ยินดีต้อนรับสู่www.energy.comเราได้รวบรวม เรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานเอาไว้เพื่อให้เพื่อนๆ ได้ศึกษาและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณค่า หวังว่าข้อมูลที่เราได้จัดทำขึ้นคงจะมีประโยชน์แก่เพื่อนๆนะคะ ซึ่งในเว็บไซด์นี้ประกอบไปด้วย - รู้เฟื่องเรื่องพลังงาน - การอนุรักษ์พลังงาน - ห้องเรียนสีเขียว - คำถามชวนคิด ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้วก็เชิญคลิก menu ด้านบน ได้เลยค่ะ from : webmaster
แก๊สโซฮอล์
แก๊สโซฮอล์ 95 คือ เบนซินไร้สารตะกั่วออกเทน 95 ที่มีส่วนผสมของ น้ำมันเบนซินกับเอทานอล ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ มีคุณสมบัติการใช้งาน เทียบเท่าน้ำมันเบนซิน 95 ทั่วไป แต่มีราคาถูกกว่า 50 สตางค์ต่อลิตร |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
โครงการแก๊สโซฮอล์ เกิดขึ้นในปี 2528 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเล็งเห็นว่าประเทศไทย อาจประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำมัน และปัญหาพืชผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ จึงทรงมีพระราชดำริให้ โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาศึกษา ถึงการนำอ้อยมาแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์ (เอทานอล) ใช้ผสมกับน้ำมันเบนซิน เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และได้ทดลองใช้กับรถยนต์ในโครงการส่วนพระองค์ตั้งแต่ปี 2537 โดยทดสอบกับเครื่องยนต์ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ได้ผลดีทั้งในห้องปฏิบัติการและท้องถนน
แก๊สโซฮอล์ 95 เบนซินสะอาด เพื่อชาติ เพื่อคุณ โดยแก๊สโซฮอล์ 95 มีไฮโดรคาร์บอน คาร์บอนมอนนอกไซด์ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่าเบนซิน 95 ทั่วไป ช่วยลดควันดำ สารอะโรเมติกส์ สารเบนซีน และช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองจากท่อไอเสีย จึงนับได้ว่า แก๊สโซฮอล์ 95 เป็นเบนซินที่สะอาด ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ความแตกต่างระหว่างเบนซินออกเทน 95 ทั่วไป กับแก๊สโซฮอล 95
เพื่อชาติ
เพื่อคุณ
FAQ แก๊สโซฮอล์ 95
{ ข้อมูลจาก บริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) }
ไบโอดีเซล คืออะไร ไบโอดีเซลก็คือการนำน้ำมันจากพืชหรือไขมันสัตว์หรือแม้แต่น้ำมันที่ใช้แล้วอย่างน้ำมันที่ทอดไก่ หรือปาท่องโก๋มาใช้เป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งเราอาจแบ่งไบโอดีเซลตามประเภทของน้ำมัน ที่นำมาใช้ได้ออกเป็น 3 ประเภท 1. น้ำมันพืชหรือน้ำมันสัตว์ 2. ไบโอดีเซลแบบลูกผสม 3. ไบโอดีเซลแบบเอสเทอร์ ไบโอดีเซลชนิดเอสเทอร์นี้มี คุณสมบัติที่เหมือนกับน้ำมันดีเซลมากที่สุด ทำให้ไม่มีปัญหากับเครื่องยนต์ครับ เราสามารถนำมาใช้กับรถยนต์ได้ แต่ปัญหาที่จะมีก็คือต้นทุนการผลิตที่แพงนั่นเอง ทำไมต้องไบโอดีเซล โดยสรุปข้อดีของไบโอดีเซลในเชิงเศรษฐศาสตร์ก็คือ ราคาถูก ช่วยพยุงราคาพืชผลทางการเกษตรของไทย ลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ข้อดีในด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตก็คือ ช่วยลดมลพิษในอากาศ ทำให้ลดการสูญเสียจากการรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับมลพิษจากอากาศ เป็นต้น ที่น่าสนใจอีกอย่างคือด้วยกระแสที่ดังกระฉ่อนของไบโอดีเซลในตอนนี้ ทำให้บริษัทผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก หลาย ๆ ค่าย ออกมาประกาศรับรองว่าสามารถใช้ไบโอดีเซลกับรถที่ออกมาจากค่ายนั้น ๆ ได้โดยไม่มีปัญหากับเครื่องยนต์ครับ ผมขอยกตัวอย่างแค่ 2 ค่าย ค่ายแรกก็เป็นค่ายสุดดังที่ผลิตรถสุดหรูจากแถบยุโรป ที่มีชื่อว่าเมอร์เซเดสเบนซ์ และอีกค่ายหนึ่งก็เป็นค่ายสุดคลาสสิกที่เป็นเจ้าของรถรูปทรงประหลาดโฟล์คเต่าและบีทเทิลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก นามว่าโฟล์คสวาเก้น ข้อดีข้อเสียของไบโอดีเซล (เมื่อเทียบกับน้ำมันดีเซล) ไบโอดีเซลแต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปเมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันดีเซลปกติ จะเป็นอย่างไรบ้างไปดูกันครับ น้ำมันพืชหรือสัตว์ ไบโอดีเซลลูกผสม ไบโอดีเซลแบบเอสเทอร์ อนาคตของไบโอดีเซล ในประเทศไทย ถ้าหากผลการวิจัยจากหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ที่กำลังศึกษากันอยู่ขณะนี้ ออกมาว่าไบโอดีเซลไม่มีปัญหาด้าน ผลกระทบต่อเครื่องยนต์ในระยะยาว ก็ขึ้นอยู่กับภาครัฐแล้วล่ะครับ ว่าจะส่งเสริมการผลิตจริงจังมากน้อยแค่ไหน แม้ไบโอดีเซลจะทดแทนการใช้น้ำมันดีเซลได้ไม่หมด แต่แม้เพียงปันส่วนแบ่งการตลาดได้สักร้อยละ 10 ก็ถือว่ามีมูลค่ามหาศาลแล้วครับ ผลดีที่เห็นเด่นชัดนอกเหนือจากราคาที่ถูกกว่าราคาน้ำมันดีเซลปกติแล้ว การลดมลพิษทางอากาศและการพึ่งพาทรัพยากรของเราเองจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและเป็นผลดีต่อ เกษตรกรไทยอย่างมาก ไบโอดีเซล จึงน่าจะเป็นเชื้อเพลิงชนิดหนึ่งแห่งความหวังของไทยเราได้ในอนาคต
