ศิโรตม์
คล้ามไพบูลย์
คัดจาก
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์, แรงงานวิจารณ์เจ้า : ประวัติศาสตร์ราษฎรผู้หาญกล้าท้าทายสมบูรณาญาสิทธิ์ไทย,
กรุงเทพ : สำนักพิมพ์มติชน, 2547, หน้า 189-199.
ปูมหลังของชีวิตและการต่อสู้ของถวัติ
เป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศทางการเมืองและสภาพสังคมในช่วง พ.ศ.
2466-2480 ซึ่งให้กำเนิดคนกลุ่มใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยอัตลักษณ์, ความคิด
และความต้องการทางการเมืองแบบใหม่ๆ ในขณะที่โครงสร้างการเมืองการปกครอง
เต็มไปด้วยความผันผวนและเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากอวสานของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
และกำเนิดประชาธิปไตยรัฐสภา
โดยปกติของการเมืองในสภาวะนี้มักอ่อนแอและเปราะบางต่อการแตกสลาย
จึงไม่อยู่ในวิสัยที่จะควบคุมหรือต่อต้านการท้าทายพลังกลุ่มใหม่ๆ
ได้มากนัก บรรยากาศทางการเมืองแบบนี้เปิดโอกาสให้คนแทบทุกกลุ่มต่อสู้
ต่อต้าน และต่อรองกับ อำนาจ ได้โดยเปิดเผยและแทบเป็นอิสระ และผลที่ตามมาก็คือ
สภาวะที่การเมืองแบบใหม่ของพลเมืองเติบโตขึ้นอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
ภายใต้เงื่อนไขดังที่กล่าวมา สามารถสรุปและประเมินผลบทบาทของถวัติในแง่มุมต่างๆ
ได้ดังนี้ี้
ประการที่หนึ่ง
ผลสะเทือนต่อ การเมืองของพลเมือง ถวัติมีบทบาทในสังคมไทย
ในช่วงที่ระบบคุณค่าแบบเก่าเริ่มที่จะล่มสลาย บทบาทของ ถวัติในช่วงต้นจึงเป็น
ปัญญาชนสาธารณะ ที่โจมตีระบบคุณค่าแบบเก่า พร้อมกับยกย่องเชิดชูระบบคุณค่าแบบใหม่
เช่น ความสามารถสำคัญกว่าชาติกำเนิด การแบ่งแยกระหว่างราชการกับราชวงศ์
โดยอาศัยหนังสือพิมพ์เป็น ตัวกลาง ในการเผยแพร่ความคิดเห็นไปสู่คนกลุ่มต่างๆ
ในสังคม [1] น่าสนใจว่าในขณะที่ปัญญาชนคนอื่นๆ ในรุ่นก่อนนั้น เช่น
ก.ศ.ร.กุหลาบ,
เทียนวรรณ
, นรินทร์
ภาษิต เผยแพร่ความคิดเห็นด้วยสื่อซึ่งเข้าถึงผู้อ่านได้จำกัด
ได้แก่ จดหมายเหตุคำกลอน หนังสือเล่ม ใบแจ้งความ และแถลงการณ์ ถวัติกลับเผยแพร่ความคิดผ่านหนังสือพิมพ์
ซึ่งเข้าถึงผู้อ่านได้มากกว่า จึงมีผลสะเทือนมากกว่าด้วยเช่นกัน
ถวัติเป็นบรรพบุรุษคนแรกๆ ของวงการหนังสือพิมพ์ไทย เช่นเดียวกับ
กุหลาบ
สายประดิษฐ์, มานิต วสุวัติ และบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์การสื่อสารมวลชนไทยคนอื่นๆ
จึงเป็นหนึ่งในปัญญาชนรุ่นแรกๆ ที่มีส่วนสร้าง พื้นที่สาธารณะ
ให้พลเมืองตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
ปรากฎการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าฝ่ายพลเมืองมีอำนาจสูงขึ้น
ขณะที่รัฐเริ่มเป็นอิสระจากสังคมน้อยลง จนแม้แต่องค์อธิปัตย์เองก็ไม่ได้เป็นอิสระจากสังคมอีกต่อไป
ซ้ำยังสามารถถูกตรวจสอบได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งในพระราชกรณียกิจส่วนพระองค์
ประการที่สอง
การเปลี่ยนแปลงทางโลกทัศน์เกี่ยวกับสังคม ถวัติแถลงเอาไว้ในหนังสือพิมพ์ของเขาทุกฉบับ
ถึงจุดมุ่งหมายในการปกป้องผลประโยชน์ของกรรมกร รวมทั้งคนชั้นล่างกลุ่มอื่นๆ
คำแถลงแบบนี้ เป็นผลผลิตของโลกทัศน์ที่มองเห็นว่า คนแต่ละกลุ่มมีผลประโยชน์ขั้นมูลฐานที่แตกต่างกัน
สังคมจึงไม่ได้เป็นเอกภาพและเต็มไปด้วยความผสมกลมกลืน แต่สังคมคือหน่วยรวมของคนหลากกลุ่มที่มีผลประโยชน์ที่หลากหลาย
ซ้ำยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งซึ่งกันและกัน โลกทัศน์ของถวัติข้อนี้ลึกซึ้งกว่าปัญญาชนในสมัยเดียวกัน
เพราะขณะที่ปัญญาชนส่วนใหญ่คิดถึงพลเมืองในความหมายกว้างๆ จนพลเมืองมีความหมายใกล้เคียงกับ
กระฎุมพี ถวัติกลับมองเห็นกำเนิดของคนกลุ่มใหม่ ซึ่งมีคุณลักษณะและอัตลักษณ์แตกต่างจากคนกลุ่มอื่น
รวมทั้งตระหนักในการกดขี่ขูดรีดและเอารัดเอาเปรียบที่ ธนานุภาพ
กระทำต่อคนเหล่านี้
กล่าวในแง่นี้
ถวัติจึงเป็นปัญญาชนคนแรกๆ ที่มีความรู้เท่าทันพลวัตและความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ
ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของระบบอุตสาหกรรม และทุนนิยม อนึ่ง
ควรระบุไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่าถวัติได้กล่าวโจมตี ธนานุภาพ อย่างตรงไปตรงมา
ในขณะที่กรรมกรโรงสีข้าว 3,000 คน ก่อการนัดหยุดงานใน ปี 2477 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าถวัติในเวลานั้นเริ่มตระหนักถึง
อำนาจ ของพ่อค้านายทุนอย่างเป็นระบบมากขึ้น ถึงขั้นที่มองเห็นว่าความร่ำรวยทางเศรษฐกิจเป็นรากฐานของอิทธิพลทางการเมือง
และมีทรรศนะคติในแง่ลบต่อพลังทางเศรษฐกิจการเมืองของพ่อค้านายทุนมากขึ้นทุกที
ประการที่สาม
ความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมความคิด ถวัติเป็นบุคคลที่มีความรู้สึกเชิงมนุษยธรรม
และความยุติธรรมอย่างแรงกล้า และประสบการณ์จากการทำหนังสือพิมพ์
ก็ช่วยให้เขามองเห็นว่าความยุติธรรมสัมพันธ์กับเงื่อนไขทางสังคม
|