต่อไป.

            ท่านที่สนใจจะศึกษาบทความต่าง ๆ ของผู้เขียน กรุณาดูได้ที่ www.oocities.org/satipanya หรือสอบถามและสั่งซื้อหนังสือเรื่องต่าง ๆ ของผู้เขียนได้ที่บริษัท เคล็ดไทย จำกัด ๑๑๘ ถนนเฟื่องนคร กทม. ๑๐๒๐๐ โทร. ๐๒ ๒๒๕ ๙๕๓๖ - ๙

************