NGV
|
การขับรถอย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
1. ไม่ควรเร่งเครื่องยนต์ก่อนออรถ
- ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยไม่จำเป็น
2. ไม่ควรติดเครื่องยนต์ระหว่างจอดรถคอย
- ติดเครื่องโดยจอดอยู่กับที่ 5 นาทีจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน 0.3 ลิตร และเกิดไอเสียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
3. ขับรถด้วยความเร็วที่เหมาะสม
- อัตราความเร็วที่เหมาะสมคือ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง
4. ใช้เกียร์ให้สัมพันธ์กับความความเร็วของเรื่องยนต์
- เพื่อป้องกันไม่ให้กำลังเครื่องยนต์ตก และไม่เกิดการเปลืองน้ำมัน
5. ไม่บรรทุกสิ่งของเกินพิกัด
- หากบรรทุกน้ำหนักเกิน 50 กิโลกรัม น้ำมันที่มีอยู่จะวิ่งได้ระยะทางสั้นลง 1 กิโลเมตร ต่อ 1 ลิตร เป็นการสิ้นเปลืองน้ำมัน
6. เปิดเครื่องปรับอากาศตามความจำเป็น
- เครื่องปรับอากาศทำงานโดยอาศัยพลังงานจากน้ำมันด้วย และยิ่งปรับให้เย็นมากเกินความจำเป็นก็ยิ่งสิ้นเปลืองน้ำมัน
7. ปรับลมยางให้เหมาะสมตามมาตรฐานผู้ผลิต
- หากความดันลมต่ำกว่ามาตรฐานทุกๆ 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้วจะสิ้นเปลืองน้ำมันร้อยละ 2
8. คอยตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์
- เข้าศูนย์ตรวจสอบสภาพเครืองยนต์ตามเวลาที่ผู้ผลิตกำหนด
9. หลีกเลียงสภาพถนนที่ไม่ดี
- สภาพถนนที่ไม่ดีทำให้เกิดการสูญเสียของน้ำมันเพิ่มขึ้น ราดยางที่มีผิวเสียหาย ร้อยละ 15 ลูกรังร้อยละ 35 ทรายแห้ง ร้อยละ 45
10. การบำรุงรักษาให้อยู่สภาพดี
- ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเมื่อถึงกำหนด
- ควรเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นทุกๆระยะ 5000 กิโลเมตร
- ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง ระดับน้ำในแบตเตอรี่ รอยรั่วในระบบน้ำมันเชื้อเพลิง
- หลีกเลี่ยงการใช้เบรกโดยไม่จำเป็น เพราะสิ้นเปลืองน้ำมันและอายุการใช้ของเบรกสั้นลง
- ปรับปรุงสมรรถนะของรถยนต์ให้ดีตลอดเวลาช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ร้อยละ 3-9
เคล็ดลับ 5 วิธีขับรถประหยัดน้ำมันหน้าฝน
ตอนนี้เข้าหน้าฝนแล้ว และปีนี้ฝนตกค่อนข้างชุก ทำให้การจราจรในเขตเมือง โดยเฉพาะในย่านธุรกิจที่ติดขัดอยู่แล้ว ยิ่งติดขัดมากขึ้น ดังนั้นการใช้รถใช้ถนนในช่วงหน้าฝน ควรมีการวางแผนล่วงหน้าและขับขี่ด้วยความระมัดระวัง เพื่อประหยัดน้ำมันและปลอดภัย จึงขอแนะนำเคล็ดลับในการประหยัดน้ำมันในช่วงหน้าฝน 5 วิธีดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการใช้รถในช่วงเวลาฝนตก โดยการรับฟังข่าวสารรายงานอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา ประกอบกับการใช้การสังเกตสภาพดินฟ้าอากาศก็จะช่วยให้เราคาดการณ์ล่วงหน้าได้ เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าฝนตกทีไรก็มักจะทำให้รถติดทุกครั้ง ดังนั้นก็ควรเลื่อนการเดินทางหรือใช้การติดต่อกันทางโทรศัพท์ โทรสาร จดหมายอิเล็กโทรนิกส์ หรือใช้บริการรถไฟฟ้าแทนก็จะสะดวกและประหยัดน้ำมันกว่า ซึ่งถ้าหากรถติดแบบไม่ขยับรวมกันเป็นเวลา 10 นาที จะทำให้สูญเสียน้ำมัน 250 ซีซี. หรือสามารถวิ่งได้ในระยะทางเพิ่มขึ้น 2.5 กิโลเมตร
2. วางแผนให้พร้อมสำหรับการเดินทาง หากหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงฝนตกไม่ได้ การเตรียมข้อมูลให้พร้อมสำหรับการเดินทาง ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันและเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้ขับขี่ได้ โดยเลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุดหรือใช้เวลาน้อยที่สุด และศึกษาเส้นทางลัดของเส้นทางที่จะไป โดยสามารถตรวจสอบเส้นทางการจราจรจากรายการวิทยุ สวพ. 91 จส. 100 หรือ สอบถามเส้นทางการจราจรได้ที่ เบอร์ 1197 เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ติดขัด และควรเตรียมหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อของหน่วยงานบริการช่วยเหลือ กรณีรถเสียรถดับระหว่างทาง อาทิ สถานีวิทยุชุมชน ร่วมด้วยช่วยกัน 1167 เพื่อป้องกันการกีดขวางทางจราจร อันจะทำให้รถติด สิ้นเปลืองน้ำมันและเสียเวลา
