เครื่องฉายรังสี |
|
เครื่องฉายรังสีรักษาโรคต่างๆมีมากมายหลายชนิด ทั้งที่ใช้รักษามะเร็งและไม่ใช่โรคมะเร็ง บุคลากรทางการแพทย์โดยทั่วไปมักไม่อยากจะร่วมกิจกรรมด้วยเนื่องจากเกรงกลัวผลของรังสีที่จะเกิดขึ้น แท้จริงแล้วในปัจจุบันได้มีการศึกษาถึงความปลอดภัยในการใช้รังสี รวมทั้งมีการพัฒนาเครื่องฉายรังสี ได้แก่การออกแบบเครื่อง การสร้างห้องฉายรังสี หรือ ห้องพักขณะใส่แร่ เพื่อให้บุคลากรผู้ทำงานด้านรังสีไม่ได้รับอันตรายจากการปฏิบัติงาน และให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์จากการรักาษามากที่สุด หลักสำคัญในการใช้รังสีรักษาโรคมะเร็งคือ ให้เกิดการทำลายเซลล์มะเร็งในบริเวณที่ฉายรังสีมากที่สุด โดยไม่มีผลแทรกซ้อนจากการฉายรังสี หรือหากหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากต้องใช้รังสีปริมาณสูง ก็ให้มีผลแทรกซ้อนน้อยที่สุด
วิธีการใช้รังสีแบ่งเป็น
1. ใช้ภายในร่างกาย (Internal use) ได้แก่การกิน, การฉีดสารกัมมันตภาพรังสีเข้าร่างกาย เช่น การกินสาร Iodine 131 (I-131) ในการรักษาโรค คอพอกเป็นพิษ (thyrotoxicosis) หรือ มะเร็งต่อมไธรอยด์ (thyroid carcinoma) หรือ การใช้ Phosphorus-32 (P-32) ในผู้ป่วยโรคเลือด (polycythemia vera) เป็นต้น รังสีที่ใช้ควรเป็นรังสีเบต้า ซึ่งไม่ทะลุทะลวงผ่านร่างกายผู้ป่วย และ ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ที่อยู่ข้างเคียง แต่หากรังสีเบต้านั้นมีอำนาจน้อยเกินไป จำเป็นต้องใช้รังสีแกมม่า แต่ต้องอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด
2. ใช้ภายนอกร่างกาย (External use) คือการฉายรังสีที่แหล่งกำเนิดรังสีอยู่ห่างจากตัวผู้ป่วย ส่วนใหญ่จะใช้รังสีเอกซ์ หรือ รังสีแกมม่าได้แก่
2.1 การฉายรังสีแบบตื้น (Superficial X-ray) หมายถึงการใช้รังสีเอกซ์ในขนาดที่พลังงานต่ำประมาณ 50-150 Kev เช่นการใช้เครื่อง superficial X-ray ในการรักษา keloid จากการฉีด BCG ผ่าตัดคลอดบุตร การดูดไขมันหรือ ศัลยกรรมตกแต่งอื่นๆ แม่แต่แผลจากอุบัติเหตุรวมถึง basal cell carcinoma โดยรังสีจากเครื่องชนิดนี้ ขนาด 50 Kev 30mAS จะให้รังสีลึกจากผิวหนังประมาณ 2-3 มม. เท่านั้น
2.2 การฉายรังสีแบบลึก (Deep X-ray or orthovoltage) เป็นเครื่องเอกซ์เรย์ที่มีพลังงาน 100-250 KeV มีอำนาจทะลุทะลวงต่ำ เหมาะสำหรับรักษาโรคที่อยู่ลึกไม่เกิน 7 ซม. แต่เนื่องจากมะเร็งมักจะอยู่ลึกถึงกลางลำตัวประกอบกับ deep X-ray ปริมาณรังสีสูงสุดอยู่ที่ผิวหนังทำให้ผลแทรกซ้อนของผิวหนัง มีมากเกิดอาการไหม้ หรือ หนังลอก และ ยังมีการดูดซึมโดยกระดูกมาก ปัจจุบันจึงไม่มีใครใช้เครื่อง deep X-ray ในการรักษามะเร็งโดยทั่วๆไป
2.3 Cobalt-60 teletherapy เป็นรังสีที่ได้จากสารรังสีและให้รังสีแกมม่าที่มีอำนาจทะละทะลวงเข้าไปในเนื้อเยื่อเพิ่มขึ้น โดยบริเวณผิวหนังได้รังสีในปริมาณน้อยกว่า บริเวณ subcutaneous tissue คือเนื้อเยื่อที่จะได้รับรังสีในปริมาณ 100% อยู่ใต้จากผิวหนัง 0.5 ซม. Co-60 นี้มีพลังงาน 1.25 MeV นิยมใช้กันมากในการรักษามะเร็งของศรีษะ และ ลำคอ เนื่องจากเป็นมะเร็งที่อยู่ตื้นๆและ ต่อมน้ำเหลืองอยู่ใต้ผิวหนังเท่านั้น
2.4 Linear accelerator เป็นรังสีที่ได้จากเครื่องกำเนิดรังสีที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อให้สามารถให้ทั้งรังสีเอกซ์ และ อิเลคตรอน มีพลังงานตั้งแต่ 4-20 MeV โดยที่เครื่องขนาด 6 MV จะให้ปริมาณรังสีสูงสุดที่ 1.5 ซม.ใต้ผิวหนังเหมาะสำหรับมะเร็งที่อยู่ลึกในช่องทรวงอก ช่องท้อง หรือ ช่องเชิงกราน และมีความสม่ำเสมอของรังสี แต่เป็นเครื่องที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การบำรุงรักษาทำได้ยาก และมีราคาแพงมาก ต้องมีนักวิทยาศาสตร์ประจำ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเครื่องกำเนิดรังสีแต่ละชนิดจะมีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันไป สถาบันใดหากมีเครื่องฉายรังสีหลายๆแบบ ย่อมได้เปรียบกว่าสถาบันที่มีเพียงเครื่องเดียว โรงพยาบาลศูนย์มะเร็งกรุงเทพ มีเครื่อง linear accelerator เพื่อรักษามะเร็งที่อยู่ลึก ในขณะเดียวกันสามารถฉายเพิ่มบริเวณเนื้องอกด้วย Cobalt-60 หรือ Superficial X-ray แล้วแต่ตำแหน่งของก้อนเพื่อให้เกิดการควบคุมโรคได้ดีที่สุด