บวชเณรไม่ทันครบปีก็ลาสิกขาออกมารับราชการเป็นเสมียน
การงานก้าวหน้าตามลำดับจนได้รับตำแหน่งนายอำเภอ ที่จังหวัดชลบุรี
ด้วยความที่เป็นคนเก่ง ตำแหน่งการงานก้าวหน้า
บรรดาศักดิ์ที่ได้รับครั้งแรกก็คือ เป็นหลวงศุภมาตรา
ความที่เป็นเอาจริงเอาจังในการงาน และเป็นคนซื่อสัตย์เถรตรงอย่างยิ่ง
ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ จึงได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระพนมสารนรินทร์
ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนครนายก
แต่ด้วยความเป็นคนตรงอย่างยิ่ง เป็นคุณพระอยู่ได้ไม่นาน
ก็ตัดสินใจลาออกจากราชการ เพราะมีเหตุขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา ขณะนั้นอายุได้
๓๕ ปี
ในยุคนั้น ปัญญาชนส่วนใหญ่ล้วนให้ความสนใจกับตะวันตก
ทั้ง ก.ศ.ร. กุหลาบ และเทียนวรรณ แต่นายนรินทร์กลับให้ความสนใจกับภูมิธรรมตะวันออกดั้งเดิม
โดยหันไปศึกษาพุทธธรรมอย่างจริงจัง และได้ก่อตั้งพุทธบริษัทสมาคมขึ้นในปี
พ.ศ. ๒๔๕๕ โดยมีจุดมุ่งหมายรื้อฟื้นพุทธธรรมแท้ให้กลับมาสู่พุทธบริษัทในสยามอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้เขายังออกหนังสือ "สารธรรม"
และ "โลกกับธรรม" เป็นเวทีเผยแพร่ความคิดและทัศนะความเห็นของตนและพรรคพวก
ต่อสาธารณชน ไม่นานก็ออกหนังสืออีกเล่ม "ช่วยบำรุงชาติ"
ชื่อตรงไปตรงมาดังอุปนิสัยของเขา และได้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
ถึงขนาดที่ว่าต้องเดินเข้าออกคุกอยู่บ่อยครั้ง
ความคิดเห็นของเขาที่ถือว่าก้าวหน้า แต่เป็นที่ขวางโลกในยุคนั้นก็คือ
การโจมตีค่านิยมการมีเมียมาก การให้สิทธิที่เท่าเทียมกับสตรี และที่รุนแรงก็คือการวิพากษ์คณะสงฆ์
ถึงกับเสนอให้มีการสังคายนาพระศาสนา เพราะมีพระสงฆ์ประพฤติคลาดเคลื่อน
ผิดไปจากพระธรรมวินัยเป็นจำนวนมาก ในขณะที่เทศน์สอนให้ชาวบ้านบริจาคทาน
แต่ตนเองกลับสะสมทรัพย์ที่มีผู้บริจาค ทั้งยังโจมตีผู้ทำบุญโดยหวังผลบุญตอบแทน
ไม่ได้ปฏิบัติธรรมะเพื่อบรรลุผลในชาตินี้
โดยเหตุที่เขามองเห็นความสำคัญของพุทธบริษัท
๔ ว่าจะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปมิได้ เขาจึงได้ต่อสู้เรียกร้องให้มีสามเณรีและภิกษุณีในประเทศไทย
บุตรสาวของเขาทั้งสองคนคือ สาระ และจงดี ก็ได้ตัดสินใจบวช โดยมีสตรีเข้าร่วมบวชด้วยอีก
๖ คน สองเดือนหลังจากนั้นก็เป็นข่าวเกรียวกราวเมื่อสมเด็จพระสังฆราช
ทรงมีพระราชลิขิตมิให้มีการบวชภิกษุณีและสามเณรี หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้เขียนโจมตีนายนรินทร์อย่างรุนแรง
ว่าเป็นผู้ทำลายพระศาสนา คณะสงฆ์ก็ออกคำสั่งมิให้วัดใดให้ที่พำนักกับสามเณรี
ทั้งที่ชาวบ้านธรรมดาและในหัวเมืองรอบนอกมิได้ตั้งข้อรังเกียจอย่างใด
ชาวบ้านยังตักบาตรกับสามเณรี และเจ้าอาวาสวัดบางแห่งก็ยังให้ที่พำนัก
โดยเหตุที่ว่าเป็นผู้สำรวมในธรรมวินัย
นายนรินทร์มุ่งหาข้อสรุปเกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องนี้
จึงได้เสนอให้มีการประชุมในห้องสามัคคยาจารยสโมสร ของกระทรวงธรรมการ
ซึ่งเป็นห้องประชุมสำหรับการประชุมทางศาสนาสำหรับสาธารณชน โดยจะเชิญผู้รู้ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยมาร่วมอภิปราย
แสดงความคิดเห็น นับได้ว่าเขาเป็นผู้เสนอให้มีการทำ "ประชาพิจารณ์"
เป็นคนแรกของเมืองไทยเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม กระทรวงธรรมการมิยอมอนุญาตให้ใช้สถานที่ดังกล่าว
หลังจากการบวชสามเณรีไปแล้วหกปี
อภิรัฐสภาได้ประชุมกันหลายครั้งหลายหน แต่ก็มิสามารถเอาผิดทางอาญากับนายนรินทร์ได้
จนกระทั่งได้มีความเห็นให้จับกุมสามเณรี และได้ให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเปลื้องเอาจีวรออก
นายนรินทร์เห็นว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ จึงได้ส่งเรื่องร้องเรียนไปยังพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งขณะนั้นกำลังเสด็จประพาสชวา จากเหตุการณ์เรื่องบวชสามเณรีนี้
ทางรัฐบาลจึงได้ยกร่างกฎหมายปกครองสงฆ์ขึ้นใหม่
ความคิดของนายนรินทร์ที่ก้าวหน้าเกินยุคสมัย
ดังเช่น การอดข้าวประท้วงเพื่อคนจน การบวชสามเณรี การเสนอให้ทำประชาพิจารณ์
การวิพากษ์ค่านิยมการมีภรรยาหลายคน ตลอดจนถึงการเสนอไม่ให้มีโสเภณี
เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการเสียสละ และเป็นการกระทำเพื่อคนอื่น โดยเหตุนี้เขาจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบ้า
คนขวางโลก ของยุคสมัย
|