3. เช็คผ้าเบรก หน้าฝนถนนลื่น มักต้องแตะเบรกบ่อยกว่าปกติ จึงควรสังเกตจากเสียงขณะเบรก หรืออาการเบรกแล้วรถไม่หยุดในระยะปกติ หรือเสียงเบรกเสียดสีจานล้ออยู่เสมอ ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันประมาณวันละ 400 ซีซี หรือวิ่งได้ระยะทางเพิ่มขึ้นอีก 5 กิโลเมตร
4. ลมยางและสภาพยาง สภาพยางที่อ่อนหรือแข็งกว่ามาตรฐานจะทำให้การทรงตัวของรถในหน้าฝนยากลำบากกว่าปกติ ในหน้าฝนจึงควรใส่ใจเรื่องของความดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพราะหากความดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐานทุกๆ 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว จะเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 2% นอกจากนี้สภาพยางที่สึกหรอมากทำให้รถเบรกไม่ค่อยอยู่ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
5. ลดการใช้แอร์ในรถ ช่วงหน้าฝน อากาศช่วงเช้าและช่วงเย็นมักจะไม่ค่อยร้อน แนะนำให้ทดลองปิดแอร์แล้วสูดอากาศธรรมชาติดูบ้างก็ไม่เลว และหากปิดแอร์ก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาที จะประหยัดน้ำมันได้ 30 ซีซี แต่หากไม่ใช้แอร์เลยตลอดการเดินทาง 20-30 นาที จะประหยัดน้ำมันได้ 300 ซีซี
การประหยัดพลังงานในที่ทำงาน
เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ และเครื่องถ่ายเอกสาร เป็นอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานภายในสำนักงาน วิธีการต่อไปนี้จะช่วยคุณประหยัดพลังงานภายในสำนักงานคุณได้ แม้คุณจะทำงานที่บ้านคุณก็ยังคงนำวิธการเหล่านี้ไปใช้ที่บ้านได้
1. ปิดสวิตช์เครื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องพิมพ์ เมื่อคุณเลิกใช้ หรือทำงานเสร็จแล้ว คุณจะประหยัดเงินถึง 2,500 บาทต่อปี เมื่อคุณปิดเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ตอนกลางคืนและในวันหยุดสุดสัปดาห์ ในทางตรงกันข้าม บางคนมีความคิดว่า การเปิด-ปิด เครื่องเลเซอร์พรินเตอร์บ่อย ๆ ทำให้อายุการใช้งานของเครื่องสั้นลง เมื่อปิดเครื่องควรจะพักเครื่องอย่างน้อยที่สุด 1 ชั่วโมง จึงจะเปิดใหม่
2. ถ้ามีกลุ่มคนที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนน้อยภายในสำนักงานของคุณ ควรจะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ร่วมกันโดยเลือกใช้ระบบให้เหมาะสมจะดีกว่าที่บนโต๊ะทำงานของทุกคนมีคอมพิวเตอร์ทุก ๆ โต๊ะ
3. เมื่อคุณทำงานเกี่ยวกับการแก้ไขเอกสาร คุณควรจะแก้ไขบนจอคอมพิวเตอร์ให้เรียบร้อยก่อน แทนที่จะ แก้ไขบนเอกสารที่พิมพ์ จากเครื่องพิมพ์หลาย ๆ ครั้ง เพราะจะทำให้คุณประหยัดทั้งไฟฟ้า กระดาษ และหมึกพิมพ์
4. การใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือการใช้สายต่อเชื่อมเพื่อใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกัน จะเป็นการลดจำนวนเครื่องพิมพ์ที่ตั้งอยู่อย่างไรคุณค่า ในเวลาที่ไม่ใช้งาน ภายในสำนักงานคุณได้
5. ใช้การส่งผ่านข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยโมเด็ม หรือ แผ่นดิสก์ แทนการส่งข่าวสารข้อมูลโดยเอกสาร โดยเฉพาะเมื่อเป็นเอกสารที่ต้องการตรวจเช็คก่อน
6. พิจารณาเลือกซื้อเครื่องพิมพ์ แบบพ่นหมึก ( ink jet ) หรือ แบบเข็ม ( dot matrix ) สำหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกัน แม้ว่าบางเครื่องจะทำงานช้าและมีเสียงดัง นอกจากนี้เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกจะใช้ไฟฟ้าเพียง 70% - 90% ของการใช้ไฟฟ้าของเครื่องพิมพ์เลเซอร์ คุณภาพการพิมพ์ก็เป็นที่ยอมรับได้
7. ปิดเครื่องถ่ายเอกสาร เมื่อหมดเวลาทำงานในแต่ละวัน และในวันหยุดสุดสัปดาห์ เครื่องถ่ายเอกสารจะใช้ ไฟฟ้ามากในการเตรียมเครื่องเพื่อให้พร้อมที่จะทำงาน
8. ถ้าคุณต้องการส่งหนังสือหรือเอกสารให้ผู้ร่วมงาน โปรดใช้การส่งต่อ ๆ กันให้อ่าน เอกสารชุดเดียวกันแทนการถ่ายเอกสารหลาย ๆ ชุด
9. หลีกเลี่ยงการถ่ายเอกสาร ( จากข้อมูลที่ส่งมาทางเครื่องโทรสาร ) ของโทรสารลงบนกระดาษธรรมดาซึ่งการถ่ายเอกสารดังกล่าว ทำให้เกิดการสูญเสียทั้งกระดาษและไฟฟ้า ถ้าคุณต้องการได้โทรสารบนกระดาษธรรมดา ควรพิจารณาการซื้อเครื่องโทรสารชนิดกระดาษธรรมดา หรือซื้ออุปกรณ์แปลงสัญญาณ โทรสารผ่านเข้าสู่จอคอมพิวเตอร์ ลดการสูญเสียกระดาษเพิ่มมากขึ้น ด้วยการหลีกเลี่ยง
10. การใช้กระดาษปะหน้าโทรสาร ชนิดเต็มแผ่น และหันมาใช้กระดาษขนาดเล็กที่สามารถตัดพับบนโทรสารได้ด้วยง่าย
11. ถ้าคุณใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่นอกสำนักงาน คุณควรเลือกใช้คอมพิวเตอร์โน๊ตแทนเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ ตั้งโต๊ะ เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์แบบโน๊ตบุ๊คใช้พลังงานเพียง 1 ใน 10 ของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ซึ่งสามารถประหยัดเงินได้ถึง 1,000 - 2,500 บาทต่อปี ขึ้นกับว่าคุณใช้ คอมพิวเตอร์บ่อยแค่ไหน
12. ปิดเครื่องใช้สำนักงานทุกชนิดภายหลังเลิกงาน เมื่อไม่ได้ใช้งานแล้ว เช่น เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า เครื่องตัดกระดาษไฟฟ้าเครื่องพับกระดาษและเครื่องใช้สำนักงานอื่น ๆ ที่มีลักษณะการใช้งานเฉพาะซึ่งทำให้เกิดการสูญเสีย พลังงานถ้าถูกเปิดเครื่องทิ้งไว้เมื่อไม่มีการใช้งาน
13. เมื่อคุณเลือกซื้ออุปกรณ์สำนักงานใหม่ ควรเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ จอภาพ และ เครื่องพิมพ์ ที่มี ประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้า ( พลังงาน )
การประหยัดพลังงานที่โรงเรียน
โรงเรียนเป็นบ้านหลังที่ 2 ที่เพื่อนๆจะต้องใช้เวลาอยู่ที่เป็นเวลาหลายชั่วโมง ฉะนั้นเราก็ควรจะช่วยกันประหยัดพลังงาน แหมือนตอนที่อยู่บ้านของเพื่อนๆเอง อย่าคิดเพียงว่าคุณพ่อคุณแม่ของเราไม่ได้เป็นคนจ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟในโรงเรียนนี้ ก็จะใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง ทั้งที่ค่าเทอมของเพื่อนๆที่จ่ายให้แก่โรงเรียนนั้นก็จะนำมาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ยิ่งเพื่อนๆใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองเท่าไร ค่าเทอมของเพื่อนๆก็อาจจะต้องสูงขึ้นตาม
ฉะนั้นแม้เพื่อนๆจะอยู่ที่ไหนก็ตามก็ควรประหยัดพลังงานเพื่อที่จะได้มีพลังงานไว้ใช้ต่อๆไป เราก็มีวิธีประหยัดพลังงานในโรงเรียนอย่างง่ายที่เพื่อนๆทำได้มาให้ทำกันดูนะค่ะเพื่อโรงเรียนของเรา
ก่อนออกจากห้องเรียนควรปิดไฟ ปิดแอร์ ให้เรียบร้อย
เมื่อเปิดแอร์อยู่ไม่ควรเปิดประตู เปิดหน้าต่างทิ้งไว้ เพราะแอร์จะออกไปด้านนอกทำให้แอร์ต้องทำงานหนักและเสียค่าไฟมากขึ้น
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวอากาศจะเย็นสบาย เพื่อนๆก็อาจไม่ต้องเปิดแอร์
ปลั๊กโทรทัศน์ในห้องเรียนไม่ควรเสียบทิ้งเอาไว้ ใช้เสร็จก็ควรถอดปลั๊กออก
เมื่อไม่ใช้คอมพิวเตอร์แล้วก็ควร ปิดเครื่อง
ไม่ควรเปิดน้ำทิ้งไว้
วิธีประหยัดไฟฟ้า
1 . ปิดสวิตช์ไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อเลิกใช้งาน สร้าง ให้เป็นนิสัยในการดับไฟทุกครั้งที่ออกจากห้อง
2. เลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน ดูฉลากแสดงประสิทธิภาพ ให้แน่ใจทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ หากมีอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 ต้อง เลือกใช้เบอร์ 5
3 . ปิดเครื่องปรับอากาศทุกครั้งที่จะไม่อยู่ในห้องเกิน 1 ชั่วโมง สำหรับเครื่องปรับอากาศทั่วไป และ 30 นาที สำหรับเครื่องปรับ อากาศเบอร์ 5
4 . หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ บ่อยๆ เพื่อลดการเปลืองไฟในการทำงานของเครื่องปรับอากาศ
5.ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็น อุณหภูมิที่กำลังสบาย อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศา ต้องใช้พลังงาน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5-10
6 . ไม่ควรปล่อยให้มีความเย็นรั่วไหลจากห้องที่ติดตั้งเครื่องปรับ อากาศ ตรวจสอบและอุดรอยรั่วตามผนัง ฝ้าเพดาน ประตู ช่องแสง และปิดประตูห้องทุกครั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศ
7 . ลดและหลีกเลี่ยงการเก็บเอกสาร หรือวัสดุอื่นใดที่ไม่จำเป็น ต้องใช้งานในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ เพื่อลดการสูญเสีย และ ใช้พลังงานในการปรับอากาศภายในอาคาร
8 . ติดตั้งฉนวนกันความร้อนโดยรอบห้องที่มีการปรับอากาศ เพื่อลดการสูญเสียพลังงานจากการถ่ายเทความร้อนเข้าภายใน อาคาร
9. ใช้มูลี่กันสาดป้องกันแสงแดดส่องกระทบตัวอาคาร และ บุฉนวนกันความร้อนตามหลังคาและฝาผนังเพื่อไม่ให้เครื่องปรับ อากาศทำงานหนักเกินไป
10. หลีกเลี่ยงการสูญเสียพลังงานจากการถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ ห้องปรับอากาศ ติดตั้งและใช้อุปกรณ์ควบคุมการเปิด-ปิดประตู ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ
11. ควรปลูกต้นไม้รอบๆ อาคาร เพราะต้นไม้ขนาดใหญ่ 1 ต้น ให้ความเย็นเท่ากับเครื่องปรับอากาศ 1 ตัน หรือให้ความเย็น ประมาณ 12,000 บีทียู
12. ควรปลูกต้นไม้เพื่อช่วยบังแดดข้างบ้านหรือเหนือหลังคา เพื่อ เครื่องปรับอากาศจะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป
13. ปลูกพืชคลุมดิน เพื่อช่วยลดความร้อนและเพิ่มความชื้นให้กับ ดิน จะทำให้บ้านเย็น ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศเย็น จนเกินไป
14. ในสำนักงาน ให้ปิดไฟ ปิดเครื่องปรับอากาศ และอุปกรณ์ ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ในช่วงเวลา 12.00-13.00 น. จะสามารถประหยัด ค่าไฟฟ้าได้
15. ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเวลาเริ่มงาน และควร ปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเวลาเลิกใช้งานเล็กน้อย เพื่อประหยัดไฟ
16. เลือกซื้อพัดลมที่มีเครื่องหมายมาตรฐานรับรอง เพราะพัดลม ที่ไม่ได้คุณภาพ มักเสียง่าย ทำให้สิ้นเปลือง
17. หากอากาศไม่ร้อนเกินไป ควรเปิดพัดลมแทนเครื่องปรับ อากาศ จะช่วยประหยัดไฟ ประหยัดเงินได้มากทีเดียว
18. ใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน ใช้หลอดผอมจอมประหยัด แทนหลอดอ้วน ใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ หรือใช้หลอด คอมแพคท์ฟลูออเรสเซนต์
19. ควรใช้บัลลาสต์ประหยัดไฟ หรือบัลลาสต์อิเล็กโทรนิกคู่กับ หลอดผอมจอมประหยัด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัด ไฟได้อีกมาก
20. ควรใช้โคมไฟแบบมีแผ่นสะท้อนแสงในห้องต่างๆ เพื่อช่วยให้ แสงสว่างจากหลอดไฟ กระจายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ ไม่จำเป็นต้องใช้หลอดไฟฟ้าวัตต์สูง ช่วยประหยัดพลังงาน
21. หมั่นทำความสะอาดหลอดไฟที่บ้าน เพราะจะช่วยเพิ่มแสงสว่าง โดยไม่ต้องใช้พลังงานมากขึ้น ควรทำอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปี
22. ใช้หลอดไฟที่มีวัตต์ต่ำ สำหรับบริเวณที่จำเป็นต้องเปิดทิ้งไว้ ทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือข้างนอก เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า
23. ควรตั้งโคมไฟที่โต๊ะทำงาน หรือติดตั้งไฟเฉพาะจุด แทนการ เปิดไฟทั้งห้องเพื่อทำงาน จะประหยัดไฟลงไปได้มาก
24. ควรใช้สีอ่อนตกแต่งอาคาร ทาผนังนอกอาคารเพื่อการสะท้อน แสงที่ดี และทาภายในอาคารเพื่อทำให้ห้องสว่างได้มากกว่า
25. ใช้แสงสว่างจากธรรมชาติให้มากที่สุด เช่น ติดตั้งกระจก หรือติดฟิล์มที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อน แต่ยอมให้แสงผ่าน เข้าได้เพื่อลดการใช้พลังงานเพื่อแสงสว่างภายในอาคาร
26. อยู่บ้านเดียวกัน ดูโทรทัศน์รายการเดียวกัน ก็ควรจะดู เครื่องเดียวกัน ไม่ใช่ดูคนละเครื่อง คนละห้อง เพราะจะทำให้ สิ้นเปลืองพลังงาน
27. ปิดตู้เย็นให้สนิท ทำความสะอาดภายในตู้เย็น และแผ่นระบาย ความร้อนหลังตู้เย็นสม่ำเสมอ เพื่อให้ตู้เย็นไม่ต้องทำงานหนักและ เปลืองไฟ
28. อย่าเปิดตู้เย็นบ่อย อย่านำของร้อนเข้าแช่ในตู้เย็น เพราะจะ ทำให้ตู้เย็นทำงานเพิ่มขึ้น กินไฟมากขึ้น
29. ตรวจสอบขอบยางประตูของตู้เย็นไม่ให้เสื่อมสภาพ เพราะจะ ทำให้ความเย็นรั่วออกมาได้ ทำให้สิ้นเปลืองไฟมากกว่าที่จำเป็น
30. เลือกขนาดตู้เย็นให้เหมาะสมกับขนาดครอบครัว อย่าใช้ตู้เย็น ใหญ่เกินความจำเป็นเพราะกินไฟมากเกินไป และควรตั้งตู้เย็นไว้ ห่างจากผนังบ้าน 15 ซม
วิธีประหยัดน้ำ
1. ใช้น้ำอย่างประหยัด หมั่นตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำ เพื่อลด การสูญเสียน้ำอย่างเปล่าประโยชน์
2. ไม่ควรปล่อยให้น้ำไหลตลอดเวลาตอนล้างหน้า แปรงฟัน โกน หนวด และถูสบู่ตอนอาบน้ำ เพราะจะสูญน้ำไปโดยเปล่า ประโยชน์ นาทีละหลายๆ ลิตร
3. ใช้สบู่เหลวแทนสบู่ก้อนเวลาล้างมือ เพราะการใช้สบู่ก้อน ล้างมือจะใช้เวลามากกว่าการใช้สบู่เหลว และการใช้สบู่เหลว ที่ไม่เข้มข้น จะใช้น้ำน้อยกว่าการล้างมือด้วยสบู่เหลวเข้มข้น
4. ซักผ้าด้วยมือ ควรรองน้ำใส่กาละมังแค่พอใช้ อย่าเปิดน้ำไหล ทิ้งไว้ตลอดเวลาซัก เพราะสิ้นเปลืองกว่าการซักโดยวิธีการขัง น้ำไว้ในกาละมัง
5. ใช้ Sprinkler หรือฝักบัวรดน้ำต้นไม้แทนการฉีดน้ำด้วย สายยาง จะประหยัดน้ำได้มากกว่า
6. ไม่ควรใช้สายยางและเปิดน้ำไหลตลอดเวลาในขณะที่ล้างรถ เพราะจะใช้น้ำมากถึง 400 ลิตร แต่ถ้าล้างด้วยน้ำและฟองน้ำใน กระป๋องหรือภาชนะบรรจุน้ำ จะลดการใช้น้ำได้มากถึง 300 ลิตร ต่อการล้างหนึ่งครั้ง
7. ไม่ควรล้างรถบ่อยครั้งจนเกินไป เพราะนอกจากจะมีความ สิ้นเปลืองน้ำแล้ว ยังทำให้เกิดสนิมที่ตัวถังได้ด้วย
8. ตรวจสอบท่อน้ำรั่วภายในบ้าน ด้วยการปิดก๊อกน้ำทุกตัว ภายในบ้าน หลังจากทีทุกคนเข้านอน (หรือเวลาที่แน่ใจว่า ไม่มี ใครใช้น้ำระยะหนึ่ง จดหมายเลขวัดน้ำไว้ ถ้าตอนเช้ามาตรเคลื่อนที่ โดยที่ยังไม่มีใครเปิดน้ำใช้ ก็เรียกช่างมาตรวจซ่อมได้เลย)
9. ควรล้างพืชผักและผลไม้ในอ่างหรือภาชนะที่มีการกักเก็บน้ำ ไว้เพียงพอ เพราะการล้างด้วยน้ำที่ไหลจากก๊อกน้ำโดยตรง จะใช้ น้ำมากกว่า การล้างด้วยน้ำที่บรรจุไว้ในภาชนะถึงร้อยะ 50
10. ตรวจสอบชักโครกว่ามีจุดรั่วซึมหรือไม่ ให้ลองหยดสีผสมอาหาร ลงในถังพักน้ำ แล้วสังเกตดูที่คอห่าน หากมีน้ำสีลงมาโดยที่ไม่ได้กด ชักโครก ให้รีบจัดการซ่อมได้เลย
11. ไม่ใช้ชักโครกเป็นที่ทิ้งเศษอาหาร กระดาษ สารเคมีทุกชนิด เพราะจะทำให้สูญเสียน้ำจากการชักโครก เพื่อไล่สิ่งของลงท่อ
12. ใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำ เช่น ชักโครกประหยัดน้ำ ฝักบัว ประหยัดน้ำ ก๊อกประหยัดน้ำ หัวฉีดประหยัดน้ำ เป็นต้น
13. ติด Areator หรือ อุปกรณ์เติมอากาศที่หัวก๊อก เพื่อช่วย เพิ่มอากาศให้แก่น้ำที่ไหลออกจากหัวก๊อก ลดปริมาณการไหลของ น้ำ ช่วยประหยัดน้ำ
14. ไม่ควรรดน้ำต้นไม้ตอนแดดจัด เพราะน้ำจะระเหยหมดไป เปล่าๆ ให้รดตอนเช้าที่อากาศยังเย็นอยู่ การระเหยจะต่ำกว่า ช่วยให้ประหยัดน้ำ
15. อย่าทิ้งน้ำดื่มที่เหลือในแก้วโดยไม่เกิดประโยชน์อันใด ใช้รดน้ำ ต้นไม้ ใช้ชำระพื้นผิว ใช้ชำระความสะอาดสิ่งต่างๆ ได้อีกมาก
16. ควรใช้เหยือกน้ำกับแก้วเปล่าในการบริการน้ำดื่ม และให้ ผู้ที่ต้องการดื่มรินน้ำดื่มเอง และควรดื่มให้หมดทุกครั้ง
17. ล้างจานในภาชนะที่ขังน้ำไว้ จะประหยัดน้ำได้มากกว่าการ ล้างจานด้วยวิธีที่ปล่อยให้น้ำไหลจากก๊อกน้ำตลอดเวลา
18. ติดตั้งระบบน้ำให้สามารถใช้ประโยชน์จากการเก็บและจ่ายน้ำ ตามแรงโน้มถ่วงของโลก เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานไปสูบและ จ่ายน้ำภายในอาคาร
น้ำ
1. ถ้าคนกรุงเทพฯ ใช้น้ำเพียง 70 ลิตรต่อวัน จะประหยัดน้ำได้ถึงวันละ 1,300 ล้านลิตร ตอบ คนกรุงเทพฯ ใช้น้ำเฉลี่ยวันละ 200 ลิตร ขณะที่คนต่างจังหวัดหรือคนชนบท ใช้น้ำเพียงวันละ 50 ลิตร ถ้าคนกรุงเทพใช้น้ำลดลงได้เหลือ 70 ลิตรต่อวัน กรุงเทพฯ เพียงเมืองเดียว ซึ่งมีประชากรจำนวนประมาณ 10 ล้านคน ก็จะประหยัดน้ำได้วันละ 1,300 ล้านลิตร |
2. สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำสามารถประหยัดน้ำได้มากกว่าสุขภัณฑ์ รุ่นเก่า กี่เท่า ตอบ สุขภัณฑ์รุ่นเก่าเมื่อเราชักโครก จะใช้น้ำมากถึง 20 ลิตรต่อครั้ง แต่สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำจะใช้น้ำเพียง 6 ลิตรต่อครั้ง ซึ่งการใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำจะสามารถประหยัดน้ำได้ มากกว่าสุขภัณฑ์ แบบเก่าประมาณ 3 เท่า |
3. การติดตั้งอุปกรณ์เติมอากาศที่ก๊อกน้ำ ช่วยลดปริมาณการใช้น้ำได้ร้อยละ 40-60 ตอบ การติดตั้งอุปกรณ์เติมอากาที่ก๊อกน้ำ จะช่วยเติมโอกาสในน้ำให้มีปริมาณมากแต่ใช้น้ำน้อย จะช่วยลดปริมาณการใช้น้ำได้ร้อยละ 40-60 |
4. ชนิดของผงซักฟอกสามารถประหยัดน้ำในการซักผ้าได้ ถูกหรือผิด ตอบ ถูก , ควรเลือกใช้ผงซักฟอกที่เหมาะสมเพราะ ผงซักฟอกชนิดที่ใช้กับเครื่องซักผ้าจะมีฟองน้อย ซึ่งจะ ลดความเสียหายให้กับตัวเครื่อง และหากใช้ผงซักฟอกที่มีฟองมาก อาจต้องสิ้นเปลืองน้ำในการซักเพิ่มขึ้น |
5. รดต้นไม้ตอนแดดจัดๆ ทำให้น้ำระเหยไปโดยเปล่าประโยชน์ ตอบ ควรรดน้ำต้นไม้ในช่วงเช้าหรือเย็น ไม่ควรรดน้ำต้นไม้ในช่วงที่มีแดดจัดๆ เพราะจะทำให้เสียน้ำไปโดย เปล่าประโยชน์ ต้นไม้จะได้น้ำน้อยลง |
6. การใช้น้ำอย่างประหยัดถือเป็นการประหยัดพลังงานเหมือนกัน ตอบ น้ำประปาที่เราใช้มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติต้องผ่านกระบวนการกรอง และฆ่าเชื้อ จนสะอาด และบริโภคได้ รวมทั้งต้องอาศัยพลังงานในกระบวนการสูบจ่ายและบำบัดอีก ดังนั้นการใช้น้ำอย่าง ประหยัดจึงเป็นการ ประหยัด พลังงานด้วย |
7. ก๊อกน้ำในประเทศของเรามีอัตราการไหลเฉลี่ยกี่ลิตรใน 1 นาที ตอบ ก๊อกน้ำประเทศของเรามีอัตราการไหลของน้ำเฉลี่ย 9 ลิตรต่อ 1 นาที ถ้าเราแปรงฟันคนละ 3 นาที เปิดก๊อกเต็มที่ กว่าจะแปรงฟันเสร็จ เราจะใช้น้ำถึง 27 ลิตร ซึ่งเป็นประมาณเท่ากับน้ำอัดลม กระป๋อง 83 กระป๋อง |
8. ถ้าเราเปิดน้ำทิ้งขณะที่เราแปรงฟัน แค่ 3 นาทีจะสูญเสียน้ำปริมาณเท่ากับ น้ำอัดลมกระป๋อง 83 กระป๋อง ตอบ ก๊อกน้ำประเทศของเรามีอัตราการไหลของน้ำเฉลี่ย 9 ลิตรต่อ 1 นาที ถ้าเราแปรงฟันคนละ 3 นาที เปิดก๊อกเต็มที่ กว่าจะแปรงฟันเสร็จ เราจะใช้น้ำถึง 27 ลิตร ซึ่งเป็นประมาณเท่ากับน้ำอัดลม กระป๋อง 83 กระป๋อง เราจึงควรปิดน้ำขณะแปรงฟัน |
9. เปิดก๊อกน้ำทิ้งขณะล้างจาน ปริมาณน้ำที่เสียไปสามารถล้างรถได้ 1 คัน ตอบ หากเราเปิดก๊อกน้ำทิ้งขณะล้างจาน เราอาจเสียน้ำมากถึง 130 ลิตร น้ำจำนวนนี้สามารถใช้ ประโยชน์ใน การล้างรถได้ 1 คัน |
10. คนในกรุงเทพใช้น้ำเฉลี่ยมากกว่าคนต่างจังหวัดกี่เท่า ตอบ 4 เท่า - คนกรุงเทพฯ ใช้น้ำเฉลี่ยวันละ 200 ลิตร ขณะที่คนต่างจังหวัดหรือคนชนบท ใช้น้ำเพียงวันละ 50 ลิตร ถ้าคนกรุงเทพใช้น้ำลดลงได้เหลือ 70 ลิตรต่อวัน กรุงเทพฯ เพียงเมืองเดียว ซึ่งมีประชากรจำนวนประมาณ 10 ล้านคน ก็จะประหยัดน้ำได้วันละ 1,300 ล้านลิตร |
ไฟ
1. การทำผนังกั้นบริเวณช่องบันไดที่เดินผ่านระหว่างชั้น จะช่วยประหยัดไฟได้จริงหรือไม่ ตอบ จริง การกั้นบริเวณช่องบันไดที่เดินผ่านระหว่างชั้น เพื่อให้แยกออกจากบริเวณที่มีการปรับ อากาศในแต่ละชั้น เป็นการลดพื้นที่ที่ไม่จำเป็นต้องทำการปรับอากาศ ช่วยประหยัดการใช้ไฟฟ้า มากยิ่งขึ้น |
2. หากปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเป็น 26-28 องศา จะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าได้ ประมาณร้อยละเท่าไร ตอบ หากปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเป็น 26-28 องศา ก็ไม่ทำให้รู้สึกร้อนเกินไป แต่จะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าได้ประมาณร้อยละ 15-20 |
3. ห้องนอนควรปรับอุณหภูมิไว้ที่ 27 องศา ช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าได้ ตอบ ห้องรับแขกควรปรับอุณหภูมิไว้ที่ประมาณ 25 องศา ส่วนห้องนอนควรปรับอุณหภูมิไว้ที่ ประมาณ 27 องศา |
4. ห้องรับแขกควรปรับอุณหภูมิไว้ประมาณกี่องศา ตอบ ห้องรับแขกควรปรับอุณหภูมิไว้ที่ประมาณ 25 องศา ส่วนห้องนอนควรปรับอุณหภูมิไว้ที่ ประมาณ 27 องศา |
5. ถ้าใช้เครื่องปรับอากาศที่มีขนาดใหญ่กว่า 25,000 บีทียูต่อชั่วโมง ให้เลือกเครื่องที่มี การ ใช้ไฟไม่เกินเท่าไร ตอบ เครื่องปรับอากาศที่มีขนาดใหญ่กว่า 25,000 บีทียูต่อชั่วโมง ให้เลือกใช้เครื่องที่มีการใช้ไฟ ไม่เกิน 1.25 กิโลวัตต์ต่อตัน |
6. เครื่องปรับอากาศแบบตั้งพื้น เหมาะกับห้องที่มีขนาดเล็กใช่หรือไม่ ตอบ ใช่ ห้องที่มีขนาดเล็ก เช่น ห้องนอนขนาดเล็กหรือห้องรับแขกขนาดเล็ก ควรใช้เครื่องปรับ อากาศแบบตั้งพื้น |
7. การปิดประตูหน้าต่างไม่สนิทส่งผลให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้นใช่หรือไม่ ตอบ ใช่ ห้องที่มีขนาดเล็ก เช่น ห้องนอนขนาดเล็กหรือห้องรับแขกขนาดเล็ก ควรใช้เครื่องปรับ อากาศแบบตั้งพื้น |
8. การเปิดหน้าต่างระบายกลิ่นต่างๆ ออกจากห้อง ช่วยไม่ให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนัก ตอบ การเปิดประตูหน้าต่างทิ้งไว้เพื่อให้อากาศบริสุทธิ์ภายนอกเข้าไปแทนที่อากาศเก่าในห้อง จะช่วยลดกลิ่นต่างๆ ให้น้อยลงโดยไม่จำเป็นต้องเปิดพัดลมระบายอากาศซึ่งจะทำให้เครื่องปรับ อากาศ ทำงานหนักขึ้น |
9. เปิดหลอดไฟ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าเท่าที่จำเป็น จะช่วยลดการใช้ไฟในการทำความเย็น เพิ่มขึ้นได้ ตอบ หลอดไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าบางชนิดขณะเปิดใช้งาน จะมีความร้อนออกมาทำให้อุณหภูมิ ในห้องสูงขึ้น |
10. การติดฟิล์มสะท้อนความร้อนที่ผิวกระจกด้านใน มีคุณสมบัติในการสะท้อนความร้อน ได้ประมาณเท่าไร ตอบ การติดฟิล์มสะท้อนความร้อนช่วยสะท้อนความร้อนได้ร้อยละ 72 ช่วยลดการใช้กำลังไฟฟ้า ของเครื่องปรับอากาศได้ |
น้ำมัน
1. การออกรถกระชาก 10 ครั้งจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน ซึ่งสามารถทำให้รถวิ่งได้เป็นระยะทางเท่าไร ตอบ เครื่องยนต์สึกหรอเร็ว และการออกรถกระชาก 10 ครั้งจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มถึง 100 ซีซี. น้ำมันปริมาณนี้ทำให้รถวิ่งได้ 700 เมตร แล้วยังทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วอีกด้วย |
2. การออกรถกระชาก 10 ครั้งจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มถึง 100 ซีซี. ตอบ ประเทศไทยใช้น้ำมันในภาคขนส่งสูงมากเมื่อเทียบกับภาคเศรษฐกิจอื่นๆ โดยมีการใช้น้ำมัน ในอัตราสูง ประมานร้อยละ 60 ต่อปี การช่วยกันประหยัดน้ำมัน จะช่วยให้ประเทศชาติ สามารถ ประหยัดเงินตราในการนำเข้าน้ำมันปิโตรเลียมต่างๆ ที่ใช้กับรถยนต์ได้ |
3. จริงหรือไม่ที่ว่า การปรับแต่งรถก็ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันได้ ตอบ การแต่งรถโดยการขยายหน้าล้อให้ใหญ่กว่ามาตรฐานเป็นการเพิ่มพื้นที่การรับน้ำหนักของรถ เมื่อต้องเพิ่ม อัตราเร่ง จะทำให้รถยนต์ใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าปกติ เป็นเหตุให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่ม ขึ้นด้วย |
4. ระวัง !!! หากในรถของท่านมีสิ่งของที่ไม่จำเป็นควรนำออก การบรรทุกของหนักเกินไป ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น ตอบ การบรรทุกน้ำหนักเกินเพียง 50 กิโลกรัมจะมีผลทำให้ระยะทางที่วิ่งได้ต่อน้ำมัน 1 ลิตร สั้นลง 1 กิโลเมตร ดังนั้นจึงควรสำรวจดูว่าในรถหากมีของที่ไม่จำเป็นควรนำออก |
5. ใช้บริการขนส่งมวลชน ลดการสิ้นเปลืองน้ำมันและเป็นการประหยัดเงินอีกด้วย ตอบ หากที่พักของเราใกล้กับที่ทำงาน ในระยะทางที่สามารถใช้รถโดยสาร ได้สะดวกก็ควรหันมา ใช้รถประจำทาง รถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดินให้มากขึ้นหรือเมื่อต้องเดินทางระยะไกล เช่นไปต่างจังหวัด หากไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนบุคคลแล้ว ควรหันมาใช้รถโดยสารประจำทาง หรือรถไฟ |
6. ใช้รถเมื่อจำเป็น ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อช่วยชาติประหยัดน้ำมัน ตอบ หากที่พักของเราใกล้กับที่ทำงาน ในระยะทางที่สามารถใช้รถโดยสาร ได้สะดวกก็ควรหันมาใช้ รถประจำทาง รถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดินให้มากขึ้น หรือเมื่อต้องเดินทางระยะไกล เช่นไปต่างจังหวัด หากไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนบุคคลแล้ว ควรหันมาใช้รถโดยสารประจำทาง หรือรถไฟ |
7. สภาพถนนทรายแห้งทำให้เกิดการสูญเสียน้ำมันร้อยละ 45 ตอบ การวิ่งรถยนต์ที่มีผิวจราจรไม่ดี จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นจึงควรหลีก เลี่ยงเส้นทางดังกล่าว สภาพถนนแบบทรายแห้ง จะทำให้สูญเสียน้ำมัน มากที่สุดคือ ร้อยละ 45 รองลงมาคือสภาพถนน แบบลูกรัง ร้อยละ 35 และสภาพถนนราดยาง ที่มีผิวเสียหายทำให้ เกิดการ สูญเสียน้ำมันร้อยละ 15 |
8. สภาพถนนลูกรังที่มีผิวเสียหายทำให้เกิดการสูญเสียน้ำมันร้อยละ 35 ตอบ การวิ่งรถยนต์ที่มีผิวจราจรไม่ดี จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นจึงควรหลีก เลี่ยงเส้นทางดังกล่าว สภาพถนนแบบทรายแห้งจะทำให้สูยเสียน้ำมันมากที่สุดคือ ร้อยละ 45 รองลงมาคือสภาพถนนแบบลูกรัง ร้อยละ 35 และสภาพถนนราดยาง ที่มีผิวเสียหายทำให้เกิดการ สูญเสียน้ำมันร้อยละ 15 |
9. ถนนราดยางที่มีผิวเสียหายทำให้เกิดการสูญเสียน้ำมันร้อยละ 15 ตอบ การวิ่งรถยนต์ที่มีผิวจราจรไม่ดี จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นจึงควรหลีก เลี่ยงเส้นทางดังกล่าว สภาพถนนแบบทรายแห้งจะทำให้สูยเสียน้ำมันมากที่สุดคือ ร้อยละ 45 รองลงมาคือสภาพถนนแบบลูกรัง ร้อยละ 35 และสภาพถนนราดยาง ที่มีผิวเสียหายทำให้เกิดการ สูญเสียน้ำมันร้อยละ 15 |
10. การติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ 10 นาทีจะสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยเท่าไร
ก) 100 CC.
ข) 150 CC.
ค) 200 CC.
ตอบ การติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ 10 นาทีจะสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ย 200 CC. หรือเท่ากับระยะทางประมาณ 400 เมตร
หน่วยที1 ไฟฟ้ามีประโยชน์มากมาย | |||
|
หน่วยที่2 แหล่งกำเนิดไฟฟ้า |
โซลาร์เซลล์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบมือหมุน |
หน่วยที่ 2 แหล่งกำเนิดไฟฟ้า
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ทราบถึงแหล่งกำเนิดไฟฟ้าประเภทต่างๆที่จำลองจากของจริง
กิจกรรมหลัก
สังเกตและทดลองปฏิบัติผลิตกระแสไฟฟ้าจากอุปกรณ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจำลองด้วยตนเอง
หน่วยที่ 3 เปรียบเทียบประสิทธิภาพของอุปกรณ์ไฟฟ้า | |||||||
|
|||||||
หน่วยที่ 4 ผลกระทบจากการใช้ไฟฟ้าเปลือง | ||||
ตู้เย็นเบอร์ 5 แสดงระบบนิเวศ |
ห น่วยที่ 4 ผลกระทบจากการใช้ไฟฟ้าเปลือง
วัตถุประสงค์
กิจกรรมหลัก
สังเกตและทดลองเปรียบเทียบผลกระทบจากการใช้ไฟฟ้าอย่างสิ้นเปลืองและประโยชน์จากการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด
หน่วยที่ 5 ร่วมใจประหยัดไฟฟ้า | ||||
คอมพิวเตอร์ ซึ่งรวมกิจกรรมการทดลองหน่วยที่ 1 - 4
มีข้อมูลเกี่ยวกับโรงงงานไฟฟ้านิวเคลียร์
แหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าในประเทศไทย
ประวัติของการไฟฟ้าแห่งประเทศไทย |
|
หน่วยที่ 5 ร่วมใจประหยัดไฟฟ้า
วัตถุประสงค์
1.เพื่อรวบรวมและอธิบายรายละเอียดของดิจกรรมต่างๆทั้งด้านความรู้และความสนุกสนานเพลิดเพลิน
2.เพื่อให้สามารถเรียนรู้ เรื่องที่สนใจได้ด้วยตนเองโดยวิธีจำลองจากของจริง
กิจกรรมหลัก
ใช้คอมพิวเตอร์ในการศึกษาเรื่องต่างๆที่สนใจและทำกิจกรรมโต้ตอบกับคอมพิวเตอร์ตามหัวข้อที่กำหนดไว้